ในยุคดิจิทัลที่เด็ก ๆ สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ง่ายขึ้น แพลตฟอร์มอย่าง YouTube, Facebook และ TikTok กลายเป็นสื่อหลักที่มีอิทธิพลต่อเยาวชนอย่างมหาศาล แต่ในขณะที่มีคอนเทนต์ดี ๆ ที่ให้ความรู้และแรงบันดาลใจ ก็มีคลิปจำนวนมากที่ ไร้สาระ แฝงไปด้วยพฤติกรรมไม่เหมาะสม หรือแม้แต่เป็นอันตราย ซึ่งอาจส่งผลกระทบระยะยาวต่อพฤติกรรมและทัศนคติของเด็กโดยที่พ่อแม่ไม่ทันรู้ตัว
YouTube, Facebook และ TikTok กับปัญหาคอนเทนต์ไร้สาระ
หนึ่งในปัญหาหลักที่เราเห็นได้ชัดเจนคือ คอนเทนต์ที่ทำขึ้นเพื่อความสนุกและเรียกยอดวิว โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคม เช่น:
- คลิปแกล้งคน (Prank) ที่เกินเลย ทำให้เด็กเข้าใจผิดว่า “การแกล้งกันแรง ๆ เป็นเรื่องขำ”
- คอนเทนต์พูดจาหยาบคาย ทำให้ภาษาหยาบคายกลายเป็นเรื่องปกติในกลุ่มเยาวชน
- Challenge อันตราย ที่เด็กอาจเลียนแบบโดยไม่รู้ถึงผลกระทบ เช่น กินของเผ็ดแข่งกันจนป่วย
- คอนเทนต์ Fake Drama หรือ Clickbait ที่หลอกให้คนดูและปลูกฝังพฤติกรรมเอาเปรียบสังคม
- Live สดทำคอนเทนต์ไม่เหมาะสม เช่น การไลฟ์ดราม่า ไลฟ์โชว์พฤติกรรมไม่เหมาะสม เพื่อเรียกยอดแชร์
- คอนเทนต์ล่อแหลมที่แพร่ใน TikTok เช่น การแต่งตัววาบหวิว การท้าทายทำอะไรที่ไม่เหมาะสมต่อหน้าสาธารณะ
สิ่งเหล่านี้แพร่กระจายได้ง่ายเพราะแพลตฟอร์มเหล่านี้ ให้ความสำคัญกับจำนวนการดูมากกว่าคุณภาพของเนื้อหา ทำให้คอนเทนต์ไร้สาระมักถูกแนะนำขึ้นมามากกว่าคอนเทนต์ที่มีประโยชน์
เด็กเล็กซึมซับพฤติกรรมแย่ ๆ ได้อย่างไร?
เด็ก ๆ มีแนวโน้มที่จะ เลียนแบบพฤติกรรมจากสิ่งที่พวกเขาดู โดยเฉพาะหากอินฟลูเอนเซอร์หรือยูทูบเบอร์ที่พวกเขาชื่นชอบทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น:
- พูดคำหยาบแล้วตลก → เด็กเริ่มพูดตาม
- แกล้งเพื่อนแรง ๆ แล้วขำ → เด็กคิดว่าเป็นเรื่องปกติ
- ทำอะไรเว่อร์ ๆ เพื่อเรียกยอดวิว → เด็กซึมซับว่า “อยากดังต้องทำอะไรบ้า ๆ”
- โพสต์คลิปหรือไลฟ์สดพฤติกรรมไม่เหมาะสม → เด็กอาจทำตามเพราะอยากมีผู้ติดตามเยอะ ๆ
นี่คือภัยเงียบที่อาจทำให้ ค่านิยมในสังคมเปลี่ยนไป และทำให้การเคารพกันและกันลดลงในคนรุ่นใหม่
เราจะป้องกันเด็กจากคอนเทนต์แย่ ๆ ได้อย่างไร?
1. ใช้ Parental Control และตั้งค่าการเข้าถึง
พ่อแม่ควรตั้งค่าการเข้าถึงเนื้อหาของลูกโดยใช้ YouTube Kids, Facebook Parenting Controls และ TikTok Family Pairing ซึ่งช่วยกรองเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม หรือปิดกั้นการเข้าถึงบางคอนเทนต์
2. สอนให้เด็กรู้จักแยกแยะคอนเทนต์
ไม่ใช่ทุกอย่างใน YouTube, Facebook และ TikTok จะเป็นความจริง หรือเป็นสิ่งที่ควรทำ พ่อแม่ควรพูดคุยและสอนให้เด็กเข้าใจว่า:
- “สิ่งที่ยูทูบเบอร์ทำ เป็นการแสดงเพื่อความบันเทิง ไม่จำเป็นต้องเลียนแบบ”
- “การพูดจาหยาบคายไม่ใช่เรื่องปกติ”
- “อะไรคือ Clickbait และการสร้างกระแสเพื่อเรียกยอดวิว”
- “TikTok ไม่ใช่พื้นที่ที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อเรียกยอดวิว”
3. แนะนำคอนเทนต์ที่มีสาระและน่าสนใจ
พ่อแม่ควรส่งเสริมให้ลูกดูช่องที่มีสาระ เช่น:
- ช่องความรู้ เช่น ThaiPBS, TED-Ed, CrashCourse
- ช่องวิทยาศาสตร์ เช่น Kurzgesagt, Veritasium
- ช่องที่สร้างแรงบันดาลใจ เช่น คนที่แชร์ประสบการณ์ชีวิตดี ๆ
4. กำหนดเวลาและรูปแบบการเสพสื่อของเด็ก
ไม่ควรให้เด็กดู YouTube, Facebook หรือ TikTok ตลอดเวลา แต่ควรกำหนดเวลาให้เหมาะสม เช่น วันละ 1-2 ชั่วโมง และให้ทำกิจกรรมอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น อ่านหนังสือ เล่นกีฬา หรือพูดคุยกับครอบครัว
5. ผู้ปกครองควรดูคลิปที่ลูกดูบ้าง
หากมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม อย่าแค่ห้าม แต่ควรอธิบายเหตุผล ว่าทำไมมันไม่ดี หรืออาจให้เด็กคิดเองว่า “ถ้ามีคนแกล้งเราบ้าง เราจะรู้สึกอย่างไร?” เพื่อให้เด็กเข้าใจผลกระทบของพฤติกรรมเหล่านั้น
สรุป: ถ้าเราไม่ควบคุม วันนี้อาจจะสายเกินไป
ปัญหาคอนเทนต์ที่ไม่มีการกลั่นกรองบน YouTube, Facebook และ TikTok ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ หากปล่อยให้เด็กเสพแต่คอนเทนต์ไร้สาระ หรือพฤติกรรมไม่เหมาะสม สุดท้ายเราจะได้สังคมที่ขาดความเคารพ และค่านิยมผิด ๆ ฝังอยู่ในคนรุ่นใหม่
แต่ เรายังมีโอกาสแก้ไข หากพ่อแม่ ครู และสังคมร่วมมือกัน สอนเด็กให้รู้จักแยกแยะและเลือกเสพสื่ออย่างมีวิจารณญาณ
ในฐานะผู้ใหญ่ เราต้องช่วยกันเลือกและสนับสนุนคอนเทนต์ที่มีคุณค่า เพื่อให้เด็กไทยเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่มีวิจารณญาณ ไม่ใช่เพียงแค่เป็นผู้บริโภคสื่อแบบไร้การคิดวิเคราะห์
หากเราต้องการให้สังคมดีขึ้นในอนาคต เราต้องเริ่มจากการเลือกสิ่งที่เด็กดูในวันนี้