วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2568

ภัยเงียบจาก YouTube, Facebook และ TikTok: เด็กไทยกำลังเติบโตมากับคอนเทนต์ไร้สาระ?

ในยุคดิจิทัลที่เด็ก ๆ สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ง่ายขึ้น แพลตฟอร์มอย่าง YouTube, Facebook และ TikTok กลายเป็นสื่อหลักที่มีอิทธิพลต่อเยาวชนอย่างมหาศาล แต่ในขณะที่มีคอนเทนต์ดี ๆ ที่ให้ความรู้และแรงบันดาลใจ ก็มีคลิปจำนวนมากที่ ไร้สาระ แฝงไปด้วยพฤติกรรมไม่เหมาะสม หรือแม้แต่เป็นอันตราย ซึ่งอาจส่งผลกระทบระยะยาวต่อพฤติกรรมและทัศนคติของเด็กโดยที่พ่อแม่ไม่ทันรู้ตัว

YouTube, Facebook และ TikTok กับปัญหาคอนเทนต์ไร้สาระ

หนึ่งในปัญหาหลักที่เราเห็นได้ชัดเจนคือ คอนเทนต์ที่ทำขึ้นเพื่อความสนุกและเรียกยอดวิว โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคม เช่น:

  • คลิปแกล้งคน (Prank) ที่เกินเลย ทำให้เด็กเข้าใจผิดว่า “การแกล้งกันแรง ๆ เป็นเรื่องขำ”
  • คอนเทนต์พูดจาหยาบคาย ทำให้ภาษาหยาบคายกลายเป็นเรื่องปกติในกลุ่มเยาวชน
  • Challenge อันตราย ที่เด็กอาจเลียนแบบโดยไม่รู้ถึงผลกระทบ เช่น กินของเผ็ดแข่งกันจนป่วย
  • คอนเทนต์ Fake Drama หรือ Clickbait ที่หลอกให้คนดูและปลูกฝังพฤติกรรมเอาเปรียบสังคม
  • Live สดทำคอนเทนต์ไม่เหมาะสม เช่น การไลฟ์ดราม่า ไลฟ์โชว์พฤติกรรมไม่เหมาะสม เพื่อเรียกยอดแชร์
  • คอนเทนต์ล่อแหลมที่แพร่ใน TikTok เช่น การแต่งตัววาบหวิว การท้าทายทำอะไรที่ไม่เหมาะสมต่อหน้าสาธารณะ

สิ่งเหล่านี้แพร่กระจายได้ง่ายเพราะแพลตฟอร์มเหล่านี้ ให้ความสำคัญกับจำนวนการดูมากกว่าคุณภาพของเนื้อหา ทำให้คอนเทนต์ไร้สาระมักถูกแนะนำขึ้นมามากกว่าคอนเทนต์ที่มีประโยชน์

เด็กเล็กซึมซับพฤติกรรมแย่ ๆ ได้อย่างไร?

เด็ก ๆ มีแนวโน้มที่จะ เลียนแบบพฤติกรรมจากสิ่งที่พวกเขาดู โดยเฉพาะหากอินฟลูเอนเซอร์หรือยูทูบเบอร์ที่พวกเขาชื่นชอบทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น:

  • พูดคำหยาบแล้วตลก → เด็กเริ่มพูดตาม
  • แกล้งเพื่อนแรง ๆ แล้วขำ → เด็กคิดว่าเป็นเรื่องปกติ
  • ทำอะไรเว่อร์ ๆ เพื่อเรียกยอดวิว → เด็กซึมซับว่า “อยากดังต้องทำอะไรบ้า ๆ”
  • โพสต์คลิปหรือไลฟ์สดพฤติกรรมไม่เหมาะสม → เด็กอาจทำตามเพราะอยากมีผู้ติดตามเยอะ ๆ

นี่คือภัยเงียบที่อาจทำให้ ค่านิยมในสังคมเปลี่ยนไป และทำให้การเคารพกันและกันลดลงในคนรุ่นใหม่

เราจะป้องกันเด็กจากคอนเทนต์แย่ ๆ ได้อย่างไร?

1. ใช้ Parental Control และตั้งค่าการเข้าถึง

พ่อแม่ควรตั้งค่าการเข้าถึงเนื้อหาของลูกโดยใช้ YouTube Kids, Facebook Parenting Controls และ TikTok Family Pairing ซึ่งช่วยกรองเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม หรือปิดกั้นการเข้าถึงบางคอนเทนต์

2. สอนให้เด็กรู้จักแยกแยะคอนเทนต์

ไม่ใช่ทุกอย่างใน YouTube, Facebook และ TikTok จะเป็นความจริง หรือเป็นสิ่งที่ควรทำ พ่อแม่ควรพูดคุยและสอนให้เด็กเข้าใจว่า:

  • “สิ่งที่ยูทูบเบอร์ทำ เป็นการแสดงเพื่อความบันเทิง ไม่จำเป็นต้องเลียนแบบ”
  • “การพูดจาหยาบคายไม่ใช่เรื่องปกติ”
  • “อะไรคือ Clickbait และการสร้างกระแสเพื่อเรียกยอดวิว”
  • “TikTok ไม่ใช่พื้นที่ที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อเรียกยอดวิว”

3. แนะนำคอนเทนต์ที่มีสาระและน่าสนใจ

พ่อแม่ควรส่งเสริมให้ลูกดูช่องที่มีสาระ เช่น:

  • ช่องความรู้ เช่น ThaiPBS, TED-Ed, CrashCourse
  • ช่องวิทยาศาสตร์ เช่น Kurzgesagt, Veritasium
  • ช่องที่สร้างแรงบันดาลใจ เช่น คนที่แชร์ประสบการณ์ชีวิตดี ๆ

4. กำหนดเวลาและรูปแบบการเสพสื่อของเด็ก

ไม่ควรให้เด็กดู YouTube, Facebook หรือ TikTok ตลอดเวลา แต่ควรกำหนดเวลาให้เหมาะสม เช่น วันละ 1-2 ชั่วโมง และให้ทำกิจกรรมอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น อ่านหนังสือ เล่นกีฬา หรือพูดคุยกับครอบครัว

5. ผู้ปกครองควรดูคลิปที่ลูกดูบ้าง

หากมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม อย่าแค่ห้าม แต่ควรอธิบายเหตุผล ว่าทำไมมันไม่ดี หรืออาจให้เด็กคิดเองว่า “ถ้ามีคนแกล้งเราบ้าง เราจะรู้สึกอย่างไร?” เพื่อให้เด็กเข้าใจผลกระทบของพฤติกรรมเหล่านั้น


สรุป: ถ้าเราไม่ควบคุม วันนี้อาจจะสายเกินไป

ปัญหาคอนเทนต์ที่ไม่มีการกลั่นกรองบน YouTube, Facebook และ TikTok ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ หากปล่อยให้เด็กเสพแต่คอนเทนต์ไร้สาระ หรือพฤติกรรมไม่เหมาะสม สุดท้ายเราจะได้สังคมที่ขาดความเคารพ และค่านิยมผิด ๆ ฝังอยู่ในคนรุ่นใหม่

แต่ เรายังมีโอกาสแก้ไข หากพ่อแม่ ครู และสังคมร่วมมือกัน สอนเด็กให้รู้จักแยกแยะและเลือกเสพสื่ออย่างมีวิจารณญาณ

ในฐานะผู้ใหญ่ เราต้องช่วยกันเลือกและสนับสนุนคอนเทนต์ที่มีคุณค่า เพื่อให้เด็กไทยเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่มีวิจารณญาณ ไม่ใช่เพียงแค่เป็นผู้บริโภคสื่อแบบไร้การคิดวิเคราะห์

หากเราต้องการให้สังคมดีขึ้นในอนาคต เราต้องเริ่มจากการเลือกสิ่งที่เด็กดูในวันนี้

ข้อพิพาททางธุรกิจระหว่าง QCP (มหากิจศิริ) และ Nestlé กับกรณีศึกษาเปรียบเทียบ

บทนำ กรณีพิพาททางธุรกิจระหว่างบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ซึ่งเป็นบริษัทภายใต้กลุ่มทุนมหากิจศิริ กับบริษัท Nestlé ผู้ถือครอ...