ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คำว่า "ลดคาร์บอน" (Carbon Reduction) หรือ "ความเป็นกลางทางคาร์บอน" (Carbon Neutrality) กลายเป็นคำที่ธุรกิจและรัฐบาลทั่วโลกหยิบมาใช้กันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมพลังงาน การขนส่ง เทคโนโลยี หรือแม้แต่แฟชั่น แต่เมื่อพิจารณาให้ลึกลงไป คำเหล่านี้อาจไม่ได้มีความหมายที่แท้จริงมากเท่ากับที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาด
ประเด็นสำคัญคือ การลดคาร์บอนต้องเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่แค่การทำกิจกรรมเพื่อสร้างภาพ เช่น การปลูกต้นไม้ หรือซื้อเครดิตคาร์บอน ในบทความนี้ เราจะมาดูว่ามีประเด็นไหนบ้างที่ย้อนแย้งกับคำว่า "ลดคาร์บอน" และธุรกิจหรือประเทศต่างๆ กำลังทำจริงหรือแค่สร้างภาพ (Greenwashing) กันแน่
1. ประเทศที่ปล่อยคาร์บอนสูงสุด ดันเป็นคนผลักดันนโยบาย Net Zero
ประเทศที่ผลักดันนโยบายลดคาร์บอน เช่น สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และจีน ต่างก็เป็นผู้ปล่อยคาร์บอนมากที่สุดในโลก (IEA, 2023) ในขณะที่จีนประกาศแผนจะเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2060 แต่ในปัจจุบันยังคงสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี ในปี 2022 เพียงปีเดียว จีนอนุมัติการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่มากถึง 106 กิกะวัตต์ มากกว่าประเทศอื่นๆ รวมกัน (Global Energy Monitor, 2023)
ในขณะที่สหภาพยุโรปผลักดันพลังงานสะอาด แต่กลับพึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียเป็นเวลาหลายปี และเมื่อเกิดสงครามยูเครน ก็ต้องกลับไปใช้ถ่านหินแทน การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงจึงยังเป็นเรื่องที่ต้องจับตามอง
2. อุตสาหกรรมขุดและกลั่นน้ำมัน: "ลดคาร์บอน" แต่ยังขยายการผลิต
บริษัทพลังงานขนาดใหญ่ เช่น ExxonMobil, Shell, Chevron และ PTT ต่างโฆษณาว่ากำลังมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน แต่ในความเป็นจริง อุตสาหกรรมนี้ยังคงขยายการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง
- ในปี 2023 บริษัทน้ำมัน 50 อันดับแรกของโลกมีแผนขยายการขุดน้ำมันเพิ่มขึ้นถึง 20% ภายในปี 2030 (Carbon Tracker, 2023)
- แทนที่จะลดการผลิต บริษัทเหล่านี้กลับเลือกใช้วิธี "ซื้อเครดิตคาร์บอน" หรือ "ปลูกป่าชดเชย" ซึ่งไม่ได้ลดการปล่อยคาร์บอนจริง
- บางบริษัทโฆษณาว่าใช้พลังงานหมุนเวียนในโรงกลั่น แต่รายได้หลักยังคงมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล
นอกจากนี้ หลายบริษัทยังลงทุนในเทคโนโลยี Carbon Capture and Storage (CCS) หรือการดักจับและกักเก็บคาร์บอน แต่การใช้งานจริงยังมีข้อจำกัดสูง และไม่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ในระดับที่เพียงพอ การพึ่งพาเทคโนโลยีนี้มากเกินไปอาจเป็นเพียงข้ออ้างให้บริษัทน้ำมันดำเนินธุรกิจต่อไปโดยไม่ต้องลดการผลิต
3. รถยนต์ไฟฟ้า: "สะอาด" จริงหรือแค่เปลี่ยนที่ปล่อยมลพิษ?
อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มักชูจุดขายว่าเป็นทางออกของปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ในความเป็นจริง การผลิตแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนที่ใช้ในรถ EV นั้นมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก
- การขุดแร่ลิเธียมและโคบอลต์ ส่งผลให้เกิดการทำลายทรัพยากรน้ำในชิลีและเปรู รวมถึงการใช้แรงงานเด็กในเหมืองโคบอลต์ในคองโก (Amnesty International, 2019)
- รถ EV อาจไม่มีไอเสีย แต่สร้างฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) จากการสึกหรอของยางรถยนต์และถนนมากกว่ารถยนต์ทั่วไป เนื่องจากมีน้ำหนักมากกว่า (T&E, 2021)
- หากไฟฟ้าที่ใช้ชาร์จรถยังมาจากถ่านหินหรือก๊าซธรรมชาติ ก็เป็นเพียงการเปลี่ยนแหล่งปล่อยมลพิษจากท่อไอเสียไปสู่โรงไฟฟ้าเท่านั้น
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ จีนซึ่งเป็นตลาด EV ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ 60% ของไฟฟ้ายังมาจากถ่านหิน (IEA, 2023) ดังนั้น EV จะช่วยลดมลพิษได้จริงก็ต่อเมื่อระบบไฟฟ้าพัฒนาไปสู่พลังงานสะอาดมากขึ้น
4. Fast Fashion: "เสื้อผ้ารักษ์โลก" ที่สร้างขยะมหาศาล
อุตสาหกรรมแฟชั่นเป็นอีกหนึ่งแหล่งปล่อยมลพิษสำคัญ คิดเป็น 10% ของการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก (Ellen MacArthur Foundation, 2021) แบรนด์แฟชั่นจำนวนมากโฆษณาเสื้อผ้าจากวัสดุรีไซเคิล แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงผลิตเสื้อผ้าจำนวนมหาศาลที่มีอายุการใช้งานสั้น
- เสื้อผ้ากว่า 85% ลงเอยที่หลุมฝังกลบ แม้บางส่วนจะทำจากวัสดุรีไซเคิลก็ตาม (Greenpeace, 2022)
- วัสดุรีไซเคิลบางชนิด ใช้พลังงานมากกว่าการผลิตเสื้อผ้าจากวัสดุปกติ ทำให้การลดคาร์บอนจริงแทบไม่เกิดขึ้น
5. อุตสาหกรรมสายการบิน: ลดคาร์บอนแต่ขยายเส้นทางบิน
อุตสาหกรรมการบินเป็นหนึ่งในแหล่งปล่อยคาร์บอนที่สำคัญ โดยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึง 2.5% ของทั้งหมด (ATAG, 2022) หลายสายการบินออกมาโฆษณาเกี่ยวกับ Sustainable Aviation Fuel (SAF) หรือการปลูกป่าชดเชยคาร์บอน แต่ SAF ยังมีการใช้น้อยกว่า 1% ของเชื้อเพลิงทั้งหมด และต้นไม้ที่ปลูกต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะดูดซับคาร์บอนได้ในระดับที่มีนัยสำคัญ
สรุป: "ลดคาร์บอน" จริง หรือแค่ Greenwashing?
- หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เช่น การลดการใช้พลังงานฟอสซิลในระบบไฟฟ้า หรือการควบคุมการบริโภคที่เกินความจำเป็น การพูดถึง "ลดคาร์บอน" อาจเป็นเพียงการสร้างภาพ
- นโยบายที่ได้ผลจริงต้องรวมถึง Carbon Tax หรือ Cap-and-Trade ที่บังคับให้ธุรกิจลดการปล่อยคาร์บอนอย่างเป็นรูปธรรม
- การบริโภคอย่างมีสติมีความสำคัญมากกว่าการฝากความหวังไว้กับเทคโนโลยีใหม่ที่ยังมีปัญหาของตัวเอง
ดังนั้น คำว่า "ลดคาร์บอน" อาจฟังดูดี แต่ต้องถามต่อว่า ลดจริง หรือแค่เปลี่ยนที่ปล่อย?