วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา 2568: ลำดับเหตุการณ์และปฏิกิริยานานาชาติ

ความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาในปี 2568 ปะทุขึ้นอีกครั้งอย่างรุนแรง โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่พิพาทรอบปราสาทพระวิหารและปราสาทตาเมือนธม นำไปสู่การสูญเสียชีวิตของพลเรือนและทหาร รวมถึงการอพยพของประชาชนไทยกว่า 42,000 คนในพื้นที่ชายแดน บทความนี้จะนำเสนอลำดับเหตุการณ์สำคัญ พร้อมสรุปปฏิกิริยานานาชาติ และวิเคราะห์แนวโน้มในอนาคตจากมุมมองด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ


ลำดับเหตุการณ์สำคัญ

13 กุมภาพันธ์ 2568 — ปราสาทตาเมือนธม
พลเรือนและทหารกัมพูชา (ประมาณ 60 คน ตามรายงานที่ไม่เป็นทางการ) เดินทางเข้าไปในพื้นที่พิพาท เพื่อแสดงอธิปไตยด้วยการร้องเพลงชาติและปักธงชาติกัมพูชา ทหารพรานไทยจากกองร้อยทหารพราน 2606 เข้าห้าม เกิดการเผชิญหน้าทางวาจานาน 27 นาทีโดยไม่มีการใช้กำลัง คลิปวิดีโอความยาว 3 นาที 41 วินาทีถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย กระตุ้นกระแสชาตินิยมในทั้งสองประเทศ ด้วยแฮชแท็ก #ProtectTaMuen และ #SaveOurTemple บน X และ Facebook (ตามการสังเกตบนโซเชียลมีเดีย).

12-18 พฤษภาคม 2568 — ขุดสนามเพลาะ
กองทัพภาคที่ 2 รายงานว่าพบทหารกัมพูชาขุดสนามเพลาะยาว 45 เมตร ลึก 1.2 เมตร ใกล้ช่องบก จังหวัดสุรินทร์ เพื่อการทหาร กัมพูชาปฏิเสธและถอนกำลังชั่วคราวหลังเจรจาระดับท้องถิ่นเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม แต่ไม่รื้อถอนสนามเพลาะ.

28 พฤษภาคม 2568 — ปะทะที่ช่องบก
เวลา 06:42 น. ทหารไทยจากหน่วยเฉพาะกิจที่ 26 ปะทะกับทหารกัมพูชา 15 นาย ใกล้ชายแดนช่องบก (เรียกว่า "ม่อมเบย" ในกัมพูชา) ห่างจากพรมแดน 500 เมตร ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย ฝ่ายไทยบาดเจ็บเล็กน้อย 2 นายจากสะเก็ดระเบิด ไทยอ้างว่ากัมพูชายิงปืนครก 3 นัดก่อน ขณะที่กัมพูชาโต้ว่าไทยล้ำแดนและยิงก่อน กองทัพไทยแถลงพร้อมภาพถ่ายดาวเทียมของหลุมยิงและปืนใหญ่.

16-23 กรกฎาคม 2568 — กับระเบิด
ทหารไทย 2 นายบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิดในพื้นที่พิพาท ไทยกล่าวหากัมพูชาวางกับระเบิด PMN-2 ใหม่ (ตามรายงานของกองทัพไทย) กัมพูชาปฏิเสธ อ้างว่าเป็นระเบิดเก่าจากยุคสงครามเย็น.

24 กรกฎาคม 2568 — การโจมตีทางอากาศ
กัมพูชายิงจรวด BM-21 Grad 12 ลูกเข้าสู่ชุมชนในจังหวัดสุรินทร์ ทำให้พลเรือนไทยเสียชีวิต 11-12 ราย (รวมเด็กชายวัย 8 ปีและหญิงสูงวัย 2 ราย) และบาดเจ็บ 31 ราย (พลเรือน 24 ราย ทหาร 7 ราย) โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 1 แห่ง สถานีบริการน้ำมัน 2 แห่ง และบ้านเรือน 37 หลังได้รับความเสียหาย. ไทยตอบโต้โดยส่งเครื่องบิน F-16 จำนวน 6 ลำจากฝูงบิน 403 โจมตีเป้าหมายทหารกัมพูชาใกล้ปราสาทตาเมือนธม ใช้ระเบิด GBU-12 Paveway II และ AIM-9 Sidewinder ปฏิบัติการใช้เวลา 43 นาที ทำลายคลังอาวุธและระบบขนส่ง 4 จุด คาดว่าทหารกัมพูชาเสียชีวิต 8 นาย บาดเจ็บ 15 นาย (ตามรายงานที่ไม่เป็นทางการ). ไทยเรียกตัวเอกอัครราชทูตจากพนมเปญกลับ ขับทูตกัมพูชาออก และปิดพรมแดนทั้งหมด แถลงว่าการโจมตีเป็นการป้องกันตัวที่ชอบธรรม. ประชาชนไทยกว่า 42,000 คนอพยพเข้าสู่ศูนย์พักพิงฉุกเฉิน 7 แห่งในจังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์ กระทรวงมหาดไทยจัดตั้งชุดแพทย์สนาม 9 ทีมและรถพยาบาล 17 คัน.


ปฏิกิริยานานาชาติและภูมิภาค

อาเซียน (ASEAN)

  • มาเลเซีย: นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม แถลงเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ว่าห่วงกังวลต่อสถานการณ์และเสนอให้มาเลเซียเป็นตัวกลางในการเจรจา แต่ติดขัดหลักการไม่แทรกแซงของอาเซียน.
  • อินโดนีเซีย: เสนอส่งผู้สังเกตการณ์ทหารและพลเรือน 40 คน (ตามข้อเสนอที่ยังไม่ได้รับฉันทามติ) ในที่ประชุมอาเซียนที่จาการ์ตาเมื่อมิถุนายน 2568.
  • ฟิลิปปินส์: กระทรวงการต่างประเทศเรียกร้องให้เคารพกฎบัตรอาเซียนและจัดเวทีหารือพิเศษ.
  • ข้อจำกัดของอาเซียน: นักวิชาการจาก ISEAS – Yusof Ishak Institute วิจารณ์ว่าอาเซียนขาดกลไกที่มีผลผูกพันในการจัดการข้อพิพาทรุนแรง ทำให้ต้องพึ่ง ICJ หรือ UN.

จีน

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนแถลงเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ว่ามีความกังวลต่อสถานการณ์ ขอให้ทุกฝ่ายยับยั้งชั่งใจ และพร้อมเป็นตัวกลางหากร้องขอ โดยเน้นความมั่นคงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้.

สหประชาชาติ (UN)

กัมพูชายื่นเรื่องต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เมื่อเวลา 16:45 น. (นิวยอร์ก) วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ขอให้จัดประชุมฉุกเฉิน โดยกล่าวหาไทยละเมิดกฎบัตร UN มาตรา 2(4) พร้อมยื่นเอกสารแสดงความเสียหาย รวมถึงทหารเสียชีวิต 8-15 รายจากการโจมตีทางอากาศ (ตามรายงานที่ไม่เป็นทางการ) UNSC ยังไม่กำหนดวันประชุม แต่ฝรั่งเศสและรัสเซียเรียกร้องให้มีการหารือแบบปิดภายใน 48 ชั่วโมง (ตามรายงานที่ยังไม่ยืนยัน).

สหรัฐอเมริกา

รัฐบาลสหรัฐฯ ยังไม่มีแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ บทวิเคราะห์จาก Foreign Policy และ The Washington Post สนับสนุนให้อาเซียนเป็นผู้นำการเจรจา เพื่อหลีกเลี่ยงความตึงเครียดในภูมิภาคที่จีนมีบทบาทสูง.

ภาคประชาชนและองค์กรสิทธิมนุษยชน

มีการรณรงค์หยุดความรุนแรงผ่านแฮชแท็ก #PeaceForASEAN และ #StopBorderWar บน X และ TikTok (ตามการสังเกตบนโซเชียลมีเดีย) Human Rights Watch และ Amnesty International เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายยุติการโจมตีพลเรือนและเปิดทางให้หน่วยงานช่วยเหลือเข้าถึงผู้ได้รับผลกระทบ.

วิเคราะห์สถานการณ์

  • รากฐานประวัติศาสตร์: ข้อพิพาทชายแดนมีรากฐานจากสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม (1904-1907) ซึ่งกำหนดเส้นเขตแดนอย่างไม่ชัดเจน พื้นที่รอบปราสาทพระวิหารและปราสาทตาเมือนธมเป็นจุดศูนย์กลางของความขัดแย้งตั้งแต่ปี 2505 (ค.ศ. 1962) หลัง ICJ ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา.
  • ความท้าทายของอาเซียน: การขาดกลไกแก้ไขข้อพิพาทที่มีประสิทธิภาพทำให้ความขัดแย้งครั้งนี้ทดสอบความเป็นเอกภาพของอาเซียน.
  • ผลกระทบในอนาคต: การปิดพรมแดนและคว่ำบาตรทางการค้า เช่น การห้ามนำเข้าสินค้าและสื่อบันเทิง อาจกระทบเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ กระแสชาตินิยมที่เพิ่มขึ้นอาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ.

แนวโน้มในอนาคต

  • หากไม่มีการเจรจาภายใต้ความยินยอมร่วมกัน อาจเกิดการปะทะซ้ำรอยคล้ายปี 2551-2554.
  • อาเซียนควรจัดตั้งเวทีเจรจาใหม่ เช่น Border Peace Forum ภายใต้การกำกับของ UNESCAP.

ข้อเสนอเชิงนโยบาย

  • จัดตั้งกลไกเฝ้าระวังพรมแดนที่มีการรายงานต่อสาธารณะ.
  • ส่งเสริมความร่วมมือเศรษฐกิจในพื้นที่พิพาท เช่น เขตการค้าร่วม.
  • จัดทำแผนที่ร่วมโดยใช้ข้อมูล open GIS ภายใต้การรับรองของ ICJ และ UN.

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

  • Reuters, The Guardian, BBC, AP News, Foreign Policy, The Washington Post, South China Morning Post, Asia Society, Council on Foreign Relations, ISEAS – Yusof Ishak Institute.
  • คำแถลงของรัฐบาลไทยและกัมพูชา และโพสต์บน X จาก @Reuters, @SCMPNews, @Pran2844, @Jaungtakhob (มุมมองจากโซเชียลมีเดีย).

ASEAN = Club คนปอดแหก

เมื่อไฟลุกชายแดนไทย–กัมพูชา อาเซียนกลับยืนเงียบอยู่ในมุม เหมือนเด็กปอดแหกที่ไม่กล้าแม้แต่จะบอกว่า “เพื่อนกูโดนรังแก” นี่ไม่ใช่ครั้งแรก และคง...