ความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาในปี 2568 ปะทุขึ้นอีกครั้งอย่างรุนแรง โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่พิพาทรอบปราสาทพระวิหารและปราสาทตาเมือนธม นำไปสู่การสูญเสียชีวิตของพลเรือนและทหาร รวมถึงการอพยพของประชาชนไทยกว่า 42,000 คนในพื้นที่ชายแดน บทความนี้จะนำเสนอลำดับเหตุการณ์สำคัญ พร้อมสรุปปฏิกิริยานานาชาติ และวิเคราะห์แนวโน้มในอนาคตจากมุมมองด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ลำดับเหตุการณ์สำคัญ
13 กุมภาพันธ์ 2568 — ปราสาทตาเมือนธม
พลเรือนและทหารกัมพูชา (ประมาณ 60 คน ตามรายงานที่ไม่เป็นทางการ) เดินทางเข้าไปในพื้นที่พิพาท เพื่อแสดงอธิปไตยด้วยการร้องเพลงชาติและปักธงชาติกัมพูชา ทหารพรานไทยจากกองร้อยทหารพราน 2606 เข้าห้าม เกิดการเผชิญหน้าทางวาจานาน 27 นาทีโดยไม่มีการใช้กำลัง คลิปวิดีโอความยาว 3 นาที 41 วินาทีถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย กระตุ้นกระแสชาตินิยมในทั้งสองประเทศ ด้วยแฮชแท็ก #ProtectTaMuen และ #SaveOurTemple บน X และ Facebook (ตามการสังเกตบนโซเชียลมีเดีย).
12-18 พฤษภาคม 2568 — ขุดสนามเพลาะ
กองทัพภาคที่ 2 รายงานว่าพบทหารกัมพูชาขุดสนามเพลาะยาว 45 เมตร ลึก 1.2 เมตร ใกล้ช่องบก จังหวัดสุรินทร์ เพื่อการทหาร กัมพูชาปฏิเสธและถอนกำลังชั่วคราวหลังเจรจาระดับท้องถิ่นเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม แต่ไม่รื้อถอนสนามเพลาะ.
28 พฤษภาคม 2568 — ปะทะที่ช่องบก
เวลา 06:42 น. ทหารไทยจากหน่วยเฉพาะกิจที่ 26 ปะทะกับทหารกัมพูชา 15 นาย ใกล้ชายแดนช่องบก (เรียกว่า "ม่อมเบย" ในกัมพูชา) ห่างจากพรมแดน 500 เมตร ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย ฝ่ายไทยบาดเจ็บเล็กน้อย 2 นายจากสะเก็ดระเบิด ไทยอ้างว่ากัมพูชายิงปืนครก 3 นัดก่อน ขณะที่กัมพูชาโต้ว่าไทยล้ำแดนและยิงก่อน กองทัพไทยแถลงพร้อมภาพถ่ายดาวเทียมของหลุมยิงและปืนใหญ่.
16-23 กรกฎาคม 2568 — กับระเบิด
ทหารไทย 2 นายบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิดในพื้นที่พิพาท ไทยกล่าวหากัมพูชาวางกับระเบิด PMN-2 ใหม่ (ตามรายงานของกองทัพไทย) กัมพูชาปฏิเสธ อ้างว่าเป็นระเบิดเก่าจากยุคสงครามเย็น.
24 กรกฎาคม 2568 — การโจมตีทางอากาศ
กัมพูชายิงจรวด BM-21 Grad 12 ลูกเข้าสู่ชุมชนในจังหวัดสุรินทร์ ทำให้พลเรือนไทยเสียชีวิต 11-12 ราย (รวมเด็กชายวัย 8 ปีและหญิงสูงวัย 2 ราย) และบาดเจ็บ 31 ราย (พลเรือน 24 ราย ทหาร 7 ราย) โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 1 แห่ง สถานีบริการน้ำมัน 2 แห่ง และบ้านเรือน 37 หลังได้รับความเสียหาย. ไทยตอบโต้โดยส่งเครื่องบิน F-16 จำนวน 6 ลำจากฝูงบิน 403 โจมตีเป้าหมายทหารกัมพูชาใกล้ปราสาทตาเมือนธม ใช้ระเบิด GBU-12 Paveway II และ AIM-9 Sidewinder ปฏิบัติการใช้เวลา 43 นาที ทำลายคลังอาวุธและระบบขนส่ง 4 จุด คาดว่าทหารกัมพูชาเสียชีวิต 8 นาย บาดเจ็บ 15 นาย (ตามรายงานที่ไม่เป็นทางการ). ไทยเรียกตัวเอกอัครราชทูตจากพนมเปญกลับ ขับทูตกัมพูชาออก และปิดพรมแดนทั้งหมด แถลงว่าการโจมตีเป็นการป้องกันตัวที่ชอบธรรม. ประชาชนไทยกว่า 42,000 คนอพยพเข้าสู่ศูนย์พักพิงฉุกเฉิน 7 แห่งในจังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์ กระทรวงมหาดไทยจัดตั้งชุดแพทย์สนาม 9 ทีมและรถพยาบาล 17 คัน.
ปฏิกิริยานานาชาติและภูมิภาค
อาเซียน (ASEAN)
- มาเลเซีย: นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม แถลงเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ว่าห่วงกังวลต่อสถานการณ์และเสนอให้มาเลเซียเป็นตัวกลางในการเจรจา แต่ติดขัดหลักการไม่แทรกแซงของอาเซียน.
- อินโดนีเซีย: เสนอส่งผู้สังเกตการณ์ทหารและพลเรือน 40 คน (ตามข้อเสนอที่ยังไม่ได้รับฉันทามติ) ในที่ประชุมอาเซียนที่จาการ์ตาเมื่อมิถุนายน 2568.
- ฟิลิปปินส์: กระทรวงการต่างประเทศเรียกร้องให้เคารพกฎบัตรอาเซียนและจัดเวทีหารือพิเศษ.
- ข้อจำกัดของอาเซียน: นักวิชาการจาก ISEAS – Yusof Ishak Institute วิจารณ์ว่าอาเซียนขาดกลไกที่มีผลผูกพันในการจัดการข้อพิพาทรุนแรง ทำให้ต้องพึ่ง ICJ หรือ UN.
จีน
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนแถลงเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ว่ามีความกังวลต่อสถานการณ์ ขอให้ทุกฝ่ายยับยั้งชั่งใจ และพร้อมเป็นตัวกลางหากร้องขอ โดยเน้นความมั่นคงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้.
สหประชาชาติ (UN)
กัมพูชายื่นเรื่องต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เมื่อเวลา 16:45 น. (นิวยอร์ก) วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ขอให้จัดประชุมฉุกเฉิน โดยกล่าวหาไทยละเมิดกฎบัตร UN มาตรา 2(4) พร้อมยื่นเอกสารแสดงความเสียหาย รวมถึงทหารเสียชีวิต 8-15 รายจากการโจมตีทางอากาศ (ตามรายงานที่ไม่เป็นทางการ) UNSC ยังไม่กำหนดวันประชุม แต่ฝรั่งเศสและรัสเซียเรียกร้องให้มีการหารือแบบปิดภายใน 48 ชั่วโมง (ตามรายงานที่ยังไม่ยืนยัน).
สหรัฐอเมริกา
รัฐบาลสหรัฐฯ ยังไม่มีแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ บทวิเคราะห์จาก Foreign Policy และ The Washington Post สนับสนุนให้อาเซียนเป็นผู้นำการเจรจา เพื่อหลีกเลี่ยงความตึงเครียดในภูมิภาคที่จีนมีบทบาทสูง.
ภาคประชาชนและองค์กรสิทธิมนุษยชน
มีการรณรงค์หยุดความรุนแรงผ่านแฮชแท็ก #PeaceForASEAN และ #StopBorderWar บน X และ TikTok (ตามการสังเกตบนโซเชียลมีเดีย) Human Rights Watch และ Amnesty International เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายยุติการโจมตีพลเรือนและเปิดทางให้หน่วยงานช่วยเหลือเข้าถึงผู้ได้รับผลกระทบ.
วิเคราะห์สถานการณ์
- รากฐานประวัติศาสตร์: ข้อพิพาทชายแดนมีรากฐานจากสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม (1904-1907) ซึ่งกำหนดเส้นเขตแดนอย่างไม่ชัดเจน พื้นที่รอบปราสาทพระวิหารและปราสาทตาเมือนธมเป็นจุดศูนย์กลางของความขัดแย้งตั้งแต่ปี 2505 (ค.ศ. 1962) หลัง ICJ ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา.
- ความท้าทายของอาเซียน: การขาดกลไกแก้ไขข้อพิพาทที่มีประสิทธิภาพทำให้ความขัดแย้งครั้งนี้ทดสอบความเป็นเอกภาพของอาเซียน.
- ผลกระทบในอนาคต: การปิดพรมแดนและคว่ำบาตรทางการค้า เช่น การห้ามนำเข้าสินค้าและสื่อบันเทิง อาจกระทบเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ กระแสชาตินิยมที่เพิ่มขึ้นอาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ.
แนวโน้มในอนาคต
- หากไม่มีการเจรจาภายใต้ความยินยอมร่วมกัน อาจเกิดการปะทะซ้ำรอยคล้ายปี 2551-2554.
- อาเซียนควรจัดตั้งเวทีเจรจาใหม่ เช่น Border Peace Forum ภายใต้การกำกับของ UNESCAP.
ข้อเสนอเชิงนโยบาย
- จัดตั้งกลไกเฝ้าระวังพรมแดนที่มีการรายงานต่อสาธารณะ.
- ส่งเสริมความร่วมมือเศรษฐกิจในพื้นที่พิพาท เช่น เขตการค้าร่วม.
- จัดทำแผนที่ร่วมโดยใช้ข้อมูล open GIS ภายใต้การรับรองของ ICJ และ UN.
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- Reuters, The Guardian, BBC, AP News, Foreign Policy, The Washington Post, South China Morning Post, Asia Society, Council on Foreign Relations, ISEAS – Yusof Ishak Institute.
- คำแถลงของรัฐบาลไทยและกัมพูชา และโพสต์บน X จาก @Reuters, @SCMPNews, @Pran2844, @Jaungtakhob (มุมมองจากโซเชียลมีเดีย).