เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ข่าวการถล่มของโครงการก่อสร้างอาคารแห่งใหม่ของ "สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)" บนถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร สร้างความตกตะลึงไปทั่วกรุงเทพมหานคร ไม่ใช่แค่เพราะมีผู้ได้รับบาดเจ็บและสูญหายจากอุบัติเหตุในเขตก่อสร้าง แต่ยังโยงใยถึงคำถามสำคัญว่า โครงการรัฐขนาดใหญ่ที่ใช้งบประมาณนับพันล้านบาท มีระบบควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยมากพอหรือไม่
โครงการที่มีความทะเยอทะยาน: อาคารใหม่ของ สตง.
โครงการอาคารสำนักงานแห่งใหม่นี้ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 10 ไร่ ใจกลางกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วยอาคารสำนักงานสูง 30 ชั้น อาคารฝึกอบรม และอาคารจอดรถ รวมพื้นที่ก่อสร้างกว่า 96,000 ตารางเมตร โดยใช้งบประมาณกว่า 2,136 ล้านบาท เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2563 และมีกำหนดแล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ 2569
โครงการนี้ไม่เพียงมีความสำคัญในฐานะอาคารสำนักงานของหน่วยงานตรวจสอบงบประมาณของประเทศเท่านั้น แต่ยังสะท้อนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างรัฐบาลไทยกับกลุ่มทุนก่อสร้างจากจีน
เบื้องหลังผู้รับเหมา: จากรัฐวิสาหกิจจีนสู่พื้นที่ก่อสร้างไทย
โครงการนี้ดำเนินการโดยกิจการร่วมค้า "ไอทีดี-ซีอาร์อีซี" (ITD-CREC JV) ซึ่งประกอบด้วย:
-
บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD
-
บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด (China Railway No.10 Engineering Group – CR10)
CR10 เป็นบริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ของจีนภายใต้เครือ China Railway Construction Corporation (CRCC) ที่มีผลงานก่อสร้างทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเอเชียและแอฟริกา
ในประเทศไทย บริษัทนี้ได้จดทะเบียนเมื่อปี 2561 และเริ่มเป็นที่รู้จักผ่านโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน (ช่วงกรุงเทพฯ – นครราชสีมา) ภายใต้สัญญา 3-1 รวมถึงโครงการก่อสร้าง สตง. แห่งนี้ ซึ่งนับเป็น "อาคารสูงพิเศษแห่งแรกของบริษัทในต่างประเทศ" ตามที่มีการรายงานจากสื่อจีน ทั้งนี้ รายงานความคืบหน้าเมื่อเกิดเหตุระบุว่า โครงการมีความคืบหน้าโดยรวมประมาณ 30% แม้จะเทคอนกรีตชั้นบนสุดเสร็จแล้วก็ตาม
ความก้าวหน้าที่กลายเป็นโศกนาฏกรรม
แม้จะมีการลงนามในสัญญาก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2563 และมีกำหนดแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 แต่โครงการกลับล่าช้าเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 และปัญหาทางวิศวกรรมที่ต้องปรับแก้แบบโครงสร้างในส่วน Load Factor และ Core Wall ทำให้ต้องหยุดชะงักเป็นระยะ ส่งผลให้ค่าควบคุมงานเพิ่มขึ้นอีกกว่า 9.7 ล้านบาท และมูลค่ารวมของโครงการพุ่งสูงถึงราว 2,200 ล้านบาท
กระแสในสังคมบางส่วนยังมองว่า เหตุการณ์นี้ถือเป็น “โชคดีในความโชคร้าย” เพราะถ้าอาคารสร้างเสร็จและมีการเปิดใช้งานไปแล้ว การถล่มในอนาคตอาจสร้างความสูญเสียที่รุนแรงยิ่งกว่านี้หลายเท่า
จากข้อมูลที่เผยแพร่โดยสื่อจีนเมื่อเมษายน 2568 โครงการ สตง. ได้บรรลุหมุดหมายสำคัญ คือการเทคอนกรีตชั้นสุดท้ายเสร็จสมบูรณ์ ด้วยเทคโนโลยีการก่อสร้างขั้นสูงแบบ "แกนกลางรับแรง + พื้นไร้คาน" และเทคนิคแบบเลื่อนแบบหล่อ (Slip Form), ยกติดตั้งพื้นไร้คาน และระบบนั่งร้านปีนไต่อัตโนมัติ
มีการระบุถึงมาตรฐานความปลอดภัย เช่น การอบรมพนักงาน 100% การควบคุมคุณภาพระดับมิลลิเมตร และการตรวจสอบคุณภาพรายวัน โดยอ้างอิงทั้งมาตรฐานไทย จีน และนานาชาติ
อย่างไรก็ตาม เพียงไม่กี่เดือนต่อมา เหตุการณ์ถล่มในพื้นที่ก่อสร้างก็เกิดขึ้นจริง โดยเบื้องต้นคาดว่าอาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในประเทศเมียนมา ซึ่งแรงสั่นสะเทือนสามารถรับรู้ได้ถึงกรุงเทพมหานคร อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบหาสาเหตุอย่างเป็นทางการ
คำถามต่อระบบควบคุมของรัฐ
เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นจุดเปราะบางในระบบการกำกับดูแลโครงการก่อสร้างภาครัฐ ถึงแม้จะมีการอ้างว่าใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและมาตรฐานระดับสากล แต่ผลที่ปรากฏกลับตรงกันข้าม
คำถามสำคัญคือ:
-
การตรวจสอบของหน่วยงานรัฐเป็นเพียงพิธีกรรมหรือมีประสิทธิภาพจริง?
-
ความร่วมมือระหว่างบริษัทต่างชาติและผู้รับเหมาท้องถิ่นมีปัญหาการสื่อสารหรือไม่?
-
มาตรฐานจากจีนที่ใช้ อิงกับข้อเท็จจริงในบริบทไทยเพียงพอหรือเปล่า?
บทเรียนจากความเสียหาย
โครงการ สตง. เป็นเพียงหนึ่งในหลายโครงการขนาดใหญ่ที่รัฐบาลไทยผลักดันร่วมกับทุนจีนในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งรถไฟความเร็วสูง ท่าเรือ และนิคมอุตสาหกรรม แต่เหตุการณ์เช่นนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ "ความโปร่งใสและการควบคุมคุณภาพ" อย่างแท้จริง แม้ว่าโครงการนี้จะเข้าร่วมโครงการข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) ของ ป.ป.ช. เพื่อป้องกันการทุจริตตั้งแต่ต้นทาง มากกว่าแค่ภาพลักษณ์หรือความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์บนกระดาษ
บทสรุป
ตึกถล่มที่จตุจักรไม่ใช่แค่โศกนาฏกรรมทางกายภาพ แต่เป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนถึงการตั้งคำถามใหม่กับระบบการควบคุมคุณภาพของโครงการก่อสร้างรัฐโดยเฉพาะเมื่อมีทุนข้ามชาติจากจีนเข้ามาเกี่ยวข้อง
หากไม่มีการทบทวนอย่างจริงจัง ความร่วมมือไทย-จีนในอนาคตอาจตกอยู่ใต้เงาแห่งความไม่ไว้วางใจ และผู้รับเคราะห์สุดท้ายก็ยังคงเป็นประชาชนคนไทยเช่นเดิม