วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568

แรงสั่นแผ่นดินไหว: ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่ "ใกล้หรือไกล" แต่ขึ้นกับหลายปัจจัยที่คุณอาจไม่เคยรู้

ทุกครั้งที่เกิดแผ่นดินไหว คำถามที่มักเกิดขึ้นคือ “อยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวตั้งหลายร้อยกิโล ทำไมยังรู้สึกแรงขนาดนี้?” หรือ “บางเมืองใกล้กว่าแท้ ๆ แต่กลับไม่สั่นเท่าเรา?” ความเข้าใจที่ว่า “ยิ่งใกล้แรง ยิ่งไกลเบา” นั้นไม่ผิด...แต่ยังไม่ครบ เพราะความแรงของแผ่นดินไหวที่มนุษย์รับรู้ได้จริง ๆ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยมากกว่านั้น

1. ระยะทางจากจุดศูนย์กลาง (Epicenter)

โดยทั่วไป ยิ่งอยู่ใกล้จุดศูนย์กลาง ก็ยิ่งได้รับแรงสั่นสะเทือนมาก แต่ในทางปฏิบัติ คลื่นแผ่นดินไหว (Seismic waves) เดินทางผ่านชั้นหิน ดิน และโครงสร้างใต้ดิน ซึ่งมีผลต่อ "การสูญเสียพลังงาน" ของคลื่น ยิ่งผ่านวัสดุแข็งมาก คลื่นยิ่งลดกำลังเร็ว แต่ถ้าเจอดินอ่อน คลื่นอาจถูกขยายกลับขึ้นมาอีก

2. ความลึกของแผ่นดินไหว (Focal depth)

แผ่นดินไหวลึก (เช่น 100-300 กิโลเมตร) พลังงานจะกระจายกว้าง แต่แรงที่ผิวดินจะเบากว่า
แผ่นดินไหวตื้น (ลึก < 20 กิโลเมตร) ถึงแม้จะเกิดไกล แต่แรงสั่นมักทะลุขึ้นมาถึงพื้นผิวแรงกว่า

เหตุการณ์เมียนมา 7.4 เมื่อ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมาคือแผ่นดินไหวตื้น (ลึกเพียง 10 กม.) จึงส่งผลแรงในวงกว้างถึงกรุงเทพฯ ได้ชัดเจน

3. ชนิดของดินและชั้นหินใต้พื้นผิว

  • ดินแข็ง (เช่น หินแกรนิต) จะช่วยดูดซับและลดทอนแรงสั่น

  • ดินอ่อน (เช่น ดินเหนียว ดินตะกอน) มีคุณสมบัติขยายแรงสั่นสะเทือนได้รุนแรงขึ้น

กรุงเทพฯ ตั้งอยู่บน “ดินอ่อนลึกกว่า 10 เมตร” คล้ายพุดดิ้ง ทำให้แม้แรงสั่นจากแผ่นดินไหวจะเดินทางไกลจากเมียนมา แต่กลับ “สะท้อน” และ “ขยาย” ในช่วงความถี่ที่อาคารสูงรับรู้ได้อย่างชัดเจน

4. ช่วงความถี่ของคลื่นแผ่นดินไหว (Resonance Effect)

คลื่นแผ่นดินไหวมีความถี่ ถ้าไปตรงกับความถี่ธรรมชาติของอาคาร (Resonance Frequency) จะเกิดแรงสั่นที่ขยายขึ้นเป็นทวีคูณ อาคารสูงมักมีความถี่ต่ำ จึง “สั่นแรง” เมื่อเจอคลื่นจากแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ แม้จะเกิดไกล

ในทางกลับกัน อาคารเตี้ยจะสั่นแรงกว่าหากเจอคลื่นที่มีความถี่สูงและรุนแรงจากแผ่นดินไหวตื้นขนาดกลาง

5. โครงสร้างอาคาร

อาคารที่ออกแบบให้ “รับแรงเฉือน” (shear) และมีการเสริมคาน ผนัง หรือฐานรากแบบแยกแรงสั่น (base isolation) จะทนทานกว่า

อาคารทั่วไปในกรุงเทพฯ ส่วนมากไม่ได้ออกแบบให้รับแรงแผ่นดินไหว เพราะไม่ใช่เขตเสี่ยงสูง จึงอาศัยโชคและความปลอดภัยของดินเป็นหลัก

6. ทิศทางการแพร่ของคลื่น

คลื่นแผ่นดินไหวไม่กระจายเท่ากันทุกทิศทาง ขึ้นกับทิศที่รอยเลื่อนขยับ (fault rupture direction) บางพื้นที่จึงรับแรงมากกว่า แม้อยู่ไกลกว่าคนอื่น

7. รูปทรงภูมิประเทศ

หุบเขา ที่ลาดเขา หรือริมแม่น้ำ สามารถขยายหรือสะท้อนคลื่นแผ่นดินไหว ทำให้บางจุดได้รับแรงสั่นมากกว่าบริเวณราบทั่วไป แม้อยู่ในระยะเดียวกัน

สรุป

ความแรงของแผ่นดินไหวที่เรารู้สึกได้ไม่ใช่แค่เรื่อง "ใกล้หรือไกล" แต่เป็นการรวมกันของ ระยะทาง ความลึก ลักษณะดิน โครงสร้างอาคาร ความถี่ของคลื่น และลักษณะพื้นที่ที่อยู่อาศัย เหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมาที่ผ่านมาเป็นตัวอย่างที่ดีของกรณี “อยู่ไกลแต่แรง” เพราะเกิดตื้น พลังมหาศาล และกรุงเทพฯ เองก็เป็นพื้นที่ดินอ่อนที่มีความถี่พ้องกับคลื่นแผ่นดินไหวอย่างพอดี

เราไม่สามารถควบคุมธรรมชาติได้ แต่สามารถเข้าใจและเตรียมพร้อมกับมันได้ดีขึ้น

ข้อพิพาททางธุรกิจระหว่าง QCP (มหากิจศิริ) และ Nestlé กับกรณีศึกษาเปรียบเทียบ

บทนำ กรณีพิพาททางธุรกิจระหว่างบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ซึ่งเป็นบริษัทภายใต้กลุ่มทุนมหากิจศิริ กับบริษัท Nestlé ผู้ถือครอ...