วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2568

กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง 2568: ระบบใหม่ที่ช่วยแรงงานจริง หรือแค่ภาระของนายจ้าง?

การเปลี่ยนแปลงในระบบคุ้มครองแรงงานของไทยกำลังเกิดขึ้น เมื่อรัฐบาลประกาศใช้ "กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง" ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 กองทุนนี้มีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างแต่ไม่ได้รับค่าชดเชยจากนายจ้าง อย่างไรก็ตาม ระบบใหม่นี้ยังคงมีข้อถกเถียงในมุมของทั้งนายจ้างและลูกจ้าง ว่าจริงๆ แล้ว ระบบนี้จะเป็นประโยชน์ต่อใคร และใครจะต้องแบกรับภาระ

กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง คืออะไร

ตามกฎหมายใหม่ นายจ้างที่มีลูกจ้าง 10 คนขึ้นไปต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนในอัตราดังนี้

  • ปีแรก (1 ต.ค. 2568 - 30 ก.ย. 2573) อัตรา 0.25% ของค่าจ้าง
  • หลังจากนั้น (ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2573 เป็นต้นไป) อัตรา 0.50% ของค่าจ้าง

เงินนี้จะถูกนำไปใช้จ่ายในกรณีที่ลูกจ้างถูกเลิกจ้างและนายจ้างไม่สามารถจ่ายค่าชดเชยได้ โดยเงินชดเชยจะคำนวณตามอายุงาน เช่น หากทำงาน 10 ปีขึ้นไป จะได้รับค่าชดเชย 10 เดือนของค่าจ้างสุดท้าย แต่หากทำงานไม่ถึง 1 ปี อาจได้รับเพียง 1 เดือนของค่าจ้าง

เปรียบเทียบกับระบบเดิม

ก่อนหน้านี้ การจ่ายค่าชดเชยเป็นหน้าที่ของนายจ้างตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน หากนายจ้างไม่มีเงินจ่าย ลูกจ้างต้องฟ้องร้องหรือรอให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานไกล่เกลี่ย แต่ในระบบใหม่นี้ กองทุนจะเข้ามาจ่ายแทน แต่ปัญหาคือ นายจ้างต้องส่งเงินเข้ากองทุนทุกเดือน โดยไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วจะได้ใช้จริงหรือไม่

มุมมองของนายจ้าง: ภาระที่เพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น?

สำหรับนายจ้าง กองทุนนี้ถือเป็น "ภาษีแฝง" ที่ต้องจ่ายเพิ่ม แม้ว่าจะไม่เคยมีประวัติเลิกจ้างลูกจ้างเลยก็ตาม หากธุรกิจมีพนักงานจำนวนมาก การต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนทุกเดือนจะเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยที่อาจไม่ได้รับประโยชน์เลย และเมื่อนายจ้างต้องจ่ายเงินเพิ่ม อาจส่งผลให้บางธุรกิจลดการจ้างงาน หรือพยายามลดต้นทุนด้วยวิธีอื่น เช่น ปรับลดสวัสดิการหรือเพิ่มแรงกดดันให้พนักงานลาออกเองก่อนครบกำหนดอายุงานที่ได้รับค่าชดเชยสูงสุด

อีกปัญหาที่อาจเกิดขึ้นคือ บางบริษัทอาจเลือกใช้กลยุทธ์ "รีเซ็ตอายุงาน" โดยโยกย้ายพนักงานไปบริษัทลูก เปลี่ยนสัญญาจ้าง หรือหาทางให้พนักงานสมัครใจลาออกก่อนครบ 10 ปี เพื่อหลีกเลี่ยงการต้องจ่ายค่าชดเชยจำนวนมาก

มุมมองของลูกจ้าง: ได้ประโยชน์จริงหรือ?

ในมุมของลูกจ้าง ระบบนี้ช่วยเพิ่มความมั่นคงขึ้นในกรณีที่นายจ้างไม่มีเงินจ่ายค่าชดเชย อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง คนส่วนใหญ่ไม่สามารถทำงานที่เดียวได้นานถึง 10 ปี โอกาสที่จะได้รับค่าชดเชยสูงสุดจึงมีน้อยมาก ในตลาดแรงงานไทย คนเปลี่ยนงานเฉลี่ยทุก 3-5 ปี หมายความว่าหากถูกเลิกจ้างก่อนครบ 10 ปี เงินที่ได้จากกองทุนจะลดลงอย่างมาก

ปัญหาอีกข้อคือ ถ้าลูกจ้างลาออกเองโดยสมัครใจ จะไม่ได้รับเงินจากกองทุนนี้เลย ซึ่งแตกต่างจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund - PVD) ที่ลูกจ้างสามารถนำเงินสะสมออกไปใช้ได้เมื่อออกจากงาน ในกรณีของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ลูกจ้างไม่มีบัญชีสะสมของตัวเอง เงินทั้งหมดอยู่ในกองกลาง และจะได้รับก็ต่อเมื่อถูกเลิกจ้างเท่านั้น

เป็นทางออกที่ดีที่สุดจริงหรือ?

แม้ว่ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างจะช่วยเพิ่มความมั่นคงให้กับแรงงานบางส่วน แต่ก็มีข้อจำกัดหลายประการ โดยเฉพาะในแง่ของนายจ้างที่ต้องรับภาระจ่ายเงินเข้ากองทุน โดยไม่มีหลักประกันว่าจะได้ใช้ประโยชน์ และลูกจ้างเองก็มีโอกาสน้อยมากที่จะได้รับค่าชดเชยสูงสุด

หากมองหาทางเลือกที่ดีกว่า ลูกจ้างควรพิจารณาสมัครกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือออมเงินผ่านผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่น เช่น ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ หรือกองทุนรวมที่เน้นการลงทุนระยะยาว ซึ่งให้ผลตอบแทนที่แน่นอนและสามารถนำไปใช้หลังเกษียณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการพึ่งพากองทุนที่ต้องรอการเลิกจ้างก่อนถึงจะได้รับเงิน ในขณะที่ภาครัฐควรมีมาตรการบริหารจัดการกองทุนอย่างโปร่งใส เพื่อให้แน่ใจว่าเงินที่นายจ้างจ่ายเข้าไปจะถูกใช้ให้เกิดประโยชน์จริง ไม่ใช่แค่การจัดเก็บเงินเพิ่มโดยไม่มีการนำไปช่วยเหลือแรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ

ความเฮงซวยของระบบ "อาสา" แบบปลอม ๆ

บทนำ ระบบ "อาสา" ควรจะเป็นพื้นที่ของการเสียสละด้วยใจ เป็นการช่วยเหลือกันด้วยความหวังดี ไม่ใช่เครื่องมือที่ใช้บังคับคนให้ทำสิ่งที่...