ในการบรรยายอันเฉียบคมที่ Antalya Diplomacy Forum ปี 2025 ศาสตราจารย์ Jeffrey Sachs ได้แสดงภาพรวมของระบบเศรษฐกิจโลกและวิจารณ์นโยบายของสหรัฐอเมริกาในยุคประธานาธิบดี Donald Trump อย่างถึงแก่น เนื้อหาการพูดของเขาไม่ได้เพียงแต่วิเคราะห์ปัญหาทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเปิดโปง "มายาคติ" ที่ถูกใช้เพื่อบิดเบือนความเข้าใจของประชาชนและตลาดโลก
ดุลการค้า: ไม่ใช่การโกง แต่คือการใช้จ่ายเกินตัว
Sachs เริ่มต้นด้วยประเด็นสำคัญที่มักถูกเข้าใจผิด: ดุลการค้า เขายืนยันว่า การขาดดุลของสหรัฐฯ ไม่ใช่ผลจากการถูกเอาเปรียบโดยประเทศอื่น แต่เป็นเพราะประเทศนี้มีพฤติกรรมใช้จ่ายเกินรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการใช้จ่ายภาครัฐที่ไม่สมดุลกับการจัดเก็บภาษี
"ดุลการค้าไม่ได้สะท้อนนโยบายการค้า แต่มันสะท้อนว่าคุณใช้เงินมากกว่าที่คุณหาได้หรือไม่"
เขาเปรียบเปรยอย่างคมคายว่า การกล่าวหาประเทศอื่นว่า "โกง" ก็เหมือนคนรูดบัตรเครดิตเกินตัวแล้วไปโทษร้านค้าว่าทำให้ตัวเองเป็นหนี้ ซึ่งไม่ใช่แก่นของปัญหาเลย
เขายังเปิดเผยตัวเลขชัดเจนว่า สหรัฐฯ ขาดดุลการคลังถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี และเป็นการขาดดุลจากการใช้จ่ายที่ไม่ได้รับการสนับสนุนด้วยภาษีที่เพียงพอ
ระบบเศรษฐกิจโลกคือการแบ่งงานกันทำ
อีกหัวใจหลักของการบรรยายคือแนวคิดเกี่ยวกับ "การแบ่งงานกันทำ" (division of labor) ซึ่งเป็นรากฐานของระบบเศรษฐกิจโลกสมัยใหม่ Sachs เน้นว่าโลกวันนี้ทำงานแบบเครือข่าย โดยประเทศแต่ละแห่งผลิตในสิ่งที่ตนมีความสามารถและแลกเปลี่ยนกัน ไม่ใช่เกมแพ้ชนะหรือผลรวมศูนย์ (zero-sum game)
"ถ้าคุณหยุดการค้า มันไม่ใช่แค่คนหนึ่งขาดทุนแล้วอีกคนกำไร แต่มันทำให้ทั้งหมดเสียไปด้วยกัน"
เขาย้ำว่า ความเข้าใจผิดของทรัมป์ในเรื่องนี้ทำให้เกิดความเสียหายระดับโลก โดยเฉพาะเมื่อผู้นำประเทศอุตสาหกรรมอันดับหนึ่งของโลกไม่เข้าใจหลักเศรษฐกิจพื้นฐาน
ตลาดทุนตอบสนองต่อความไร้เสถียรภาพ
เขายกตัวอย่างว่า เพียงการประกาศนโยบายบางอย่างของทรัมป์ ทำให้ตลาดทุนทั่วโลกสูญเสียมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์ทันที โดยไม่มีมูลค่าทดแทน นี่แสดงให้เห็นถึงพลังของคำพูดและการกระทำจากผู้นำในระบบเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกันลึกซึ้ง
"10 ล้านล้านดอลลาร์ไม่ได้ย้ายจากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศ แต่มันหายไปจากระบบทั้งหมดเลย"
ผลกระทบนี้ยังทำให้อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นทันที เพราะนักลงทุนเทขายบอนด์อย่างมหาศาล เขาตั้งคำถามว่า ถ้ามีใครรู้ข่าวล่วงหน้าเพียง 5 นาที ก็สามารถทำกำไรมหาศาลได้ — และสะท้อนถึงความไม่โปร่งใสในรัฐบาล
ความเข้าใจผิดระดับปีหนึ่งที่กลายเป็นนโยบายระดับโลก
Sachs วิจารณ์ว่า แนวทางที่สหรัฐฯ มองดุลการค้าภายใต้ผู้นำในยุคนั้น เป็นความเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงระดับที่นักศึกษาปีหนึ่งยังไม่ควรผิดแบบนี้ แต่กลับกลายเป็นทิศทางเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจ
"ถ้าเขาเป็นนักเรียนของผม เขาคงสอบตกตั้งแต่วันที่สอง"
เขายังเย้ยหยันแนวคิดว่า สหรัฐฯ ต้องมีดุลการค้าเป็นบวกกับทุกราย ว่าเป็นตรรกะที่ไม่ต่างจากคนคิดว่าต้องขายอะไรกลับให้ร้านชำเพื่อจะไม่ขาดดุล
สหรัฐฯ กับจีน: ความพารานอยด์ที่กัดกินระบบ
Sachs อธิบายว่า ความตึงเครียดกับจีน ไม่ได้เกิดจากความไม่เป็นธรรม แต่เป็นเพราะจีนประสบความสำเร็จเกินไป จนถูกมองว่าเป็นภัยคุกคาม เขาใช้คำว่า "ความผูกพันทางประสาท" (neurotic attachment) ต่อจีน
"จีนส่งออกมายังสหรัฐฯ เพียง 12% ของทั้งหมดเอง — ถ้าสงครามการค้าเกิดขึ้นจริง จีนจะอยู่ได้ แต่สหรัฐฯ อาจไม่"
ระบบการเมืองที่เปิดทางให้ความไร้เหตุผล
หนึ่งในจุดวิจารณ์ที่เฉียบคมที่สุดคือ "ระบบการเมืองของสหรัฐฯ เอง" ซึ่งเปิดช่องให้ผู้นำใช้อำนาจผ่านคำสั่งฉุกเฉิน (emergency powers) โดยไม่ต้องผ่านรัฐสภา โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ความมั่นคงกลายเป็นข้ออ้างของการใช้อำนาจแบบเบ็ดเสร็จ
"ระบบการเมืองสหรัฐฯ พังไปแล้ว เพราะคุณให้คนคนเดียวตัดสินใจทั้งหมดได้โดยอ้างคำว่าฉุกเฉิน"
เขาย้ำว่า นี่คือสหรัฐฯ ในฐานะ "รัฐอันธพาล" ที่ไม่ยึดกติกาสากลอีกต่อไป และโลกไม่ควรปล่อยให้แนวคิดแบบนี้กลายเป็น New Normal
ประเทศมิกกี้เมาส์และการสร้างศัตรูปลอม
Sachs กล่าวในช่วงท้ายการบรรยายว่า "This is Mickey Mouse country" พร้อมเปรียบว่านโยบายที่วางอยู่บนความไม่เข้าใจเศรษฐศาสตร์ เป็นเพียงภาพลวงตาที่สร้างขึ้นเพื่อหาเสียงและสร้างศัตรูปลอมให้กับประชาชน
"เรากำลังอยู่ในประเทศที่ใช้ภาพลวงตาทางการเมืองแทนเศรษฐศาสตร์จริง"
เขายังชี้ว่า ข้อจำกัดทางการค้าในโลกมีจำนวนมากถึง 3,200 มาตรการ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นหลักฐานของแนวโน้ม protectionism ที่กำลังขยายตัว
วิกฤตสภาพภูมิอากาศ และการลดโลกาภิวัตน์
ในตอนท้าย Sachs เตือนว่า แนวโน้มการลดโลกาภิวัตน์ (deglobalization) ไม่เพียงแต่กระทบเศรษฐกิจ แต่ยังจะบั่นทอนความร่วมมือระหว่างประเทศในการรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศอีกด้วย ซึ่งถือเป็นความท้าทายระดับโลกที่ต้องการพลังร่วมมากกว่าที่เคย
"Deglobalization จะทำลายกลไกความร่วมมือเรื่อง climate ที่เปราะบางอยู่แล้ว"
สรุป: เสียงเตือนจากผู้รู้
บทสรุปของการบรรยายนี้ไม่ได้ชี้เพียงปัญหาของสหรัฐฯ หรือทรัมป์ แต่คือคำเตือนถึงโลกทั้งใบ ว่าหากเราเดินตามความกลัว ความเข้าใจผิด และมายาคติทางการเมืองที่ไร้หลักเศรษฐศาสตร์ เราอาจกำลังทำลายเสถียรภาพของโลกไปโดยไม่รู้ตัว
"โลกทั้งโลกไม่ควรยอมรับความบ้าคลั่งเป็นเรื่องปกติใหม่ (new normal)"
การบรรยายของ Jeffrey Sachs ครั้งนี้ จึงเป็นมากกว่าบทพูด แต่มันคือแสงสว่างในระบบเศรษฐกิจที่กำลังหลงทาง