บทนำ
ในยุคที่โลกเชื่อมต่อกันแบบไร้พรมแดน ประเทศที่มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจอย่างจีนก็ย่อมขยายอิทธิพลของตนออกไปในหลากหลายรูปแบบ ทั้งในรูปของการค้าการลงทุน โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการสร้างความสัมพันธ์ทางการทูต แต่คำถามที่น่ากังวลคือ — เมื่ออิทธิพลนั้นแทรกซึมเข้าสู่ประเทศไทย เราได้ผลประโยชน์จริง ๆ หรือแค่เป็นหมากในเกมของใครบางคน?
ภายใต้หน้ากากของ "การพัฒนา" และ "ความร่วมมือ" ปรากฏรูปแบบของการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างรัฐไทยอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การรับเหมางานโครงการขนาดใหญ่ไปจนถึงการเข้ามาถือครองที่ดินอย่างแยบยล บางครั้งดูเหมือนว่ารัฐไทยเองก็เปิดประตูให้ด้วยความเต็มใจ — ไม่ว่าจะด้วยแรงกดดันทางเศรษฐกิจหรือผลประโยชน์ส่วนตนของผู้มีอำนาจ
บทความนี้ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเกลียดชังต่อชาติใด แต่ต้องการเปิดโปงข้อเท็จจริง และตั้งคำถามสำคัญว่า "ใครกันแน่ที่ได้ประโยชน์?" — และหากคำตอบไม่ใช่ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ เราจะยังเงียบเฉยได้อีกนานแค่ไหน?
-
บริษัทจีนกับโครงการรัฐไทย: แบ็กใหญ่หรือแข่งจริง?
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราได้เห็นบริษัทสัญชาติจีนเข้ามามีบทบาทในโครงการโครงสร้างพื้นฐานของไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นรถไฟความเร็วสูง ถนน มอเตอร์เวย์ หรือโครงการก่อสร้างภาครัฐอื่น ๆ ที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท คำถามคือ การได้งานเหล่านี้มาเป็นผลจากการแข่งขันเสรีอย่างโปร่งใสจริงหรือไม่?
บ่อยครั้งที่บริษัทจีนเข้ามาผ่านการร่วมทุนกับบริษัทไทยที่มีความใกล้ชิดกับภาครัฐ หรือได้รับการสนับสนุนทางการทูตระดับสูงจากรัฐบาลจีนโดยตรง การเจรจาแบบรัฐต่อรัฐ (G2G) ที่ไม่มีการประมูลแบบเปิดจึงกลายเป็นช่องทางหลักที่จีนใช้เข้ามามีอิทธิพลในระบบเศรษฐกิจไทย
ขณะที่บริษัทท้องถิ่นไทยหลายแห่งต้องเผชิญกับเงื่อนไขการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม บริษัทจีนบางรายได้รับการยกเว้นภาษี ได้สิทธิพิเศษในการใช้แรงงานต่างด้าว และยังสามารถนำเข้าเครื่องจักรโดยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการไทยทำไม่ได้
คำถามจึงไม่ได้อยู่แค่ว่า “จีนแข่งได้จริงไหม?” แต่อยู่ที่ว่า “รัฐบาลไทยอำนวยความสะดวกให้จีนมากเกินไปหรือเปล่า?”
-
China Railway กับตึกพังในไทย: ก่อสร้างห่วยหรือโครงสร้างเส้น?
กรณีอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งถล่มลงมาในช่วงเกิดแผ่นดินไหวเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2568 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ชื่อของบริษัทรับเหมาจีนกลับมาอยู่ในความสนใจของสังคมไทยอีกครั้ง
อาคารดังกล่าวอยู่ในระหว่างก่อสร้างโดยกิจการร่วมค้า ITD-CREC ซึ่งมีบริษัท อิตาเลียนไทยฯ และ China Railway No.10 Engineering Group (ประเทศไทย) เป็นผู้รับเหมาหลัก หนึ่งในประเด็นที่ถูกตั้งคำถามคือ เหตุใดอาคารที่ยังไม่แล้วเสร็จ จึงพังลงมาอย่างรุนแรงเพียงเพราะแรงสั่นสะเทือนที่ไม่ถือว่ารุนแรงถึงขั้นวิกฤตในกรุงเทพฯ?
คำตอบอาจอยู่ที่บริษัทจีนเจ้าของโครงการบางรายมีประวัติเสียหายในหลายประเทศ เช่น เคนยา ที่สะพานพังถล่มก่อนเปิดใช้งาน หรือในเปรูที่เคยถูกสอบสวนคดีฮั้วประมูล รวมถึงปัญหาด้านความโปร่งใสในโครงการรัฐในยุโรปตะวันออก
แม้จะมีประวัติเช่นนี้ แต่บริษัทเหล่านี้กลับได้รับงานในไทยอย่างต่อเนื่อง แถมยังได้รับโอกาสจากรัฐในโครงการใหม่ ๆ อีกมากมาย — ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่บริษัทจีนเพียงฝ่ายเดียว แต่อยู่ที่ "ใครในไทย" ที่เปิดทางให้บริษัทเหล่านี้เข้ามาทำงานโดยไม่มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด
เหตุการณ์ตึกถล่มจึงไม่ใช่แค่เรื่องของ "ความบกพร่องทางวิศวกรรม" แต่เป็นกระจกสะท้อน "ความบกพร่องของระบบบริหารจัดการโครงการภาครัฐ" ที่ยังเต็มไปด้วยเส้นสาย และความอ่อนแอในการคัดกรองผู้รับเหมาที่สมควรได้รับงาน
-
เส้นทางเงินจีน: จากบ.แม่ ถึงนอมินีในไทย
การลงทุนจากจีนไม่ได้มาในรูปแบบของบริษัทตรงเสมอไป หลายครั้งเงินทุนจีนเดินทางผ่านเครือข่ายซับซ้อน ทั้งบริษัทลูก บริษัทที่ตั้งขึ้นเฉพาะกิจ หรือแม้แต่บุคคลธรรมดาที่ทำหน้าที่เป็น "นอมินี" เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดทางกฎหมายของไทย
แม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายที่ห้ามชาวต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือเป็นเจ้าของธุรกิจบางประเภทโดยตรง แต่ช่องว่างทางกฎหมาย เช่น การให้คนไทยถือหุ้นแทน หรือการใช้บริษัทสัญชาติไทยที่จีนถือหุ้นทางอ้อม ก็เปิดทางให้ทุนจีนแทรกเข้ามาได้อย่างไร้รอยต่อ
จากข้อมูลของภาครัฐและการสอบสวนของภาคประชาสังคม พบว่าบริษัทจีนหลายแห่งมีการจัดโครงสร้างซับซ้อน ใช้บุคคลไทยหรือบริษัทที่ไม่มีประวัติเกี่ยวข้องกับธุรกิจมาก่อน เข้ามารับจดทะเบียนในนามกรรมการและผู้ถือหุ้น เพื่อเลี่ยงการตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแล
เมื่อรวมกับการที่บางบริษัทได้รับการหนุนหลังจากเจ้าหน้าที่รัฐ หรือมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจ การตรวจสอบความโปร่งใสจึงกลายเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก และประชาชนทั่วไปก็ไม่มีช่องทางรู้ว่าเงินที่หมุนเวียนอยู่เบื้องหลังนั้นเป็นของใคร
เส้นทางเงินจีนจึงไม่ใช่แค่เรื่องของการค้าและการลงทุน แต่มันคือเกมซ่อนภาพเจ้าของผลประโยชน์ที่แท้จริง — เกมที่ประชาชนไทยอาจกลายเป็นผู้แพ้ โดยไม่รู้ตัว
-
นักลงทุนจีนซื้อที่ดินไทย: กฎหมายรูรั่ว หรือจงใจปล่อย?
หนึ่งในประเด็นร้อนแรงที่ทำให้ประชาชนไทยรู้สึกถึง “การเสียพื้นที่ของตัวเอง” อย่างแท้จริง คือการที่นักลงทุนจีนจำนวนมากสามารถเข้าถือครองที่ดินในไทยได้ ทั้งที่โดยกฎหมายแล้ว ชาวต่างชาติไม่มีสิทธิเข้าถือครองที่ดินโดยตรง
วิธีที่ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายคือการตั้งบริษัทไทยที่มีคนจีนถือหุ้นผ่านนอมินี หรือให้คนไทยที่ได้รับค่าตอบแทนมาเป็นผู้ถือครองแทน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเงินและอำนาจการตัดสินใจทั้งหมดยังอยู่ในมือคนจีน
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ “การเข้ามาลงทุน” แต่คือ “การใช้ช่องว่างของกฎหมายไทย” โดยที่รัฐไม่มีระบบตรวจสอบที่เข้มงวดพอ บางกรณีมีการซื้อที่ดินหลายสิบไร่ในจังหวัดท่องเที่ยวหรือแหล่งเศรษฐกิจสำคัญ แล้วทำรีสอร์ท หมู่บ้านจัดสรร ร้านอาหาร หรือแม้แต่คอนโดที่เจาะกลุ่มลูกค้าคนจีนโดยเฉพาะ
เมื่อที่ดินในประเทศถูกซื้อโดยทุนต่างชาติ แม้ผ่านรูปแบบทางอ้อม ประชาชนไทยก็เริ่มสูญเสียอำนาจในการควบคุมทรัพยากรของตัวเอง ราคาที่ดินสูงขึ้นจนคนท้องถิ่นซื้อไม่ไหว และวิถีชีวิตดั้งเดิมถูกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือบางกรณีมีเจ้าหน้าที่รัฐหรือผู้มีอำนาจเกี่ยวข้องกับการออกเอกสารสิทธิ์ หรือ “หลับหูหลับตา” ไม่ตรวจสอบการถือครองของบริษัทที่มีโครงสร้างต้องสงสัย
จึงต้องถามกลับไปยังรัฐว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียง “ช่องโหว่” หรือคือการ “เปิดช่อง” แบบจงใจ?
-
แชร์ลูกโซ่สายจีน: หลอกไทย แล้วรัฐไปไหน?
อีกหนึ่งภาพสะท้อนของการแทรกซึมแบบไร้การควบคุม คือการระบาดของแชร์ลูกโซ่สัญชาติจีนในไทย ซึ่งสร้างความเสียหายมหาศาลทั้งในระดับรายบุคคลและระบบเศรษฐกิจภาพรวม
โครงการลงทุนปลอมจำนวนมากอ้างตัวเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ บริษัทท่องเที่ยว ธุรกิจเทคโนโลยี ไปจนถึงสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมีจุดร่วมคือการอ้างว่ามีบริษัทแม่อยู่ที่จีนหรือฮ่องกง และใช้เครือข่ายคนจีนในไทยเป็นหัวหน้าสาย
วิธีการล่อเหยื่อไม่ได้ต่างจากแชร์ลูกโซ่ทั่วไป แต่สิ่งที่แย่กว่าคือ “ความเป็นสากล” ของเครือข่ายเหล่านี้ บางเครือข่ายมีการใช้ influencer หรือดาราชื่อดังร่วมโปรโมต ใช้แอปมือถือจริงจังเหมือนของแท้ และออกแบบระบบ referral ให้เติบโตเร็วแบบไฟลามทุ่ง
กรณีที่เป็นตัวอย่างชัดเจน เช่น คดีแชร์ลูกโซ่ "Ufun" ซึ่งเคยเป็นข่าวใหญ่ในไทยช่วงปี 2558-2559 โดยมีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายนักธุรกิจจีน-มาเลเซีย ใช้ระบบอ้างการลงทุนในเหรียญดิจิทัล Utoken หลอกผู้คนหลายประเทศ และมีการโยกย้ายเงินข้ามชาติไปยังเครือข่ายในจีน ฮ่องกง และสิงคโปร์
อีกกรณีคือ "Forex-3D" แม้ชื่อจะดูเป็นแพลตฟอร์มเทรดค่าเงิน แต่ก็ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือหลอกลวงในรูปแบบแชร์ลูกโซ่ มีข่าวว่าเครือข่ายบางส่วนเชื่อมโยงกับการฟอกเงินผ่านบัญชีบุคคลและนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับต่างชาติ ซึ่งรวมถึงนักลงทุนจากจีนด้วย
สิ่งที่น่าตกใจคือ แม้จะมีผู้เสียหายจำนวนมาก แต่การจับกุมหรือเอาผิดมักเกิดขึ้นล่าช้า หรือในบางกรณีแทบไม่มีความคืบหน้าเลย เหมือนกับว่าระบบยุติธรรมของไทยยัง “จับไม่ทัน” หรือไม่ก็ “ไม่กล้าจับ” เพราะมีผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง
ในบางกรณี ผู้ต้องหาหลบหนีออกนอกประเทศไปก่อนที่หมายจับจะถูกออก ในขณะที่เหยื่อที่สูญเงินไปกลับไม่ได้รับการเยียวยาหรือแม้แต่การให้ข้อมูลข่าวสารอย่างชัดเจน
ถ้ารัฐปล่อยให้การหลอกลวงแบบนี้เกิดซ้ำซาก โดยไม่มีระบบป้องกันหรือเอาผิดที่จริงจัง ก็เท่ากับว่ารัฐ “สมรู้ร่วมคิดทางอ้อม” ในการปล่อยให้ประชาชนถูกดูดทรัพย์ไปต่อหน้าต่อตา
-
พื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ (EEC): ไทยได้หรือใครได้?
โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC (Eastern Economic Corridor) คือโครงการระดับชาติที่วางเป้าหมายจะยกระดับเศรษฐกิจไทยสู่ยุคใหม่ ผ่านการลงทุนขนาดใหญ่ในพื้นที่ 3 จังหวัดคือ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา คำถามที่ค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ ก็คือ: โครงการนี้ "ทำเพื่อใคร?"
แม้ในแผนแม่บทจะระบุถึงการยกระดับอุตสาหกรรมไทย การสร้างงาน และการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ แต่ในทางปฏิบัติ กลับพบว่าผู้เล่นหลักจำนวนมากในพื้นที่ EEC เป็นบริษัทข้ามชาติ โดยเฉพาะทุนจีน ที่เข้ามากว้านซื้อโรงงาน พื้นที่อุตสาหกรรม และลงทุนในโครงการร่วมกับรัฐไทย
ความกังวลคือ เมื่อโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น รถไฟความเร็วสูง สนามบิน ท่าเรือ ถูกสร้างขึ้นโดยเงินภาษีของประชาชน แต่ผลตอบแทนกลับไหลกลับไปหาทุนต่างชาติที่เข้ามาถือหุ้นหรือร่วมลงทุนผ่านกลไกพิเศษ มันย่อมทำให้เกิดคำถามว่า “คนไทยได้อะไร?”
อีกทั้งยังมีเสียงวิจารณ์ว่าการเวนคืนที่ดินเพื่อขยายโครงการในบางพื้นที่ อาจกระทบต่อชุมชนท้องถิ่นโดยไม่ได้รับการชดเชยที่เป็นธรรม ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่รัฐบางกลุ่มอาจได้ผลประโยชน์จากการจัดสรรโครงการ หรือเอื้อให้บริษัทที่มีสายสัมพันธ์ทางการเมืองได้เปรียบคู่แข่ง
EEC จึงกลายเป็นสนามแข่งขันที่ไม่เท่าเทียม ระหว่างทุนต่างชาติขนาดใหญ่ที่มีเส้นสาย กับผู้ประกอบการไทยรายเล็กที่แทบจะไม่สามารถเข้าไปแข่งขันได้เลย
คำถามสำคัญคือ: เราจะยอมให้เขตเศรษฐกิจพิเศษกลายเป็น “รัฐอิสระของทุนต่างชาติ” หรือจะทวงคืนพื้นที่นี้กลับมาให้ประชาชนไทยอย่างแท้จริง?
-
พันธมิตรชานม: ใครคือเพื่อนแท้ เมื่อโลกไม่เป็นใจ?
ท่ามกลางการขยายอิทธิพลของจีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปรากฏกลุ่มคนรุ่นใหม่จากหลายประเทศที่ลุกขึ้นมาตั้งคำถามต่อบทบาทของจีน และเชื่อมโยงกันผ่านโลกออนไลน์อย่างไม่เป็นทางการ กลุ่มนี้มีชื่อเล่นว่า “พันธมิตรชานม” (Milk Tea Alliance)
กลุ่มพันธมิตรชานมเกิดจากความรู้สึกร่วมของคนรุ่นใหม่ในฮ่องกง ไต้หวัน ไทย และเมียนมา ที่ต่อต้านเผด็จการ การแทรกแซงจากจีน และเรียกร้องประชาธิปไตยในประเทศของตน โดยใช้ “ชานม” เป็นสัญลักษณ์ร่วมของความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมที่ต่างจากจีนแผ่นดินใหญ่
ในกรณีของไทย กลุ่มเยาวชนเคยได้รับกำลังใจจากชาวฮ่องกงและไต้หวันในช่วงการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตย โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลจีนพยายามแทรกแซงเนื้อหาในสื่อไทย หรือกดดันให้ลบข้อมูลที่กระทบต่อภาพลักษณ์ของตน
พันธมิตรชานมจึงเป็นมากกว่าแฮชแท็ก แต่มันคือ “เครือข่ายของผู้ไม่ยอมจำนน” ต่ออำนาจนิยม — เป็นหลักฐานว่าแม้รัฐอาจก้มหัวให้จีน แต่ประชาชนบางส่วนยังยืนหยัดอยู่ฝั่งของเสรีภาพและอธิปไตย
ชานมเป็นเพียงสัญลักษณ์เล็ก ๆ ของความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมที่แตกต่างจากจีน เช่น ชานมไข่มุกของไต้หวัน ชานมเย็นของไทย หรือชานมฮ่องกงที่มีรสชาติและที่มาเฉพาะตัว มันกลายเป็นธงร่วมในการต่อต้านอำนาจนิยมอย่างสร้างสรรค์
-
ขายชาติแบบเนียน ๆ: ไม่ต้องแบกธง แต่มีคนเปิดประตูให้
คำว่า “ขายชาติ” ในโลกยุคใหม่ไม่ได้เกิดจากการยกดินแดนหรือการยึดครองทางทหารอีกต่อไป แต่เกิดจากการที่ผู้มีอำนาจในประเทศ “ยินยอม” ให้ต่างชาติเข้ามาแสวงหาประโยชน์ในเชิงลึก โดยไม่รักษาผลประโยชน์ของคนในชาติ
เมื่อบริษัทจีนได้รับสัมปทานโครงการขนาดใหญ่โดยไม่มีการแข่งขันที่โปร่งใส รัฐกลับนิ่งเฉยต่อปัญหาการใช้แรงงานต่างด้าว นอมินี หรือแม้แต่การฟอกเงินผ่านระบบที่ไร้การตรวจสอบ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นรูปแบบหนึ่งของการ “ขายชาติ” แบบเนียน ๆ
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่จีนเข้ามาเสนอ แต่อยู่ที่ “ใครในไทย” ที่เปิดประตูให้ และได้ผลประโยชน์จากการเปิดทางเหล่านั้น
ถ้าคนในชาติเห็นแก่ผลตอบแทนเฉพาะกลุ่มมากกว่าผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ — เราก็อาจยังมีเพลงชาติ มีธงชาติ แต่ความเป็นเจ้าของประเทศนี้...อาจไม่ใช่ของเราจริง ๆ อีกต่อไป
-
ผลกระทบกับประชาชนไทย: ราคาที่ต้องจ่ายเมื่อรัฐเลือกจีน
แม้อิทธิพลจีนจะเข้ามาในนามของการพัฒนาเศรษฐกิจ ความร่วมมือด้านเทคโนโลยี หรือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน แต่ในทางปฏิบัติ ประชาชนไทยจำนวนไม่น้อยกลับต้องแบกรับผลกระทบมากกว่าผลประโยชน์
เริ่มตั้งแต่ตลาดแรงงานที่ถูกแทนที่ด้วยแรงงานต่างด้าวจากจีน การเข้ามาถือครองกิจการร้านค้า โรงแรม หรืออสังหาริมทรัพย์ในเมืองท่องเที่ยว ซึ่งทำให้ธุรกิจท้องถิ่นไทยต้องแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม หรือในบางกรณีก็ถูกกลืนหายไปจากระบบ
ราคาที่ดินและค่าครองชีพในหลายพื้นที่พุ่งสูงจากการเข้ามาของทุนจีน ทำให้คนไทยที่อาศัยอยู่เดิมต้องดิ้นรนปรับตัว หรือจำใจย้ายออกจากพื้นที่ เพราะไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายได้อีกต่อไป
ในมิติทางสังคม เกิดความรู้สึกแตกแยกและไม่เป็นธรรมมากขึ้น เมื่อเห็นว่ารัฐให้สิทธิพิเศษกับชาวต่างชาติ แต่กลับเมินเฉยต่อปัญหาของประชาชนไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเข้าถึงสวัสดิการ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ หรือช่องทางในการประกอบอาชีพ
แม้กระทั่งระบบยุติธรรม ก็ถูกตั้งคำถามว่า “เลือกปฏิบัติ” หรือ “ไม่กล้าแตะ” กับกลุ่มทุนจากจีนในหลายกรณีที่ควรมีการตรวจสอบและดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด
ท้ายที่สุด ประชาชนคนไทยอาจไม่ได้สูญเสียแค่โอกาสทางเศรษฐกิจ แต่กำลังสูญเสียความเชื่อมั่นในระบบของประเทศตัวเอง — และนั่นคือราคาที่แพงที่สุดที่ไม่มีใครควรต้องจ่าย
-
จะปกป้องชาติ ต้องเริ่มจากรู้เท่าทัน
ในโลกที่ขั้วอำนาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การปกป้องชาติไม่ได้หมายถึงการถืออาวุธหรือยืนอยู่แนวหน้าเท่านั้น แต่หมายถึงการรู้เท่าทัน ว่าใครกำลังได้เปรียบ ใครเสียประโยชน์ และผลกระทบจะตกมาถึงใครในท้ายที่สุด
การตั้งคำถามกับนโยบายรัฐ การติดตามการใช้งบประมาณ และการตรวจสอบผู้มีอำนาจที่เอื้อประโยชน์ให้ทุนต่างชาติ คือหน้าที่ของพลเมืองในสังคมประชาธิปไตย เราต้องไม่ปล่อยให้คำว่า "การลงทุนจากต่างประเทศ" ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการมอบทรัพยากรของชาติให้กับคนส่วนน้อย
การรู้เท่าทันยังหมายถึงการเรียนรู้โครงสร้างทางเศรษฐกิจและกฎหมาย ว่าทุนต่างชาติเข้ามาใช้ช่องโหว่อย่างไร และเราจะปิดช่องนั้นได้หรือไม่ การเป็นผู้บริโภคที่ใส่ใจ การสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่น และการกดดันภาครัฐให้มีความโปร่งใส ล้วนเป็นการ "ปกป้องชาติ" ในระดับที่ทุกคนสามารถทำได้
ท้ายที่สุด การจะไม่ตกเป็นเหยื่อของอิทธิพลใด ๆ ต้องเริ่มจากไม่ยอมจำนนต่อความไม่รู้ และไม่ปล่อยให้ใครเข้ามาใช้คำว่า “พัฒนา” เพื่อกลบความจริงว่า — เราอาจกำลังสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดไปทีละน้อย โดยไม่รู้ตัว