บทนำ: ภาพสวยที่หลอกตา
เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2025 จีนจัดกิจกรรมปล่อยปลาสเตอร์เจียนจีนจำนวนกว่า 23,000 ตัวลงสู่แม่น้ำแยงซี ณ เมืองอี๋ชาง มณฑลหูเป่ย พร้อมแนวคิดอันไพเราะว่า “ปล่อยปลาสเตอร์เจียนจีน พิทักษ์ความงามของแยงซี” ภาพถ่ายจากกิจกรรมดูชวนอิ่มใจ เหล่านักอนุรักษ์และเจ้าหน้าที่ต่างร่วมกันปล่อยปลาอย่างตั้งใจ แต่เบื้องหลังภาพเหล่านี้คือคำถามสำคัญว่า "เรากำลังช่วยปลาจริงหรือกำลังปล่อยให้มันตายซ้ำซากในแม่น้ำที่ไม่ใช่ของมันอีกต่อไป?"
ปลาสตอร์เจียน: ผู้รอดชีวิตจากยุคไดโนเสาร์
ปลาสเตอร์เจียนจีน (Chinese Sturgeon) เป็นหนึ่งในปลาน้ำจืดโบราณที่เคยมีจำนวนมากในแม่น้ำแยงซี มีลักษณะพิเศษคือสามารถว่ายทวนน้ำได้ไกลเพื่อไปวางไข่ในพื้นที่เฉพาะ โดยต้องอาศัยน้ำไหลเชี่ยว อุณหภูมิที่เหมาะสม และสภาพทางธรณีที่เฉพาะเจาะจง แต่ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อมนุษย์สร้างเขื่อน
เขื่อนสามผา: จุดเปลี่ยนของแยงซี
แม่น้ำแยงซีมีบทบาทสำคัญต่อจีนทั้งด้านเศรษฐกิจและพลังงาน การสร้างเขื่อนสามผาซึ่งแล้วเสร็จในปี 2012 ถือเป็นหนึ่งในโครงการพลังงานน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ผลกระทบกลับใหญ่หลวงยิ่งกว่าเขื่อน
-
ระบบนิเวศแม่น้ำเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
-
การไหลของน้ำถูกควบคุม ทำให้ฤดูวางไข่ผิดเพี้ยน
-
ตะกอนที่เคยหล่อเลี้ยงพื้นที่ลุ่มน้ำถูกกักไว้
-
ปลาหลายชนิดไม่สามารถอพยพไปวางไข่ได้อีกต่อไป
ปล่อยปลาในแม่น้ำที่ไม่เหมือนเดิม
แม้จีนจะเพาะพันธุ์ปลาสเตอร์เจียนและปล่อยลงแม่น้ำทุกปี แต่ปลาที่เกิดในห้องทดลองเหล่านี้ไม่สามารถปรับตัวในสภาพธรรมชาติที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง พวกมันว่ายไม่ได้ไกล วางไข่ไม่ได้ และสุดท้ายก็ตายลงอย่างเงียบ ๆ
เมื่อแม่น้ำไม่ได้หยุดแค่ในประเทศเดียว
แม่น้ำสายหลักที่มีต้นน้ำในจีนหลายสายไม่ได้หยุดแค่ในพรมแดนจีน แต่ไหลต่อไปยังหลายประเทศ เช่น แม่น้ำโขงที่หล่อเลี้ยงชีวิตคนไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม และแม่น้ำพรหมบุตรที่ไหลสู่บังกลาเทศและอินเดีย เขื่อนที่จีนสร้างตอนต้นน้ำจึงมีผลต่อประเทศปลายน้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม่น้ำโขง: ผู้ถูกลืมจากปลายน้ำ
ข้อมูล ณ ปี 2025 ระบุว่า จีนมีเขื่อนทั้งหมดมากกว่า 98,000 แห่งทั่วประเทศ โดยในจำนวนนี้มีเขื่อน มากกว่า 11 แห่ง ที่ตั้งอยู่บนแม่น้ำล้านช้าง (Lancang River) ซึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำโขง และส่งผลกระทบโดยตรงต่อประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ได้แก่ ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม
เขื่อนสำคัญที่ส่งผลต่อแม่น้ำโขง เช่น:
-
Xiaowan Dam (สร้างเสร็จปี 2010): หนึ่งในเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดของจีน สูงถึง 292 เมตร
-
Nuozhadu Dam (สร้างเสร็จปี 2012): มีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ควบคุมการไหลของน้ำตลอดทั้งปี
-
Jinghong Dam (สร้างเสร็จปี 2009): อยู่ใกล้ชายแดนลาว เป็นหนึ่งในเขื่อนที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมระดับน้ำที่ส่งผลกระทบต่อไทยตอนบน
การบริหารจัดการน้ำจากเขื่อนเหล่านี้ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงขึ้นลงผิดธรรมชาติในหลายพื้นที่ของประเทศปลายน้ำ โดยเฉพาะในฤดูแล้ง ซึ่งเคยเป็นฤดูน้ำแห้งสนิท ปัจจุบันกลับเกิดน้ำหลากกะทันหันจากการปล่อยน้ำโดยไม่แจ้งเตือนล่วงหน้า
ประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
-
ไทย: พื้นที่ภาคอีสาน โดยเฉพาะจังหวัดที่ติดลุ่มน้ำโขง เช่น นครพนม มุกดาหาร หนองคาย ประสบปัญหาน้ำขึ้นลงผิดธรรมชาติ ทำลายฤดูประมงและฤดูเพาะปลูกของชาวบ้านริมแม่น้ำ
-
ลาว: การพึ่งพาน้ำโขงเป็นแหล่งอาหารและคมนาคมในบางพื้นที่เริ่มสูญเสียความมั่นคงทางอาหารและน้ำ
-
กัมพูชา: พื้นที่ทะเลสาบโตนเลสาบ ซึ่งเป็นแหล่งประมงใหญ่สุดของประเทศ ขึ้นกับน้ำจากโขง → การเปลี่ยนแปลงระดับน้ำมีผลโดยตรงต่อผลผลิตประมง
-
เวียดนาม: ดินแดนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง (Mekong Delta) เผชิญปัญหาน้ำเค็มรุกล้ำเร็วขึ้นเพราะระดับน้ำจืดลดลงอย่างผิดปกติ ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เกษตรกรรมที่หล่อเลี้ยงประเทศ
การก่อสร้างเขื่อนในจีนจึงไม่ใช่เพียงเรื่องภายในประเทศ แต่เป็นปัญหาข้ามพรมแดนที่ส่งผลระยะยาวทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ความมั่นคงทางอาหาร และวิถีชีวิตของผู้คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม่น้ำโขงเป็นหนึ่งในเหยื่อรายใหญ่ของการสร้างเขื่อนในจีน ด้วยการกักเก็บน้ำอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประเทศปลายน้ำประสบกับ:
-
ฤดูกาลน้ำเปลี่ยน → ชาวบ้านไม่สามารถเพาะปลูกได้ตามรอบธรรมชาติ
-
น้ำลดผิดปกติในหน้าแล้ง → ปลาไม่วางไข่ ส่งผลต่อประมงพื้นบ้าน
-
น้ำท่วมฉับพลันจากการระบายน้ำ → เกิดภัยพิบัติแบบไม่คาดคิด
ประเทศปลายน้ำไม่ได้มีสิทธิ์ต่อรองหรือเข้าถึงข้อมูลการปล่อยน้ำแบบโปร่งใส จึงตกอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการถูกควบคุมด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่ควรเป็นของทุกคน
น้ำ = อำนาจ: เมื่อทรัพยากรกลายเป็นเครื่องมือต่อรอง
การควบคุมน้ำหมายถึงการควบคุมชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำ แม่น้ำที่เคยเป็นของธรรมชาติ กลายเป็นอาวุธในเวทีภูมิรัฐศาสตร์ จีนสามารถเปิด-ปิดเขื่อนได้ตามต้องการ ไม่จำเป็นต้องแจ้งล่วงหน้า ทำให้ประเทศปลายน้ำต้องอยู่กับความไม่แน่นอนอย่างถาวร
ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับประเทศในลุ่มน้ำโขงจึงไม่เท่ากัน แม้จะมีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission) แต่จีนไม่เคยเข้าร่วมอย่างเต็มที่และไม่ยอมแบ่งปันข้อมูลน้ำแบบเรียลไทม์ จึงเกิดความเหลื่อมล้ำเชิงอำนาจที่ยากจะแก้ไข
จีนตอบโต้เสียงวิจารณ์อย่างไร?
แม้จะมีเสียงวิจารณ์จากนานาชาติ จีนยังคงยืนยันว่าการบริหารแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขาอื่น ๆ เป็น “เรื่องภายในประเทศ” และชี้ว่าเขื่อนช่วยควบคุมอุทกภัยในฤดูฝน บรรเทาภัยแล้งในฤดูแล้ง และสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจในเขตยากจนของจีนตอนใต้
จีนยังผลักดันโครงการความร่วมมือในภูมิภาค เช่น กลไกความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง (Lancang-Mekong Cooperation – LMC) เพื่อสร้างภาพลักษณ์ด้านความร่วมมือ แต่หลายฝ่ายยังตั้งคำถามถึงความโปร่งใสและความเสมอภาคของเวทีเหล่านี้
การควบคุมน้ำหมายถึงการควบคุมชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำ แม่น้ำที่เคยเป็นของธรรมชาติ กลายเป็นอาวุธในเวทีภูมิรัฐศาสตร์ จีนสามารถเปิด-ปิดเขื่อนได้ตามต้องการ ไม่จำเป็นต้องแจ้งล่วงหน้า ทำให้ประเทศปลายน้ำต้องอยู่กับความไม่แน่นอนอย่างถาวร
ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับประเทศในลุ่มน้ำโขงจึงไม่เท่ากัน แม้จะมีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission) แต่จีนไม่เคยเข้าร่วมอย่างเต็มที่และไม่ยอมแบ่งปันข้อมูลน้ำแบบเรียลไทม์ จึงเกิดความเหลื่อมล้ำเชิงอำนาจที่ยากจะแก้ไข
ประเทศที่กล้ารื้อเขื่อน: เมื่อโลกเลือกอนาคต
ในขณะที่บางประเทศยังเดินหน้าสร้างเขื่อนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ ประเทศพัฒนาแล้วบางแห่งกลับตัดสินใจเดินสวนทาง เพราะมองเห็นว่าเขื่อนไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป
สหรัฐอเมริกา
เป็นประเทศที่รื้อเขื่อนมากที่สุดในโลก ตัวอย่างสำคัญคือโครงการรื้อเขื่อน Elwha Dam (สร้างในปี 1913 รื้อในปี 2011) และ Glines Canyon Dam (สร้างในปี 1927 รื้อในปี 2014) ในรัฐวอชิงตัน ซึ่งเป็นการฟื้นฟูแม่น้ำ Elwha ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ผลคือปลาแซลมอนกลับมาวางไข่ได้อีกครั้ง และระบบนิเวศรอบแม่น้ำฟื้นตัวอย่างชัดเจนภายในไม่กี่ปี
ฝรั่งเศส
ในแม่น้ำ Sélune มีการรื้อเขื่อน Vezins Dam (สร้างในปี 1920 รื้อในปี 2019) และเขื่อน La Roche-Qui-Boit (สร้างในปี 1915 รื้อในปี 2020) โดยเป็นส่วนหนึ่งของแผนฟื้นฟูระบบนิเวศทางน้ำในภูมิภาคนอร์มังดี ซึ่งเน้นให้ปลาไหลยุโรปและแซลมอนสามารถอพยพได้ตามธรรมชาติ
สแกนดิเนเวีย
หลายประเทศ เช่น สวีเดน นอร์เวย์ และฟินแลนด์ ไม่มีการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่เพิ่มเติมมาหลายสิบปี และมีโครงการทยอยรื้อเขื่อนขนาดเล็กที่ไม่ให้ผลผลิตพลังงานคุ้มค่า เช่น Sweden's Marieberg Dam (รื้อในปี 2018) พร้อมสนับสนุนการใช้พลังงานลมและแสงอาทิตย์แทน
การรื้อเขื่อนในประเทศเหล่านี้เกิดจากการประเมินว่า "ความคุ้มค่าทางระบบนิเวศในระยะยาว" มีค่ามากกว่ากำไรจากพลังงานในระยะสั้น"ความคุ้มค่าทางระบบนิเวศในระยะยาว" มีค่ามากกว่ากำไรจากพลังงานในระยะสั้น
ข้อเสนอ: ทางออกสู่อนาคตที่ยั่งยืน
แม่น้ำควรเป็นพื้นที่ของชีวิต ไม่ใช่สนามอำนาจทางการเมือง และปลาที่เกิดในห้องทดลองไม่ควรถูกส่งไปตายเพื่อสร้างภาพว่าเรายังรักษ์โลกอยู่ หากเรายังไม่ยอมคืนแม่น้ำให้ธรรมชาติอย่างแท้จริง
เพื่อให้การพัฒนาเป็นไปอย่างสมดุลกับระบบนิเวศและสิทธิของประเทศปลายน้ำ ควรมีข้อเสนอเชิงนโยบายดังต่อไปนี้:
-
สร้างกลไกระหว่างประเทศเพื่อบริหารจัดการแม่น้ำข้ามพรมแดน อย่างเท่าเทียม โปร่งใส และมีส่วนร่วม
-
เปิดเผยข้อมูลระดับน้ำและการระบายน้ำแบบเรียลไทม์ เพื่อเตรียมรับมือภัยแล้ง/น้ำท่วมในประเทศปลายน้ำ
-
ส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนอื่น เช่น ลม แสงอาทิตย์ แทนการพึ่งเขื่อน
-
ศึกษาผลกระทบสะสมทางนิเวศอย่างรอบด้าน ก่อนอนุมัติโครงการพัฒนาในพื้นที่ลุ่มน้ำ
-
สนับสนุนการฟื้นฟูแม่น้ำและชนิดพันธุ์พื้นถิ่น เป็นแนวทางพัฒนาเชิงนิเวศ ไม่ใช่แค่กิจกรรมสัญลักษณ์
บทสรุป: พัฒนาอย่างไรไม่ให้ทำลายสิ่งที่มีค่าที่สุด
การปล่อยปลาสตอร์เจียนในแยงซีอาจดูเหมือนการแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม แต่หากไม่กล้ากลับไปมองที่ต้นเหตุ เช่น โครงสร้างการควบคุมแม่น้ำ และนโยบายพลังงานที่ส่งผลระยะยาว กิจกรรมเหล่านี้ก็เป็นเพียงการปลอบใจผู้ชมมากกว่าการแก้ปัญหาจริง
ประเทศที่พัฒนาแล้วจำนวนมากเริ่มหันหลังให้กับเขื่อน และมองหาแนวทางฟื้นฟูแม่น้ำอย่างยั่งยืน เพราะตระหนักได้ว่า ธรรมชาติไม่ใช่แค่ของเรา แต่เป็นของรุ่นถัดไปเช่นกัน
แม่น้ำควรเป็นพื้นที่ของชีวิต ไม่ใช่สนามอำนาจทางการเมือง และปลาที่เกิดในห้องทดลองไม่ควรถูกส่งไปตายเพื่อสร้างภาพว่าเรายังรักษ์โลกอยู่ หากเรายังไม่ยอมคืนแม่น้ำให้ธรรมชาติอย่างแท้จริง
แหล่งอ้างอิง
-
International Rivers: https://www.internationalrivers.org
-
Stimson Center's Mekong Dam Monitor: https://www.stimson.org/project/mekong-dam-monitor/
-
รายงาน MRC (คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง): https://www.mrcmekong.org
-
รายงาน FAO เรื่องผลกระทบของเขื่อนต่อความมั่นคงทางอาหารในลุ่มแม่น้ำโขง
-
หนังสือ “Dams and Development” โดย World Commission on Dams
-
บทวิเคราะห์จาก The Guardian และ National Geographic เกี่ยวกับโครงการรื้อเขื่อนในสหรัฐและยุโรป
-
ข้อมูลการฟื้นฟูแม่น้ำ Elwha จาก U.S. National Park Service: https://www.nps.gov/olym/learn/nature/elwha-ecosystem-restoration.htm