บทนำ
กรณีพิพาททางธุรกิจระหว่างบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ซึ่งเป็นบริษัทภายใต้กลุ่มทุนมหากิจศิริ กับบริษัท Nestlé ผู้ถือครองแบรนด์ Nescafé ระดับโลก กำลังเป็นที่จับตามองของสังคมไทยและวงการธุรกิจอย่างกว้างขวาง ข้อพิพาทดังกล่าวไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเท่านั้น หากยังส่งแรงกระเพื่อมไปถึงร้านค้าปลีก ซัพพลายเออร์ เกษตรกร และผู้บริโภคในวงกว้างอีกด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่าง QCP และ Nestlé เริ่มต้นจากการร่วมทุนกันผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Nescafé ในประเทศไทยมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 โดยตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี ความร่วมมือดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในโมเดลความร่วมมือระหว่างบริษัทข้ามชาติกับทุนท้องถิ่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดกรณีหนึ่งในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งทางผลประโยชน์และทิศทางธุรกิจได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของข้อพิพาทที่รุนแรงในช่วงต้นปี พ.ศ. 2568
-
ความเป็นมาของความร่วมมือ: การถือหุ้นร่วมระหว่าง Nestlé และ QCP ในการผลิต "เนสกาแฟ" ในประเทศไทย
ความร่วมมือระหว่างบริษัท เนสท์เล่ เอส.เอ. (Nestlé S.A.) จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ในประเทศไทย เริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2533 ผ่านการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปภายใต้แบรนด์ "Nescafé" ในประเทศไทย
QCP เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นภายใต้กลุ่มทุนของตระกูลมหากิจศิริ ซึ่งมีชื่อเสียงและบทบาทในแวดวงธุรกิจอาหารและอุตสาหกรรมในประเทศไทยมายาวนาน โดย QCP ได้รับสิทธิในการบริหารจัดการโรงงานผลิตเนสกาแฟในประเทศไทย ภายใต้การกำกับดูแลเชิงกลยุทธ์ของเนสท์เล่ ซึ่งถือครองสิทธิในแบรนด์ เทคโนโลยีการผลิต และสูตรกาแฟทั้งหมด
ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีของความร่วมมือดังกล่าว Nescafé สามารถเติบโตจนกลายเป็นแบรนด์กาแฟอันดับหนึ่งของประเทศไทย โดยเฉพาะในหมวดผลิตภัณฑ์กาแฟปรุงสำเร็จชนิดผง (3-in-1) และกาแฟพร้อมดื่ม (RTD) ซึ่งตอบโจทย์พฤติกรรมการบริโภคของคนไทยได้อย่างดีเยี่ยม
การร่วมทุนครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาของความสำเร็จในการผสานความแข็งแกร่งของทุนท้องถิ่นกับเทคโนโลยีและแบรนด์ระดับโลก แต่ในขณะเดียวกัน ก็ได้ปูทางไปสู่ความขัดแย้งในภายหลังเมื่อแนวโน้มของธุรกิจและวิสัยทัศน์ของทั้งสองฝ่ายเริ่มแตกต่างกัน
-
โครงสร้างกิจการ: สัดส่วนหุ้น, สิทธิการใช้แบรนด์, เทคโนโลยี และบทบาทของแต่ละฝ่าย
ภายใต้การร่วมทุนระหว่าง Nestlé และ QCP นั้น ทั้งสองฝ่ายถือหุ้นในบริษัท QCP ในสัดส่วน 50:50 ซึ่งถือว่าเท่ากันในทางโครงสร้าง แต่บทบาทและสิทธิของแต่ละฝ่ายมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
Nestlé เป็นผู้ถือครองเครื่องหมายการค้า "Nescafé" และเป็นเจ้าของสิทธิเกี่ยวกับเทคโนโลยีการผลิต สูตรกาแฟ และทรัพย์สินทางปัญญาทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ ภายใต้เงื่อนไขนี้ QCP ไม่มีสิทธิในแบรนด์หรือองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องแม้จะเป็นผู้ผลิตในประเทศไทย
ในทางปฏิบัติ Nestlé เป็นผู้กำหนดกลยุทธ์ทางการตลาด การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ และควบคุมมาตรฐานคุณภาพ ส่วน QCP รับบทเป็นผู้จัดการการผลิตจริงในประเทศไทย ด้วยการลงทุนในโรงงาน เครื่องจักร และบุคลากรเพื่อรองรับกำลังการผลิตตามข้อกำหนดของ Nestlé
ความสัมพันธ์ในลักษณะนี้ทำให้ QCP มีบทบาทคล้ายกับผู้ผลิตภายใต้คำสั่ง (contract manufacturer) มากกว่าผู้ร่วมบริหารแบรนด์ ส่งผลให้เมื่อเกิดการยุติสัญญา QCP ไม่สามารถอ้างสิทธิในผลิตภัณฑ์หรือเทคโนโลยีใด ๆ ได้
-
การยุติสัญญาระหว่าง Nestlé และ QCP: กระบวนการ, เหตุผล, และผลกระทบที่เกิดขึ้น
ในปี พ.ศ. 2564 Nestlé ได้แจ้งความประสงค์ยุติความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับ QCP โดยใช้กระบวนการทางกฎหมายระหว่างประเทศผ่านการอนุญาโตตุลาการสากล ซึ่งได้มีคำตัดสินให้การเลิกสัญญาเป็นไปโดยชอบธรรมและมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567
เหตุผลของการเลิกสัญญาไม่ได้เปิดเผยอย่างละเอียดต่อสาธารณะ แต่มีการคาดการณ์ว่ามาจากความต้องการของ Nestlé ที่จะบริหารกิจการ Nescafé ในประเทศไทยด้วยตนเองโดยตรงมากขึ้น เพื่อลดความซับซ้อนของการดำเนินงาน และเพิ่มประสิทธิภาพของแบรนด์ในเชิงกลยุทธ์ระยะยาว
การยุติสัญญาส่งผลกระทบต่อ QCP อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากรายได้หลักของบริษัทมาจากการผลิตผลิตภัณฑ์ Nescafé และเมื่อไม่สามารถผลิตหรือจำหน่ายภายใต้แบรนด์นี้ได้อีก QCP จึงต้องเผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบากว่าจะหาพันธมิตรใหม่ พัฒนาแบรนด์ของตนเอง หรือปรับโครงสร้างกิจการใหม่ทั้งหมด
-
การฟ้องร้องของ QCP: ข้อกล่าวหา, คำร้องต่อศาล, คำสั่งคุ้มครองชั่วคราว
ภายหลังการประกาศยุติสัญญาระหว่าง Nestlé และ QCP มีความเคลื่อนไหวทางกฎหมายจากฝั่ง QCP ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารของตระกูลมหากิจศิริ โดยในช่วงเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน พ.ศ. 2568 นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ ได้ยื่นฟ้องบริษัทในเครือของ Nestlé และกรรมการที่เกี่ยวข้องต่อศาลแพ่งมีนบุรี จำนวน 2 คดี เพื่อเรียกร้องความเสียหายและขอให้ศาลพิจารณาคุ้มครองชั่วคราว
QCP อ้างว่าแม้ Nestlé จะมีสิทธิตามกฎหมายในการยุติสัญญา แต่การดำเนินการดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายแก่ QCP อย่างร้ายแรง ทั้งในด้านรายได้ การบริหารจัดการโรงงาน และห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะเมื่อไม่มีการตกลงแนวทางเปลี่ยนผ่านหรือเยียวยาใด ๆ
เมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2568 ศาลแพ่งมีนบุรีมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามไม่ให้ Nestlé ผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าเครื่องหมายการค้า Nescafé ในประเทศไทย ซึ่งคำสั่งนี้มีผลในทันที แม้ฝั่ง Nestlé ยังไม่มีโอกาสได้นำเสนอข้อเท็จจริงอย่างครบถ้วนต่อศาล
คำสั่งดังกล่าวมีผลโดยตรงต่อความต่อเนื่องของผลิตภัณฑ์ Nescafé ในประเทศไทย และนำไปสู่สถานการณ์ขาดแคลนสินค้าบางช่วงในตลาดภายในไม่กี่วันถัดมา
-
ผลกระทบทางธุรกิจในวงกว้าง: ร้านค้า, ซัพพลายเออร์, เกษตรกร, และผู้บริโภค
คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวที่ห้ามไม่ให้ Nestlé ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Nescafé ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังหลายภาคส่วนในอุตสาหกรรม
ในระดับหน้าร้าน ร้านค้าปลีกขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ รวมถึงร้านรถเข็น ร้านโชห่วย และห้างค้าส่งต่างประสบกับปัญหาขาดแคลนสินค้า Nescafé โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ 3-in-1 ที่มียอดขายสูงและเป็นที่นิยมของผู้บริโภค พฤติกรรมผู้บริโภคที่มีความผูกพันกับรสชาติของแบรนด์ ทำให้เกิดความลังเลในการเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์จากแบรนด์อื่น
ผู้ประกอบการค้าส่งรายใหญ่อย่างบริษัท ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ จำกัด ระบุว่าความเสียหายเกิดขึ้นแม้เพียงแค่ 3 วันของการไม่มีสินค้า โดยในระดับปี Nescafé สร้างยอดขายระดับหลายร้อยล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการพึ่งพาสินค้าชนิดนี้ในตลาด
ผลกระทบยังลามไปถึงซัพพลายเออร์ในระบบ เช่น ผู้จัดหาวัตถุดิบ บรรจุภัณฑ์ และผู้ขนส่ง ตลอดจนเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ โดยเฉพาะพันธุ์โรบัสต้า ซึ่ง Nescafé เป็นผู้รับซื้อรายใหญ่ในประเทศเป็นประจำทุกปี
ผู้บริโภคปลายทางเองก็ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่เคยพึ่งพากาแฟราคาประหยัด เช่น Nescafé 3-in-1 การหายไปของผลิตภัณฑ์จากชั้นวางสร้างแรงกระเพื่อมในพฤติกรรมการเลือกซื้ออย่างเห็นได้ชัด
-
ท่าทีและการเคลื่อนไหวของ Nestlé: แถลงการณ์, การยื่นคัดค้านคำสั่งศาล, แผนในอนาคต
หลังคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวจากศาลแพ่งมีนบุรีเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 ที่ห้าม Nestlé ผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ Nescafé ในประเทศไทย Nestlé ได้ออกแถลงการณ์โดยแสดงความเคารพต่อคำสั่งศาล และยืนยันว่าจะดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายเพื่อยื่นคัดค้านคำสั่งดังกล่าว
Nestlé ชี้แจงว่าการยุติสัญญากับ QCP เป็นการดำเนินการตามกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีคำตัดสินจากศาลอนุญาโตตุลาการสากลรับรองว่า Nestlé มีสิทธิอย่างชอบธรรมในการยุติสัญญาตั้งแต่สิ้นปี 2567 พร้อมยืนยันว่าเป็นเจ้าของแบรนด์ Nescafé แต่เพียงผู้เดียว และมีสิทธิ์ในการจัดการธุรกิจในประเทศไทยต่อไป
บริษัทแสดงความกังวลต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นกับร้านค้า ผู้บริโภค พนักงาน และเกษตรกรที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทานของผลิตภัณฑ์ Nescafé พร้อมระบุว่ากำลังพิจารณาทางเลือกในการฟื้นฟูการจัดจำหน่าย ทั้งการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ การจ้างผู้ผลิตในประเทศ หรือการลงทุนสร้างโรงงานใหม่ในประเทศไทยเพื่อรองรับการผลิตในระยะยาว
-
การเปรียบเทียบกับกรณีศึกษาอื่น:
กรณีพิพาทระหว่าง QCP และ Nestlé มีลักษณะคล้ายคลึงกับข้อพิพาททางธุรกิจในอดีตที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและต่างประเทศ ซึ่งช่วยให้เข้าใจลักษณะปัญหาและแนวทางการจัดการในสถานการณ์ที่คล้ายกันได้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างที่น่าสนใจ ได้แก่:
-
เป๊ปซี่ vs เสริมสุข: เสริมสุขเคยเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเป๊ปซี่ในไทยมายาวนาน ก่อนที่เป๊ปซี่จะยุติสัญญาและจัดจำหน่ายเอง เสริมสุขจึงเปลี่ยนไปสร้างแบรนด์ “เอส” ขึ้นมาแข่งในตลาด เป็นกรณีตัวอย่างของการถูกยุติสัญญาแล้วเดินหน้าสร้างแบรนด์ของตนเอง
-
Pizza Hut vs The Pizza Company: บริษัท Minor Food เคยถือสิทธิ์แฟรนไชส์ Pizza Hut ในไทย เมื่อหมดสัญญา Minor ได้สร้างแบรนด์ The Pizza Company ขึ้นมาเอง โดยใช้บุคลากร ระบบ และประสบการณ์เดิม ซึ่งสามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างแข็งแกร่ง
-
Semperit vs Sri Trang: ความขัดแย้งด้านสิทธิในการจัดจำหน่ายระหว่าง Semperit จากออสเตรีย และ Sri Trang จากไทย สะท้อนให้เห็นความซับซ้อนของการร่วมทุนและการบริหารสิทธิ์ในธุรกิจข้ามชาติ
-
Hopewell vs รัฐบาลไทย: กรณีพิพาทที่ยืดเยื้อยาวนานกว่า 30 ปี ระหว่าง Hopewell Holdings จากฮ่องกง และกระทรวงคมนาคมของไทย แสดงให้เห็นผลกระทบจากการยกเลิกสัญญาและปัญหาด้านสัญญาสัมปทานระหว่างภาครัฐกับต่างชาติ
-
Peninsula Bangkok: กรณีพิพาทเรื่องสิทธิในการบริหารโรงแรมระหว่าง The Hongkong and Shanghai Hotels กับผู้ถือหุ้นท้องถิ่นในไทย สะท้อนถึงปัญหาความไม่ลงรอยในการบริหารกิจการร่วมทุนระหว่างทุนต่างประเทศกับพันธมิตรไทย
กรณีศึกษาเหล่านี้ช่วยให้เห็นว่าความขัดแย้งทางธุรกิจสามารถเกิดขึ้นได้แม้ในความร่วมมือที่เคยประสบความสำเร็จ และแนวทางแก้ไขมีหลากหลาย ทั้งการเจรจา การยุติความสัมพันธ์ หรือการฟ้องร้องในกระบวนการยุติธรรม
-
แนวโน้มในอนาคต: QCP จะเดินหน้าสร้างแบรนด์ใหม่หรือยุติบทบาท? Nestlé จะตั้งโรงงานใหม่หรือหาพาร์ทเนอร์อื่น?
สถานการณ์ปัจจุบันทำให้ทั้ง QCP และ Nestlé ต้องประเมินกลยุทธ์ทางธุรกิจอย่างรอบคอบ QCP แม้จะไม่มีสิทธิในแบรนด์หรือสูตรเดิมของ Nescafé แต่ยังมีโรงงาน บุคลากร และระบบการจัดจำหน่ายที่แข็งแรง การสร้างแบรนด์ใหม่อาจเป็นทางเลือกเดียวที่เป็นไปได้ หากไม่สามารถเจรจาหรือกลับมาร่วมงานกับ Nestlé ได้อีก
ในขณะที่ Nestlé แม้จะมีสิทธิในแบรนด์ Nescafé แต่การขาดโรงงานผลิตในประเทศก็ถือเป็นความท้าทายหลักในระยะสั้น ทางเลือกของ Nestlé อาจรวมถึงการนำเข้าสินค้าจากโรงงานในต่างประเทศ การว่าจ้างผู้ผลิตรายอื่นในประเทศ หรือการลงทุนตั้งโรงงานใหม่ ซึ่งจะใช้เวลาและงบประมาณพอสมควร
ผลลัพธ์ในอนาคตจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาล และการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ของทั้งสองฝ่ายว่าใครสามารถปรับตัวได้ดีกว่าในบริบทตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้
-
ข้อคิดและบทเรียนจากกรณีนี้
กรณี QCP และ Nestlé เป็นตัวอย่างของความซับซ้อนในการร่วมทุนระหว่างบริษัทข้ามชาติและทุนท้องถิ่น แม้การร่วมทุนจะนำไปสู่ความสำเร็จร่วมกันในช่วงเวลาหนึ่ง แต่หากไม่มีข้อตกลงที่รัดกุมเรื่องการสิ้นสุดความสัมพันธ์และการถือครองทรัพย์สินทางปัญญา ความขัดแย้งอาจกลายเป็นข้อพิพาทรุนแรงได้
อีกหนึ่งบทเรียนสำคัญคือการเตรียมความพร้อมสำหรับความเปลี่ยนแปลง การพึ่งพารายได้จากการร่วมทุนกับแบรนด์ระดับโลกโดยไม่มีแผนรองรับในกรณีที่ต้องแยกทาง อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อองค์กร และห่วงโซ่ธุรกิจโดยรอบ
กรณีนี้ยังตอกย้ำบทบาทของกระบวนการยุติธรรมไทยในการคุ้มครองสิทธิของคู่กรณี และความจำเป็นในการใช้กลไกทางกฎหมายเพื่อหาทางออกที่ยั่งยืนต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง