บทนำ
ระบบ "อาสา" ควรจะเป็นพื้นที่ของการเสียสละด้วยใจ เป็นการช่วยเหลือกันด้วยความหวังดี ไม่ใช่เครื่องมือที่ใช้บังคับคนให้ทำสิ่งที่ไม่เต็มใจเพื่อให้ใครบางคนได้ภาพลักษณ์สวยหรูหรือผลประโยชน์แอบแฝง แต่ความเป็นจริงกลับกลายเป็นว่าคำว่า "อาสา" ถูกยัดเยียดให้คนต้องยอมรับ ทั้งที่ใจไม่ได้ต้องการ ความสมัครใจกลายเป็นคำพูดลอย ๆ ที่ไม่มีน้ำหนักในทางปฏิบัติ
1. อาสา...แต่ต้องจำใจไป
คำว่า "อาสา" ควรจะหมายถึงการกระทำที่เกิดจากความสมัครใจ แต่ในโลกจริงกลับกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนจำนวนมากถูกบังคับให้ทำในนามของ "กิจกรรมอาสา" โดยเฉพาะในหมู่นักเรียน นักศึกษา และข้าราชการ ที่ต้องสะสมชั่วโมงเพื่อผ่านเกณฑ์บางอย่าง ทั้งที่ไม่ได้เต็มใจ หรือแม้กระทั่งรู้สึกว่าไม่ได้มีคุณค่าจากกิจกรรมนั้นเลย
มันกลายเป็นระบบที่บิดเบือนแก่นแท้ของคำว่า "อาสา" อย่างสิ้นเชิง จากที่ควรเป็นเรื่องของหัวใจ กลับกลายเป็นภาระที่ทุกคนต้องรับแบก ทั้งที่ไม่ได้เชื่อ ไม่ได้ศรัทธา และบางทีก็ไม่ได้เห็นประโยชน์ใด ๆ กับสังคมเลย นอกจากกระดาษแผ่นเดียวที่เอาไปยื่นให้ใครสักคนเพื่อให้ผ่านเงื่อนไข
บ่อยครั้งที่คนถูกบังคับให้ไปช่วยงานที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเอง หรือทำในสิ่งที่ไม่มีความหมายต่อชุมชน แค่ให้ได้ชื่อว่า "ช่วย" แล้วก็กลับบ้าน พร้อมกับได้ชื่อว่า "จิตอาสา" ทั้งที่ในใจอาจจะสาปส่งกิจกรรมนั้นตั้งแต่ยังไม่เริ่มเสียด้วยซ้ำ
2. ใช้คนฟรีเหมือนทาสยุคใหม่
กิจกรรมที่ถูกเรียกว่า "อาสา" หลายแห่ง กลับกลายเป็นเครื่องมือในการใช้แรงงานฟรีอย่างไม่รู้สึกผิด งานที่มอบหมายมักจะหนัก ใช้เวลานาน บางทีก็ต้องออกค่าเดินทางหรือค่าใช้จ่ายเอง โดยไม่มีแม้แต่คำขอบคุณหรือความใส่ใจจากผู้จัด
ที่น่าหงุดหงิดยิ่งกว่าคือ สิ่งที่คนอาสาทำกลับถูกใช้เป็นเครดิตให้คนอื่นได้หน้า ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหาร โครงการ หรือองค์กรที่เอาภาพไปโปรโมตตัวเอง สร้างความดีแบบฉาบหน้า โดยไม่เคยสนใจว่าแรงงานที่ทำจริงจะได้อะไรกลับมา หรือเหนื่อยแค่ไหน
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้คำว่า "อาสา" ที่ใช้ปิดปากคนได้อย่างน่าหงุดหงิด เพราะใครพูดมากก็จะถูกมองว่าไม่มีจิตสาธารณะ ทั้งที่จริงแล้วแค่เรียกร้องความเป็นธรรมในสิ่งที่ควรจะได้ตั้งแต่แรก
3. โครงการลูบหน้าเอาใจ แต่งตัวดี แต่ไร้แก่นสาร
หลายโครงการที่อ้างว่าเป็นกิจกรรมอาสา จริง ๆ แล้วเป็นเพียงการจัดฉากให้ดูดีเพื่อให้ผู้มีอำนาจหรือองค์กรต้นสังกัดได้หน้า อีเวนต์จัดใหญ่โต มีป้าย มีช่างภาพ มีพิธีเปิด แต่เมื่อดูลงลึกถึงเนื้อหา มักจะพบว่าไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม ไม่มีการวางแผนต่อเนื่อง ไม่มีเป้าหมายที่แท้จริง
ผู้เข้าร่วมต้องงงกับตารางงานที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา บางครั้งก็ไม่มีข้อมูลล่วงหน้า บริหารจัดการห่วยจนทำให้คนที่ตั้งใจจะมาช่วยต้องเสียเวลา เสียพลังงาน และเสียความรู้สึก
ในท้ายที่สุด มีแค่บางคนที่ได้หน้าในสื่อ บางคนที่ได้ใช้ภาพถ่ายกิจกรรมไปแนบรายงาน ส่วนคนทำจริง ๆ กลับไม่ได้อะไรเลย นอกจากความเหนื่อยกับความรู้สึกว่าตัวเองโดนหลอกใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
4. ผลกระทบเชิงลบที่ไม่มีใครพูดถึง
เมื่อระบบอาสากลายเป็นเพียงฉากหน้าของการใช้แรงงานฟรี ผลกระทบที่ตามมาคือความเสื่อมศรัทธาในตัวแนวคิด "จิตอาสา" เอง คนที่เคยมีใจอยากช่วยเหลือ กลับต้องถอยห่างเพราะเจอประสบการณ์แย่ ๆ จนรู้สึกว่าการให้ใจมันไม่คุ้มกับสิ่งที่ได้รับกลับมา
ยิ่งไปกว่านั้น ความไม่เท่าเทียมยังชัดเจนในรูปแบบของ "โอกาส" บางคนมีเส้น มีคอนเน็กชัน ก็ได้เข้าไปอยู่ในโครงการดี ๆ มีคนเห็น มีภาพ มีเครดิต ขณะที่อีกจำนวนมากไม่มีโอกาสเลย ต้องทำกิจกรรมอาสาเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่มีใครเห็น และไม่ได้นำไปต่อยอดอะไรได้เลย
ในที่สุด ระบบแบบนี้ก็บั่นทอนแรงขับเคลื่อนของคนรุ่นใหม่ที่จะออกมาทำอะไรเพื่อส่วนรวม เพราะมันไม่เหลือความรู้สึกว่า "ช่วยแล้วได้อะไร" หรือแม้แต่ "ช่วยแล้วมีความหมาย" อีกต่อไป
5. ถ้าอยากเปลี่ยน ต้องเริ่มจาก...
การแก้ไขระบบอาสาที่บิดเบี้ยวนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าเรายอมรับความจริงกันเสียทีว่า ระบบนี้มันพังจริง ๆ การปิดหูปิดตา บอกว่า "ดีกว่ามีอะไรให้ทำ" หรือ "เป็นการฝึกวินัย" นั้นมันไม่ช่วยอะไรเลย ถ้ามันบั่นทอนคนที่อยู่ในระบบจนหมดไฟ
สิ่งที่ควรเกิดขึ้นคือการให้คุณค่ากับแรงคนอย่างแท้จริง อย่ามองว่าใครที่มา "ช่วยฟรี" แล้วจะปฏิบัติยังไงก็ได้ ต้องเคารพเวลาของเขา พื้นที่ของเขา และความรู้สึกของเขา เพราะการทำเพื่อสังคมควรเป็นเรื่องของความร่วมมือ ไม่ใช่การกดขี่แฝงรูป
และสุดท้าย ระบบต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ โครงการควรมีเป้าหมายที่ชัดเจน คนทำควรได้รู้ว่าเขากำลังช่วยอะไร ช่วยไปแล้วเกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่แค่ทำให้จบ ๆ เพื่อเช็กชื่อแล้วแยกย้ายกันไป วันหลังจัดใหม่ก็หลอกคนใหม่ต่อ
ถ้าเราอยากเห็นคำว่า "อาสา" กลับมามีความหมาย ต้องกล้ารื้อ กล้าวางใหม่ และกล้าเลิกโลกสวยแบบจอมปลอม