ในทุกซอกมุมของสังคม ไม่ว่าจะออนไลน์หรือออฟไลน์ การ "เหยียด" ดูเหมือนจะฝังรากลึกในวิธีที่มนุษย์มองกันและกัน คำพูดเล่น คำล้อเลียน หรือแม้แต่การมองผ่าน ๆ ล้วนสะท้อนสิ่งเดียวกัน — ความไม่เท่าเทียมที่หยั่งรากในใจคน
เราอาจเคยคิดว่า การเหยียดคือปัญหาของคนไม่รู้จักคิด แต่ความจริงมันลึกกว่านั้น เพราะบางครั้ง คนที่รู้จักคิด รู้จักเจ็บปวด รู้จักสำนึก ก็ยังเผลอเหยียดโดยไม่รู้ตัว
แล้วเราจะอยู่กับความจริงที่โหดร้ายขนาดนี้อย่างไร?
การเหยียดเริ่มจากอะไร?
มันไม่ได้เริ่มจากความเกลียด มันเริ่มจากความ "กลัว" — กลัวว่าจะไม่เหนือกว่า กลัวว่าจะไม่เป็นที่ยอมรับ กลัวว่าถ้าเราไม่ข่มคนอื่นไว้ เราจะเป็นฝ่ายถูกเหยียบเอง
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ผูกความรู้สึกปลอดภัยไว้กับลำดับชั้น เราถูกสอนให้เปรียบเทียบตั้งแต่เด็ก ใครได้คะแนนมาก ใครหน้าตาดีกว่า ใครบ้านรวยกว่า แม้แต่ความดี ยังถูกจัดลำดับได้ เช่น "เธอดีกว่าฉัน" "เขาเสียสละมากกว่า"
ความกลัวจะด้อยจึงผลักให้เราหาที่ระบาย และการเหยียดกลายเป็นทางลัดของอัตตาที่ไม่มั่นคง
วังวนของการเหยียด: ไม่มีจุดสูงสุด มีแต่เหยื่อใหม่เสมอ
บางคนอาจคิดว่า หากเราพัฒนาตัวเองให้ดีพอ รวยพอ สวยพอ ฉลาดพอ เราจะพ้นจากการถูกเหยียด
แต่เปล่าเลย —
แม้แต่คนที่อยู่ในสถานะสูงสุด ก็ยังถูกเหยียดในรูปแบบอื่น คนรวย = โกง คนสวย = ปลอม คนดี = โลกสวย คนมีความรู้ = หยิ่ง คนอ่อนโยน = อ่อนแอ
นี่คือหลักฐานว่า ความเหยียดไม่มีเป้าหมายที่ตายตัว มันเคลื่อนไปเรื่อย ๆ หาคนใหม่เสมอ เพราะมันไม่ได้เกิดจากความผิดของเหยื่อ แต่มันเกิดจากความว่างเปล่าในใจของผู้เหยียดเอง
และถ้าถามว่า ใครอยู่บนสุดของห่วงโซ่นี้? คำตอบคือ — ไม่มีใครเลย
มนุษย์เหยียดเพราะเคยถูกเหยียด แล้ววนซ้ำ: บาดแผลแห่งชาติที่ยังไม่เคยสมาน
ประวัติศาสตร์ของหลายประเทศที่ดูเข้มแข็งในวันนี้ ล้วนเคยมีจุดตกต่ำที่ลึก และเจ็บ
รัสเซีย เคยเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็เคยถูกปกครองโดยชาวมองโกล ถูกมองว่าเป็นประเทศล้าหลังในยุโรป และหลังสหภาพโซเวียตล่มสลายในปี 1991 รัสเซียต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ การลดบทบาทในเวทีโลก และการดูแคลนจากชาติตะวันตกอย่างเจ็บปวด ปมเหล่านี้ฝังลึกจนกลายเป็นความต้องการแสดงอำนาจเหนือชาติอื่น เพื่อเรียกคืนศักดิ์ศรี
เกาหลีใต้ เคยเป็นประเทศยากจนที่สุดแห่งหนึ่งหลังสงครามเกาหลีในปี 1950 ถูกญี่ปุ่นยึดครองนานกว่า 35 ปี และเคยถูกโลกตะวันตกมองข้ามอย่างสิ้นเชิง การที่เกาหลีประสบความสำเร็จในด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรมในช่วงหลังจึงกลายเป็นพลังผลักดันมหาศาลในการสร้างภาพลักษณ์ “เกาหลีเหนือกว่า” เพื่อหลุดพ้นจากความรู้สึกต่ำต้อยในอดีต แต่ขณะเดียวกัน ความสำเร็จนั้นกลับทำให้บางส่วนของสังคมเหยียดชาติที่ตนเคยมองว่า “ด้อยกว่า” เพื่อรักษาภาพลักษณ์ใหม่
ญี่ปุ่น เองก็เคยปิดประเทศ ถูกกดดันจากตะวันตกให้เปิดประเทศในยุคเมจิ ต่อมาพยายามพิสูจน์ความศิวิไลซ์ด้วยการล่าอาณานิคมในเอเชีย — จนนำไปสู่บาดแผลสงครามโลกครั้งที่สอง บางส่วนของสังคมญี่ปุ่นจึงยังคงสืบทอดมุมมองชาตินิยมเข้มข้น และมองว่าชาติอื่นด้อยกว่าโดยไม่รู้ตัว
แม้แต่ไทย ที่ไม่เคยตกเป็นอาณานิคม ก็ยังมีปมเรื่องการเปรียบเทียบกับโลกตะวันตก ความรู้สึก “ด้อย” ถูกกลบด้วยการเหยียดเพื่อนบ้านอย่างลาว พม่า กัมพูชา มองว่าเป็นแรงงาน เป็นบ้านนอก ทั้งที่จริงแล้วหลายประเทศเหล่านี้กำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดดไม่ต่างจากไทยเลย
ทั้งหมดนี้คือวัฏจักรของความเจ็บที่ไม่เคยถูกเยียวยา จึงกลายเป็นการทำร้ายผู้อื่นซ้ำ
เราหัวเราะคนอื่นเพื่อกลบความกลัวในตัวเอง เราทำเป็นไม่แคร์ เพราะเราเคยถูกทำให้รู้สึกไร้ค่า เราเลยเลือกจะไม่รู้สึกอีก — โดยการทำให้คนอื่นต้องรู้สึกแทน
แล้วเราจะอยู่กับโลกแบบนี้ยังไง?
แน่นอนว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนทั้งโลกได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะไม่เป็นส่วนหนึ่งของความเหี้ยนั้น
และนี่คือ "หลักความถูกต้อง" ที่เราควรยืนอยู่บนนั้น แม้จะมีแค่เราคนเดียวที่ยังเหลืออยู่:
-
ทุกคนมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ต้องสอบผ่าน ไม่ต้องดีเลิศ ก็มีสิทธิ์ถูกปฏิบัติอย่างเท่าเทียม
-
ความแตกต่างไม่ใช่ความผิด แต่เป็นเงื่อนไขธรรมชาติของการมีอยู่
-
การล้อเลียนที่ทำให้ใครรู้สึกต่ำ ไม่ใช่เรื่องตลก แต่คือการทำร้าย
-
เราไม่จำเป็นต้องเข้าใจทุกคน แต่เราต้องไม่ทำให้เขารู้สึกไร้ตัวตน
-
ถ้ามีคนถูกเหยียดตรงหน้าเรา และเราเงียบ = เราคือส่วนหนึ่งของปัญหา
-
คนที่เคยเจ็บ จะไม่มีวันอยากให้คนอื่นเจ็บ ถ้าเขาจำความรู้สึกนั้นได้ดีพอ
และเมื่อวันหนึ่งโลกยังไม่ดีขึ้น…
อย่าเพิ่งสิ้นศรัทธาในตัวเอง เพราะการยืนหยัด แม้จะไม่มีใครมองเห็น ไม่ใช่เรื่องไร้ค่า
มันคือการยืนยันว่า เราเคยอยู่ที่นี่ เราเคยไม่เหยียบใคร เพื่อให้ตัวเองสูงขึ้น เราเคยเลือกจะเจ็บคนเดียว ดีกว่าทำให้คนอื่นต้องร้องไห้เพราะคำพูดเรา
และนั่นแหละ คือมนุษย์ในแบบที่โลกควรมีมากขึ้น
ไม่ใช่มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นมนุษย์ที่กล้าไม่เหมือนฝูงชน
ในโลกที่ไม่มีใครดีพอ — ขอแค่เราไม่เหี้ยเพิ่มก็พอแล้ว