วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2568

ประกันสังคม มาตรา 33: ใช้งานได้ แต่เงื่อนไขเยอะ เมื่อต้องเทียบกับบัตรทอง

ถ้าคุณเป็นพนักงานบริษัทเอกชน ต้องจ่ายเงินสมทบประกันสังคมมาตรา 33 ทุกเดือน แต่พอเจ็บป่วยเบา ๆ หรืออยากใช้สิทธิกลับเจอเงื่อนไขจุกจิกที่จำกัดสิทธิ์อย่างรุนแรง นี่คือการวิพากษ์ระบบประกันสังคมที่ชูโรงเรื่องสวัสดิการ แต่ในทางปฏิบัติกลับกรองคนไข้จนแทบไม่ได้ใช้สิทธิเลยทีเดียว


1. ค่ารักษาพยาบาล (OPD & IPD): สิทธิครอบคลุม แต่เพดานจำกัดเฉพาะเอกชน

  • OPD (ผู้ป่วยนอก)

    • โรงพยาบาลรัฐและเอกชนในเครือข่าย สปส.: ให้บริการแบบ Cashless ไม่ต้องสำรองจ่าย ผู้ป่วยแสดงบัตรประกันสังคมได้ทันที

    • โรงพยาบาลเอกชนนอกเครือข่าย: ต้องสำรองจ่ายก่อน แล้วนำเอกสารไปเบิกคืนที่ สปส. (จำกัด 30 ครั้ง/ปี, ครั้งละไม่เกิน 1,000–2,000 บาท)

  • IPD (ผู้ป่วยใน)

    • โรงพยาบาลรัฐ: รักษาพยาบาลได้เต็มวงเงิน ไม่มีเพดานค่าห้องหรือค่ารักษา

    • โรงพยาบาลเอกชนในเครือข่าย สปส.: จำกัดค่าห้อง+ค่าอาหาร 700 บาท/วัน และค่ารักษา 2,000 บาท/วัน (รวมสูงสุด 2,700 บาท/วัน)

    • โรงพยาบาลเอกชนนอกเครือข่าย: ต้องสำรองจ่ายส่วนเกิน และดำเนินการเบิกคืนเอง

หมายเหตุ: เพดานค่าบริการ OPD/IPD จะใช้เฉพาะเมื่อไปโรงพยาบาลเอกชน ทั้งในและนอกเครือข่าย ส่วนโรงพยาบาลรัฐไม่มีเพดานนี้ ตามกฎหมายกำหนด


2. เงินทดแทนรายได้เมื่อหยุดงาน: สิทธิว่าดี แต่เงื่อนไขทำให้ไร้ค่า

  • สิทธิหลัก: ระบบสัญญาจะชดเชยรายได้ 50% ของค่าจ้างรายวัน หากหยุดงานตามใบรับรองแพทย์

  • เงื่อนไขจำกัด:

    1. ต้องใช้วันลาป่วยจากนายจ้างครบ 30 วันต่อปี ก่อน

    2. นายจ้างต้อง ไม่จ่ายค่าจ้าง ในช่วงวันหยุดเพิ่มเติม

    3. ใบรับรองแพทย์ต้องระบุวันหยุดชัดเจน

    4. จ่ายสูงสุด 90 วันต่อครั้ง และไม่เกิน 180 วันต่อปี (โรคเรื้อรังสูงสุด 365 วัน)

ผลลัพธ์จริง: แทบไม่มีใครหยุดงานยาว 30 วันติดต่อกัน สิทธิชดเชยจึงกลายเป็นแค่คำโฆษณา


3. ค่าคลอดและเงินสงเคราะห์บุตร: สิทธิดี แต่วาร์ปมาใช้ยาก

  • ค่าคลอด: เหมาจ่าย 13,000 บาท ต่อการคลอดหนึ่งครั้ง

  • เงินสงเคราะห์บุตร: เดือนละ 600–800 บาท ต่อบุตรอายุไม่เกิน 6 ขวบ ไม่เกิน 3 คน

  • เงื่อนไขหลัก:

    • ต้องส่งเงินสมทบอย่างน้อย 5–12 เดือน ในช่วง 15 เดือนก่อนคลอด ถึงจะเบิกค่าคลอดได้

    • ต้องส่งเงินสมทบ ครบ 12 เดือน เพื่อรับเงินสงเคราะห์บุตรต่อเนื่อง

ปัญหาใหญ่: พนักงานใหม่หรือคนกลับมาทำงานเพิ่งไม่นาน อาจไม่เข้าเกณฑ์ ต้องจ่ายค่าคลอดเองก่อนหลักหมื่น


4. บำนาญชราภาพ: เลือกรอ 15 ปี หรือได้คืนแค่ส่วนหนึ่ง

  • ต้องส่งเงินสมทบครบ 180 เดือน (15 ปี) จึงจะมีสิทธิรับ บำนาญชราภาพ เท่ากับ 20% ของค่าจ้างเฉลี่ยใน 60 เดือนสุดท้าย ตลอดชีวิต

  • หากลาออกหรือส่งสมทบไม่ครบ 180 เดือน จะไม่ได้รับบำนาญรายเดือน แต่จะได้รับเพียง บำเหน็จ (เงินคืนส่วนหนึ่งตามระยะเวลาที่ส่งสมทบ)

เปรียบเหมือน: ฝากเงินเข้าบัญชีไว้ 15 ปี ถึงจะถอนได้ทั้งหมด แต่หากถอนก่อน จะได้เพียงส่วนนิดตามเงื่อนไข


5. สรุปเปรียบเทียบ: มาตรา 33 vs บัตรทอง (UC) vs สิทธิข้าราชการ

ประเด็น ม.33 (SSO) บัตรทอง (UC) ข้าราชการ
OPD Cashless ในเครือข่าย30 ครั้ง/ปี, 1–2K ฿/ครั้ง (เอกชน) ไม่จำกัดจำนวนครั้ง, จ่ายตามจริง ไม่จำกัดจำนวนครั้ง, จ่ายตามจริง
IPD เพดาน 2,700 ฿/วัน (เอกชน) ไม่มีเพดาน จ่ายตามจริง ไม่มีเพดาน จ่ายตามจริง
เงินทดแทนรายได้ 50% ของค่าจ้างเมื่อหยุด >30 วันต่อปี ไม่มีสิทธิชดเชยรายได้ ไม่มีสิทธิ (ระบบข้าราชการดูแลเอง)
ค่าคลอด 13,000 ฿ ต่อครั้ง (เงื่อนไขสมทบ) จ่ายตามจริง ไม่มีเพดาน, ฝากครรภ์ฟรี จ่ายตามจริง ไม่มีเพดาน, ฝากครรภ์ฟรี
เงินสงเคราะห์บุตร 600–800 ฿/เดือน ต่อบุตร ≤ 6 ขวบ ไม่มีสิทธิ (เข้าสู่ UC แล้ว) มีเงินสงเคราะห์บุตรตามระเบียบราชการ
บำนาญชราภาพ 20% เมื่อครบ 180 เดือน ไม่มีบำนาญ บำเหน็จ–บำนาญตามอัตราข้าราชการ

บทสรุปเชิงวิเคราะห์: เมื่อเปรียบเทียบชัดๆ จะเห็นว่า บัตรทองและสิทธิข้าราชการแจกสิทธิ์เต็มเม็ดเต็มหน่วยโดยไม่มีเงื่อนไขซับซ้อน แต่ประกันสังคมมาตรา 33 จำกัดสิทธิ์ทั้งจำนวนครั้ง เพดานวงเงิน และขั้นตอนซับซ้อน จนผู้ประกันตนแทบไม่ได้ใช้สิทธิของตัวเองอย่างเต็มที่


เมื่อผู้นำอ่อนทักษะการทูต: ศึกชายแดนที่ไทยกลายเป็นฝ่ายพ่าย ทั้งที่ไม่ควรพ่ายเลย

บทนำ: เมื่อคลิปเสียงกลายเป็นดาบกลับมาฟันตัวเอง การสนทนาในคลิปเสียงความยาว 17 นาที ระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และสมเด็จฮุน ...