ถ้าคุณเป็นพนักงานบริษัทเอกชน ต้องจ่ายเงินสมทบประกันสังคมมาตรา 33 ทุกเดือน แต่พอเจ็บป่วยเบา ๆ หรืออยากใช้สิทธิกลับเจอเงื่อนไขจุกจิกที่จำกัดสิทธิ์อย่างรุนแรง นี่คือการวิพากษ์ระบบประกันสังคมที่ชูโรงเรื่องสวัสดิการ แต่ในทางปฏิบัติกลับกรองคนไข้จนแทบไม่ได้ใช้สิทธิเลยทีเดียว
1. ค่ารักษาพยาบาล (OPD & IPD): สิทธิครอบคลุม แต่เพดานจำกัดเฉพาะเอกชน
-
OPD (ผู้ป่วยนอก)
-
โรงพยาบาลรัฐและเอกชนในเครือข่าย สปส.: ให้บริการแบบ Cashless ไม่ต้องสำรองจ่าย ผู้ป่วยแสดงบัตรประกันสังคมได้ทันที
-
โรงพยาบาลเอกชนนอกเครือข่าย: ต้องสำรองจ่ายก่อน แล้วนำเอกสารไปเบิกคืนที่ สปส. (จำกัด 30 ครั้ง/ปี, ครั้งละไม่เกิน 1,000–2,000 บาท)
-
-
IPD (ผู้ป่วยใน)
-
โรงพยาบาลรัฐ: รักษาพยาบาลได้เต็มวงเงิน ไม่มีเพดานค่าห้องหรือค่ารักษา
-
โรงพยาบาลเอกชนในเครือข่าย สปส.: จำกัดค่าห้อง+ค่าอาหาร 700 บาท/วัน และค่ารักษา 2,000 บาท/วัน (รวมสูงสุด 2,700 บาท/วัน)
-
โรงพยาบาลเอกชนนอกเครือข่าย: ต้องสำรองจ่ายส่วนเกิน และดำเนินการเบิกคืนเอง
-
หมายเหตุ: เพดานค่าบริการ OPD/IPD จะใช้เฉพาะเมื่อไปโรงพยาบาลเอกชน ทั้งในและนอกเครือข่าย ส่วนโรงพยาบาลรัฐไม่มีเพดานนี้ ตามกฎหมายกำหนด
2. เงินทดแทนรายได้เมื่อหยุดงาน: สิทธิว่าดี แต่เงื่อนไขทำให้ไร้ค่า
-
สิทธิหลัก: ระบบสัญญาจะชดเชยรายได้ 50% ของค่าจ้างรายวัน หากหยุดงานตามใบรับรองแพทย์
-
เงื่อนไขจำกัด:
-
ต้องใช้วันลาป่วยจากนายจ้างครบ 30 วันต่อปี ก่อน
-
นายจ้างต้อง ไม่จ่ายค่าจ้าง ในช่วงวันหยุดเพิ่มเติม
-
ใบรับรองแพทย์ต้องระบุวันหยุดชัดเจน
-
จ่ายสูงสุด 90 วันต่อครั้ง และไม่เกิน 180 วันต่อปี (โรคเรื้อรังสูงสุด 365 วัน)
-
ผลลัพธ์จริง: แทบไม่มีใครหยุดงานยาว 30 วันติดต่อกัน สิทธิชดเชยจึงกลายเป็นแค่คำโฆษณา
3. ค่าคลอดและเงินสงเคราะห์บุตร: สิทธิดี แต่วาร์ปมาใช้ยาก
-
ค่าคลอด: เหมาจ่าย 13,000 บาท ต่อการคลอดหนึ่งครั้ง
-
เงินสงเคราะห์บุตร: เดือนละ 600–800 บาท ต่อบุตรอายุไม่เกิน 6 ขวบ ไม่เกิน 3 คน
-
เงื่อนไขหลัก:
-
ต้องส่งเงินสมทบอย่างน้อย 5–12 เดือน ในช่วง 15 เดือนก่อนคลอด ถึงจะเบิกค่าคลอดได้
-
ต้องส่งเงินสมทบ ครบ 12 เดือน เพื่อรับเงินสงเคราะห์บุตรต่อเนื่อง
-
ปัญหาใหญ่: พนักงานใหม่หรือคนกลับมาทำงานเพิ่งไม่นาน อาจไม่เข้าเกณฑ์ ต้องจ่ายค่าคลอดเองก่อนหลักหมื่น
4. บำนาญชราภาพ: เลือกรอ 15 ปี หรือได้คืนแค่ส่วนหนึ่ง
-
ต้องส่งเงินสมทบครบ 180 เดือน (15 ปี) จึงจะมีสิทธิรับ บำนาญชราภาพ เท่ากับ 20% ของค่าจ้างเฉลี่ยใน 60 เดือนสุดท้าย ตลอดชีวิต
-
หากลาออกหรือส่งสมทบไม่ครบ 180 เดือน จะไม่ได้รับบำนาญรายเดือน แต่จะได้รับเพียง บำเหน็จ (เงินคืนส่วนหนึ่งตามระยะเวลาที่ส่งสมทบ)
เปรียบเหมือน: ฝากเงินเข้าบัญชีไว้ 15 ปี ถึงจะถอนได้ทั้งหมด แต่หากถอนก่อน จะได้เพียงส่วนนิดตามเงื่อนไข
5. สรุปเปรียบเทียบ: มาตรา 33 vs บัตรทอง (UC) vs สิทธิข้าราชการ
ประเด็น | ม.33 (SSO) | บัตรทอง (UC) | ข้าราชการ |
---|---|---|---|
OPD | Cashless ในเครือข่าย30 ครั้ง/ปี, 1–2K ฿/ครั้ง (เอกชน) | ไม่จำกัดจำนวนครั้ง, จ่ายตามจริง | ไม่จำกัดจำนวนครั้ง, จ่ายตามจริง |
IPD | เพดาน 2,700 ฿/วัน (เอกชน) | ไม่มีเพดาน จ่ายตามจริง | ไม่มีเพดาน จ่ายตามจริง |
เงินทดแทนรายได้ | 50% ของค่าจ้างเมื่อหยุด >30 วันต่อปี | ไม่มีสิทธิชดเชยรายได้ | ไม่มีสิทธิ (ระบบข้าราชการดูแลเอง) |
ค่าคลอด | 13,000 ฿ ต่อครั้ง (เงื่อนไขสมทบ) | จ่ายตามจริง ไม่มีเพดาน, ฝากครรภ์ฟรี | จ่ายตามจริง ไม่มีเพดาน, ฝากครรภ์ฟรี |
เงินสงเคราะห์บุตร | 600–800 ฿/เดือน ต่อบุตร ≤ 6 ขวบ | ไม่มีสิทธิ (เข้าสู่ UC แล้ว) | มีเงินสงเคราะห์บุตรตามระเบียบราชการ |
บำนาญชราภาพ | 20% เมื่อครบ 180 เดือน | ไม่มีบำนาญ | บำเหน็จ–บำนาญตามอัตราข้าราชการ |
บทสรุปเชิงวิเคราะห์: เมื่อเปรียบเทียบชัดๆ จะเห็นว่า บัตรทองและสิทธิข้าราชการแจกสิทธิ์เต็มเม็ดเต็มหน่วยโดยไม่มีเงื่อนไขซับซ้อน แต่ประกันสังคมมาตรา 33 จำกัดสิทธิ์ทั้งจำนวนครั้ง เพดานวงเงิน และขั้นตอนซับซ้อน จนผู้ประกันตนแทบไม่ได้ใช้สิทธิของตัวเองอย่างเต็มที่