ผู้ที่ปฏิบัติธรรมในสายเถรวาท โดยเฉพาะสายหลวงพ่อเทียนหรือหลวงพ่อปราโมทย์ อาจเคยรู้สึกว่าการฝึกแบบตันตระในวัชรยานดูห่างไกล ลี้ลับ หรือเต็มไปด้วยพิธีกรรมที่เข้าไม่ถึง ทว่าเมื่อเราสืบค้นให้ลึกลงไปใน "โครงสร้างภายในของการภาวนา" จะพบว่า แนวทางงอนดโร (Ngöndro) ในวัชรยาน และการฝึก "รู้สึกตัวขณะเคลื่อนไหว" ในสายหลวงพ่อเทียน มีแก่นร่วมกันอย่างน่าทึ่ง
จุดร่วม: การวางอัตตาผ่านการกระทำซ้ำ ๆ อย่างรู้ตัว
Ngöndro หรือ "บทฝึกเบื้องต้นอันประเสริฐ" ของวัชรยาน ประกอบด้วยการกราบ การสวดมนต์ การภาวนา การถวายมณฑล และการหลอมรวมกับครูทางจิต ทั้งหมดนี้ทำซ้ำอย่างเข้มข้น โดยทั่วไปนับเป็นแสนครั้ง โดยมิใช่เพื่อสะสมบุญตามตัวเลข แต่เพื่อให้จิต “ถอนจากอัตตาผู้กระทำ” และค่อย ๆ เปลี่ยนเป็น “จิตที่รู้สภาพ” อย่างไม่เข้าไปแทรกแซง แม้จะดูภายนอกว่าเป็นพิธีกรรม แต่สาระสำคัญคือการละอัตตาผ่านรูปแบบที่ถูกใช้อย่างตั้งใจ
ขณะที่การปฏิบัติของหลวงพ่อเทียน ก็ใช้การเคลื่อนไหวเป็นจังหวะ เช่น ยกมือ หมุนมือ ดึงมือ ด้วยความรู้ตัวต่อเนื่อง จุดมุ่งหมายไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่ถูกต้องหรือช้าเร็ว แต่เพื่อให้จิตเห็นการปรุงแต่ง เห็นความอยากควบคุม เห็นความอยากบรรลุในขณะนั้นเอง และเรียนรู้ว่า "ผู้กระทำ" ก็เป็นเพียงปรากฏการณ์หนึ่ง ไม่ใช่ตัวตนถาวร
แม้สองแนวทางนี้จะต่างกันในพิธีกรรมและสัญลักษณ์ แต่เมื่อดูที่เนื้อใน จะพบว่า ทั้งคู่ใช้ “รูปแบบ” เพื่อนำไปสู่การปล่อยรูปแบบ โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานเดียวกันคือ “การรู้ตัว” และ “การไม่ยึดมั่นถือมั่นในการกระทำ”
การทำซ้ำไม่ใช่เพื่อความศักดิ์สิทธิ์ แต่เพื่อทำลายผู้ทำซ้ำ การรู้ตัวไม่ใช่เพื่อควบคุมสิ่งใด แต่เพื่อให้เห็นว่าไม่มีสิ่งใดควบคุมได้เลย
เมื่อการเคลื่อนไหวไม่ใช่แค่กาย แต่เป็นเครื่องสะท้อนจิต
สิ่งที่เหมือนกันอีกประการหนึ่งของแนวทาง Ngöndro และการเคลื่อนไหวแบบหลวงพ่อเทียน คือ ไม่ใช่ตัวการกระทำเองที่สำคัญ แต่คือเจตนาและการรู้เท่าทันขณะทำต่างหากที่เป็นหัวใจ
ใน Ngöndro การกราบ การภาวนา หรือการถวายมณฑล อาจดูเป็นการกระทำภายนอกที่มีพิธีรีตรอง ทว่าเมื่อทำด้วยการรู้ตัวแต่ละจังหวะ จิตจะเริ่มเห็นอัตตาที่แฝงอยู่ เช่น ความอยากให้ครบตามจำนวน ความอยากบรรลุ ความกลัวว่าทำไม่ดีพอ เหล่านี้เองคือวัตถุดิบให้เห็นจิตที่ปรุงแต่ง และเรียนรู้ที่จะวางมันลง
เช่นเดียวกัน การยกมือในแนวหลวงพ่อเทียน แม้ดูธรรมดา แต่หากทำด้วยความรู้ตัวอย่างสม่ำเสมอ จิตจะเห็นทุกจังหวะของการอยาก - ไม่อยาก, พอใจ - หงุดหงิด, ขยัน - เบื่อหน่าย เห็นความอยากให้ถูกต้อง เห็นความคาดหวัง และทั้งหมดนี้เองเป็นจุดที่อัตตาแฝงอยู่เบื้องหลังพฤติกรรมภายนอก
การเคลื่อนไหวจึงไม่ใช่แค่การเคลื่อนของร่างกาย แต่คือการกระเทาะชั้นในของจิตที่ยึดมั่นในความเป็นตัวตนผู้กระทำ
และเมื่อใดที่จิตเห็นความอยากให้ดี เห็นความรู้สึกอยากรู้เท่าทัน แล้ววางมันลงได้ — เมื่อนั้นเอง จิตจะเริ่มเป็นอิสระจาก “ผู้ควบคุม” และนั่นคือแก่นของการฝึกในทั้งสองสาย
จุดเปลี่ยน: เมื่อ “ผู้รู้” เองก็ไม่ใช่ของเที่ยง
ในผู้ฝึกที่ผ่านการรู้ทันอารมณ์มาระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะในสายเถรวาทหรือวัชรยาน มักมาถึงจุดที่จิตดูนิ่ง รู้ไว สงบ และมีสติในระดับหนึ่ง แต่กลับรู้สึกเหมือนติดค้างอยู่กับที่ ไม่ก้าวหน้าไปไหน จุดร่วมนี้มักอยู่ที่สิ่งเดียวคือ การยึด “ผู้รู้” โดยไม่รู้ตัว
สิ่งนี้คือกับดักขั้นกลางที่แนบเนียนที่สุด เพราะ “ผู้รู้” ดูเหมือนบริสุทธิ์ นิ่ง และมั่นคง จึงถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแก่นของการภาวนา ทั้งที่แท้จริงแล้ว ผู้รู้ก็เป็นเพียงอาการของจิตที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย และไม่ใช่ตัวตนที่แท้เลย
-
จิตอาจสงบแต่ลึก ๆ ยังมี “ฉันที่กำลังรู้” ซ่อนอยู่
-
เกิดความอยาก “รักษาไว้” ซึ่งผู้รู้นั้น → นั่นคืออัตตาในคราบธรรมะ
ทางแก้ไม่ใช่การหยุดรู้ แต่คือการรู้ทัน “ความรู้สึกว่ากำลังรู้” แล้วเห็นว่าผู้รู้ก็เปลี่ยนแปลง เกิดดับ ไม่ใช่ของเรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับ
ในจังหวะการกราบ (Ngöndro) หรือจังหวะมือ (หลวงพ่อเทียน) ผู้ฝึกสามารถย้อนกลับมารู้ว่า “ใครกำลังรู้” ได้เสมอ และเมื่อนั้น จิตจะเบา เหลือแต่ “การปรากฏ” โดยไม่มี “ผู้ปรากฏ”
เมื่อเห็นว่าแม้ผู้รู้ก็เป็นของไม่เที่ยง → จิตจะถอนจากผู้ควบคุมอย่างละเอียด และเมื่อไม่มีผู้ควบคุม จิตจะเหลือแต่ “ความเป็นธรรมชาติ” ที่บริสุทธิ์โดยไม่ต้องมีใครรู้
ความว่างที่ไม่ต้องสร้าง: สุญญตาในประสบการณ์ตรง
แนวคิดเรื่องสุญญตา (ความว่าง) ในวัชรยานอาจดูซับซ้อนและนามธรรมสำหรับผู้ที่คุ้นชินกับการภาวนาแบบตรงไปตรงมาในเถรวาท แต่แท้จริงแล้ว สุญญตาในวัชรยาน ไม่ใช่การคิดว่าทุกอย่างไม่มีอะไร หรือการปฏิเสธโลก หากแต่คือ การเข้าถึงภาวะที่จิตไม่มีใครอยู่เบื้องหลัง ไม่มีผู้กระทำ ผู้รู้ หรือแม้แต่ผู้ปล่อยวาง
ในการฝึก Ngöndro หากทำไปด้วยสติและความเข้าใจ ผู้ปฏิบัติจะเริ่มรู้สึกได้ว่า รูปแบบทั้งหลาย — ไม่ว่าจะเป็นการกราบ การสวดมนต์ หรือการถวายมณฑล — ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเอง ดับไปเอง โดยไม่ต้องมี “ใคร” ทำอะไร ทั้งหมดคือ “ธรรมชาติดำเนินไป”
เช่นเดียวกับในแนวทางหลวงพ่อเทียน การเคลื่อนไหวของมือ ข้อมือ แขน เป็นเพียงเหตุปัจจัยที่แสดงออกของธรรมะ เมื่อไม่มีการเข้าไปยึดในสิ่งใด แม้แต่ในผู้รู้ จิตจะ “เหลืออยู่” อย่างว่าง — ว่างจากอัตตา ว่างจากความพยายาม ว่างจากความหมายใด ๆ
สุญญตาที่แท้ จึงไม่ใช่สิ่งที่ต้องสร้างขึ้นใหม่ แต่คือสิ่งที่ “ปรากฏเอง” เมื่อสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมชาติ ถูกปล่อยออกไปหมดแล้ว
ในจังหวะที่ไม่มีผู้รู้ จิตจะไม่แสวงหา ไม่ปฏิเสธ และไม่เหลือความหมายใดให้ยึดถือ นั่นคือความว่างที่สัมผัสได้โดยตรง โดยไม่ต้องใช้คำใดมาอธิบาย
ความว่างจึงไม่ใช่จุดหมายปลายทาง แต่คือสภาวะที่เปิดเผยตัวเองเมื่อเราไม่อยู่ที่นั่นอีกแล้ว
บทสรุป: รูปแบบต่าง วัฒนธรรมต่าง แต่ธรรมะหนึ่งเดียว
เมื่อมองย้อนกลับไปจากประสบการณ์ตรงในการฝึก ไม่ว่าจะเป็นทางสายหลวงพ่อเทียนในเถรวาท หรือเส้นทาง Ngöndro ในวัชรยาน สิ่งที่ปรากฏเด่นชัดที่สุดคือ ธรรมะไม่ขึ้นกับรูปแบบ และไม่ขึ้นกับวัฒนธรรมหรือพิธีกรรมใด ๆ เลย หากแต่อยู่ที่ “เจตนาภายใน” และ “การวางสิ่งปรุงแต่งในจิต” เป็นหลัก
-
เราอาจกราบหนึ่งแสนครั้ง หรือแค่ยกมือช้า ๆ หนึ่งจังหวะ
-
เราอาจสวดมนต์ยาวหลายบท หรือเพียงเห็นจิตคิดแล้วรู้ทัน
ถ้าภายในเราเห็นอัตตาที่แฝงอยู่ และรู้เท่าทันจนวางลงได้ — ทั้งหมดนี้คือการปฏิบัติธรรมเช่นเดียวกัน ไม่มีสายใดสูงหรือต่ำกว่า มีเพียงจิตที่ค่อย ๆ สะอาดขึ้น ว่างลง และเบาอย่างไม่ปรุงแต่ง
แก่นของการภาวนา ไม่ได้อยู่ที่ว่าใช้ภาษาทิเบตหรือไทย ใช้เทพหรือไม่ใช้เทพ แต่คือการเดินให้ลึกพอจนไม่มี “ผู้เดิน” เหลืออยู่ในจิตอีกต่อไป
ธรรมะจึงไม่มีสัญชาติ ไม่มีสำนัก ไม่มีความลับซ่อนเร้น — หากมีเพียงความจริงที่เปิดเผยตรงหน้า รอให้จิตที่เบาพอจะเข้าถึงได้
และเมื่อถึงตรงนั้น... ทุกเส้นทางก็หายไป เหลือเพียงความรู้สึกเดียวว่า
“ธรรมะอยู่ตรงนี้มาตลอด เพียงแต่เราเพิ่งหยุดหา”