ในสังคมไทย เราเห็นข่าวคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่บ่อยมาก — ตั้งแต่หลอกขายทอง หลอกลงทุน ไปจนถึงแชร์ลูกโซ่และการตลาดแบบตรงที่ไม่มีใบอนุญาต เหยื่อจำนวนมากสูญเงินไปทีละเล็กทีละน้อย บางรายหมดเงินเก็บชีวิต แต่สุดท้ายจำเลยกลับ "รอลงอาญา" ไม่ต้องติดคุกจริง ทั้งที่โทษรวมอาจสูงถึงยี่สิบปีหรือมากกว่า แล้วเหตุใดระบบกฎหมายไทยจึงเปิดช่องให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง และประชาชนจำนวนมากรู้สึกว่า “มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”
บทความนี้จะพาไล่เรียงอย่างเป็นลำดับ ตั้งแต่โครงสร้างของกฎหมายที่ใช้พิจารณาคดีฉ้อโกง ช่องโหว่ของระบบที่เปิดทางให้คนโกงพ้นเรือนจำได้โดยถูกต้อง ไปจนถึงแนวทางของต่างประเทศที่ใช้จำกัดการหลอกลวงเชิงระบบ เพื่อให้เห็นชัดว่าหากจะปฏิรูป เราต้องเริ่มตรงไหนบ้าง
1. ทำไมคดีฉ้อโกงใหญ่ ๆ ยังรอลงอาญาได้
ระบบกฎหมายไทยพิจารณาโทษตามหลัก “รายกระทง” หมายความว่า ถ้ามีผู้เสียหาย 100 คน ก็จะถูกนับเป็น 100 กระทงแยกกันไป ไม่ได้มองเป็นคดีเดียวที่มีผลรวมมหาศาล แต่ละกระทงมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หากศาลเห็นว่าจำเลยสำนึกผิด คืนเงิน และไม่น่าจะกระทำผิดอีก ก็สามารถสั่ง "รอการลงโทษจำคุก" ได้ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56
ดังนั้น แม้รวมกันแล้วจะมีโทษเท่ากับ 20 ปีหรือมากกว่า แต่เพราะแต่ละกระทงโทษไม่เกิน 3 ปี ศาลจึงมีอำนาจรอการลงโทษได้ทุกกระทง ผลคือรวมกันแล้วกลายเป็น “รอลงอาญา 5 ปี” ทั้งที่โทษรวมถือว่าสูงมากในเชิงตัวเลข
ปัจจัยที่ศาลมักใช้พิจารณาเพื่อบรรเทาโทษ ได้แก่:
-
จำเลยให้การรับสารภาพในทุกข้อหา
-
มีการคืนเงินหรือเยียวยาผู้เสียหายเกือบครบถ้วน
-
ไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมมาก่อน
-
ถูกคุมขังระหว่างสอบสวนมาแล้วระยะหนึ่ง
ในเชิงกฎหมาย ศาลมองว่าจำเลยสำนึกผิดและพยายามบรรเทาความเสียหาย แต่ในสายตาประชาชน มันกลับกลายเป็นภาพของ “คนรวยคืนเงินได้ ก็รอด ส่วนคนจนทำไม่ได้ ก็ต้องติดคุกจริง”
2. ทำไมสังคมถึงมองว่ามันไม่แฟร์
เพราะในความเป็นจริง “จำนวนเหยื่อ” และ “มูลค่าความเสียหายรวม” มันสะท้อนถึงเจตนาที่ร้ายแรง แต่กฎหมายกลับนับแยกเป็นหลายกระทงเล็ก ๆ จึงยังสามารถรอการลงโทษได้แม้จะมีผลกระทบกว้างขวางมาก
ลองเปรียบเทียบให้เห็นชัด:
โกงคน 1,000 คน คนละ 500 บาท = รวม 500,000 บาท → ศาลอาจให้รอลงอาญาได้
โกงคนเดียว 500,000 บาท → มีโอกาสติดคุกจริง เพราะเป็นความเสียหายต่อรายสูง
ระบบกลับหัวกลับหาง เพราะกฎหมายไทยยังวัดความร้ายแรงจาก “ต่อคน” ไม่ใช่ “ต่อสังคม” จึงทำให้คนที่โกงบ่อย ๆ ทีละน้อย กลับปลอดภัยกว่าคนที่โกงหนักเพียงครั้งเดียว
3. ความต่างระหว่าง “กฎหมาย” กับ “ความยุติธรรม”
ศาลมักยึดหลักว่า “การให้โอกาสกลับตัว” เป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการยุติธรรม แต่ประชาชนจำนวนมากกลับมองว่า “ความยุติธรรม” คือ “ความเท่าเทียมของผลลัพธ์” ไม่ใช่แค่ขั้นตอนที่ถูกต้องทางกฎหมาย
กฎหมายมองว่า: ลงโทษตามกรอบ และเปิดโอกาสให้ผู้ผิดกลับตัวได้
สังคมมองว่า: ผู้กระทำต้องชดใช้ และรับโทษตามขนาดของผลที่สร้างไว้
เมื่อศาลให้รอลงอาญาในคดีที่สร้างผลกระทบวงกว้างต่อผู้คนนับพัน มันจึงกลายเป็นสัญญาณที่อันตรายว่า “โกงได้ แค่รู้จักคืน” และยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ว่า ความยุติธรรมไทยเป็นของคนที่มีทางออกมากกว่าคนที่จนหรือไม่มีเสียงในสังคม
4. แล้วต่างประเทศเขาทำอย่างไรให้ไม่หลุดง่าย
ในประเทศที่ระบบยุติธรรมเข้มแข็ง เช่น สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือบางประเทศในยุโรป — เขาแยกประเภทของคดีฉ้อโกงออกจากกันอย่างชัดเจน และเพิ่มโทษสำหรับ “การหลอกลวงที่มีลักษณะเป็นระบบ”
-
ถ้ามีลักษณะเป็นระบบ หรือมีเหยื่อจำนวนมาก จะถูกจัดเป็นคดี organized fraud หรือ systematic deception โทษจะสูงขึ้นหลายเท่า
-
ไม่สามารถรอลงอาญาได้ แม้แต่ละรายเสียหายไม่มาก แต่เมื่อผลรวมกระทบต่อสังคมสูง ศาลจะถือว่าเป็นภัยสาธารณะ
-
นับเป็นคดีเดียว ไม่แยกกระทงย่อย เพราะถือว่าเป็นการกระทำเดียวต่อสาธารณะ
-
มีโทษเสริม เช่น ยึดทรัพย์ ห้ามประกอบธุรกิจ หรือเปิดเผยชื่อในฐานข้อมูลสาธารณะ เพื่อป้องกันการกลับมาทำซ้ำ
ตัวอย่างจริง:
-
สิงคโปร์ มี Guidelines for Scams‑Related Offences ที่ห้ามศาลลดโทษในกรณีที่จำเลยมีบทบาทหลักหรือเหยื่อจำนวนมาก
-
ญี่ปุ่น มีทะเบียน “ผู้กระทำผิดฉ้อโกง” (Fraud Offenders Registry) ที่เปิดเผยต่อสาธารณะให้ตรวจสอบได้
-
อังกฤษ มีระบบ Class Action ให้ผู้เสียหายรวมตัวฟ้องร่วม ทำให้คดีเล็ก ๆ รวมกันเป็นคดีใหญ่โดยอัตโนมัติ ศาลจะเห็นภาพรวมของความเสียหายชัดเจน
ในประเทศเหล่านี้ “ความเสียหายรวม” ถูกใช้เป็นเกณฑ์ชี้ขาด ไม่ใช่จำนวนกระทงเล็ก ๆ อย่างในไทย
5. โมเดลที่ไทยควรปรับ เพื่อปิดช่อง “โกงคืนแล้วรอด”
1. เพิ่มหมวด “ฉ้อโกงมวลชน”
กำหนดให้เป็นความผิดระดับสาธารณะ มีโทษสูงกว่าฉ้อโกงประชาชน และไม่สามารถรอลงอาญาได้ โดยศาลต้องพิจารณาผลกระทบต่อระบบสังคมและเศรษฐกิจ ไม่ใช่แค่ต่อราย
2. แก้เกณฑ์รอลงอาญา
กำหนดข้อจำกัดเพิ่มเติม เช่น ห้ามรอในคดีที่มีเหยื่อเกิน 50 ราย หรือความเสียหายรวมเกิน 5 ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับหลักความเสียหายรวม ไม่ใช่ต่อราย
3. เพิ่มโทษเสริม
-
ยึดทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำผิดทั้งหมด
-
ห้ามประกอบธุรกิจหรือดำรงตำแหน่งผู้บริหารในระยะเวลาหนึ่ง
-
เปิดเผยชื่อจำเลยในทะเบียนสาธารณะเพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้
-
บังคับให้เข้ารับการอบรมฟื้นฟูจิตสำนึก และทำงานบริการสังคมในลักษณะที่เกี่ยวกับผู้เสียหาย
4. เปิดทางให้ฟ้องแบบกลุ่ม (Class Action)
ให้ผู้เสียหายรายเล็ก ๆ รวมตัวกันฟ้องในคดีเดียวกัน ศาลจะเห็นภาพรวมของความเสียหาย และเพิ่มแรงกดดันทางสังคมต่อผู้กระทำผิด
6. บทสรุป: ถึงเวลาปรับความคิดเรื่อง “ความยุติธรรม” ใหม่ทั้งระบบ
กฎหมายไทยในปัจจุบันยังมอง “คดีฉ้อโกง” เป็นเรื่องของบุคคลต่อบุคคล ไม่ใช่เรื่องของส่วนรวม ทั้งที่ในความเป็นจริง คดีแบบนี้คือการทำลายความเชื่อมั่นของสังคมต่อระบบเศรษฐกิจ ความซื่อสัตย์ และศีลธรรมของประเทศโดยตรง
การคืนเงินไม่ใช่การลบความผิด แต่เป็นเพียงการเยียวยาผลลัพธ์ของมัน
การสำนึกผิดไม่ควรแลกได้ด้วยอิสรภาพ แต่ควรแสดงออกผ่านการรับโทษและการชดใช้ต่อสังคมอย่างแท้จริง
หากประเทศไทยต้องการสร้างสังคมที่โปร่งใสและเชื่อถือได้จริง กฎหมายต้องไม่ใช่แค่เครื่องมือของผู้มีฐานะในการหาทางรอด แต่ต้องเป็นเกราะปกป้องคนตัวเล็กที่ถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยไม่มีที่พึ่ง ถึงเวลาแล้วที่เราควรผลักดันให้ “โกงได้แค่รู้จักคืน” กลายเป็นเรื่องที่สังคมไม่ยอมรับอีกต่อไป — และให้กฎหมายไทยกลายเป็นเครื่องมือคืนศักดิ์ศรีให้ความยุติธรรมอย่างแท้จริง.