วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2568

โกงแล้วไม่ติดคุก? ช่องโหว่ของกฎหมายไทยที่เปิดทางให้คนโกง "รอดแบบถูกต้อง"

ในสังคมไทย เราเห็นข่าวคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่บ่อยมาก — ตั้งแต่หลอกขายทอง หลอกลงทุน ไปจนถึงแชร์ลูกโซ่และการตลาดแบบตรงที่ไม่มีใบอนุญาต เหยื่อจำนวนมากสูญเงินไปทีละเล็กทีละน้อย บางรายหมดเงินเก็บชีวิต แต่สุดท้ายจำเลยกลับ "รอลงอาญา" ไม่ต้องติดคุกจริง ทั้งที่โทษรวมอาจสูงถึงยี่สิบปีหรือมากกว่า แล้วเหตุใดระบบกฎหมายไทยจึงเปิดช่องให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง และประชาชนจำนวนมากรู้สึกว่า “มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”

บทความนี้จะพาไล่เรียงอย่างเป็นลำดับ ตั้งแต่โครงสร้างของกฎหมายที่ใช้พิจารณาคดีฉ้อโกง ช่องโหว่ของระบบที่เปิดทางให้คนโกงพ้นเรือนจำได้โดยถูกต้อง ไปจนถึงแนวทางของต่างประเทศที่ใช้จำกัดการหลอกลวงเชิงระบบ เพื่อให้เห็นชัดว่าหากจะปฏิรูป เราต้องเริ่มตรงไหนบ้าง


1. ทำไมคดีฉ้อโกงใหญ่ ๆ ยังรอลงอาญาได้

ระบบกฎหมายไทยพิจารณาโทษตามหลัก “รายกระทง” หมายความว่า ถ้ามีผู้เสียหาย 100 คน ก็จะถูกนับเป็น 100 กระทงแยกกันไป ไม่ได้มองเป็นคดีเดียวที่มีผลรวมมหาศาล แต่ละกระทงมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หากศาลเห็นว่าจำเลยสำนึกผิด คืนเงิน และไม่น่าจะกระทำผิดอีก ก็สามารถสั่ง "รอการลงโทษจำคุก" ได้ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56

ดังนั้น แม้รวมกันแล้วจะมีโทษเท่ากับ 20 ปีหรือมากกว่า แต่เพราะแต่ละกระทงโทษไม่เกิน 3 ปี ศาลจึงมีอำนาจรอการลงโทษได้ทุกกระทง ผลคือรวมกันแล้วกลายเป็น “รอลงอาญา 5 ปี” ทั้งที่โทษรวมถือว่าสูงมากในเชิงตัวเลข

ปัจจัยที่ศาลมักใช้พิจารณาเพื่อบรรเทาโทษ ได้แก่:

  • จำเลยให้การรับสารภาพในทุกข้อหา

  • มีการคืนเงินหรือเยียวยาผู้เสียหายเกือบครบถ้วน

  • ไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมมาก่อน

  • ถูกคุมขังระหว่างสอบสวนมาแล้วระยะหนึ่ง

ในเชิงกฎหมาย ศาลมองว่าจำเลยสำนึกผิดและพยายามบรรเทาความเสียหาย แต่ในสายตาประชาชน มันกลับกลายเป็นภาพของ “คนรวยคืนเงินได้ ก็รอด ส่วนคนจนทำไม่ได้ ก็ต้องติดคุกจริง”


2. ทำไมสังคมถึงมองว่ามันไม่แฟร์

เพราะในความเป็นจริง “จำนวนเหยื่อ” และ “มูลค่าความเสียหายรวม” มันสะท้อนถึงเจตนาที่ร้ายแรง แต่กฎหมายกลับนับแยกเป็นหลายกระทงเล็ก ๆ จึงยังสามารถรอการลงโทษได้แม้จะมีผลกระทบกว้างขวางมาก

ลองเปรียบเทียบให้เห็นชัด:

โกงคน 1,000 คน คนละ 500 บาท = รวม 500,000 บาท → ศาลอาจให้รอลงอาญาได้

โกงคนเดียว 500,000 บาท → มีโอกาสติดคุกจริง เพราะเป็นความเสียหายต่อรายสูง

ระบบกลับหัวกลับหาง เพราะกฎหมายไทยยังวัดความร้ายแรงจาก “ต่อคน” ไม่ใช่ “ต่อสังคม” จึงทำให้คนที่โกงบ่อย ๆ ทีละน้อย กลับปลอดภัยกว่าคนที่โกงหนักเพียงครั้งเดียว


3. ความต่างระหว่าง “กฎหมาย” กับ “ความยุติธรรม”

ศาลมักยึดหลักว่า “การให้โอกาสกลับตัว” เป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการยุติธรรม แต่ประชาชนจำนวนมากกลับมองว่า “ความยุติธรรม” คือ “ความเท่าเทียมของผลลัพธ์” ไม่ใช่แค่ขั้นตอนที่ถูกต้องทางกฎหมาย

กฎหมายมองว่า: ลงโทษตามกรอบ และเปิดโอกาสให้ผู้ผิดกลับตัวได้

สังคมมองว่า: ผู้กระทำต้องชดใช้ และรับโทษตามขนาดของผลที่สร้างไว้

เมื่อศาลให้รอลงอาญาในคดีที่สร้างผลกระทบวงกว้างต่อผู้คนนับพัน มันจึงกลายเป็นสัญญาณที่อันตรายว่า “โกงได้ แค่รู้จักคืน” และยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ว่า ความยุติธรรมไทยเป็นของคนที่มีทางออกมากกว่าคนที่จนหรือไม่มีเสียงในสังคม


4. แล้วต่างประเทศเขาทำอย่างไรให้ไม่หลุดง่าย

ในประเทศที่ระบบยุติธรรมเข้มแข็ง เช่น สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือบางประเทศในยุโรป — เขาแยกประเภทของคดีฉ้อโกงออกจากกันอย่างชัดเจน และเพิ่มโทษสำหรับ “การหลอกลวงที่มีลักษณะเป็นระบบ”

  1. ถ้ามีลักษณะเป็นระบบ หรือมีเหยื่อจำนวนมาก จะถูกจัดเป็นคดี organized fraud หรือ systematic deception โทษจะสูงขึ้นหลายเท่า

  2. ไม่สามารถรอลงอาญาได้ แม้แต่ละรายเสียหายไม่มาก แต่เมื่อผลรวมกระทบต่อสังคมสูง ศาลจะถือว่าเป็นภัยสาธารณะ

  3. นับเป็นคดีเดียว ไม่แยกกระทงย่อย เพราะถือว่าเป็นการกระทำเดียวต่อสาธารณะ

  4. มีโทษเสริม เช่น ยึดทรัพย์ ห้ามประกอบธุรกิจ หรือเปิดเผยชื่อในฐานข้อมูลสาธารณะ เพื่อป้องกันการกลับมาทำซ้ำ

ตัวอย่างจริง:

  • สิงคโปร์ มี Guidelines for Scams‑Related Offences ที่ห้ามศาลลดโทษในกรณีที่จำเลยมีบทบาทหลักหรือเหยื่อจำนวนมาก

  • ญี่ปุ่น มีทะเบียน “ผู้กระทำผิดฉ้อโกง” (Fraud Offenders Registry) ที่เปิดเผยต่อสาธารณะให้ตรวจสอบได้

  • อังกฤษ มีระบบ Class Action ให้ผู้เสียหายรวมตัวฟ้องร่วม ทำให้คดีเล็ก ๆ รวมกันเป็นคดีใหญ่โดยอัตโนมัติ ศาลจะเห็นภาพรวมของความเสียหายชัดเจน

ในประเทศเหล่านี้ “ความเสียหายรวม” ถูกใช้เป็นเกณฑ์ชี้ขาด ไม่ใช่จำนวนกระทงเล็ก ๆ อย่างในไทย


5. โมเดลที่ไทยควรปรับ เพื่อปิดช่อง “โกงคืนแล้วรอด”

1. เพิ่มหมวด “ฉ้อโกงมวลชน”
กำหนดให้เป็นความผิดระดับสาธารณะ มีโทษสูงกว่าฉ้อโกงประชาชน และไม่สามารถรอลงอาญาได้ โดยศาลต้องพิจารณาผลกระทบต่อระบบสังคมและเศรษฐกิจ ไม่ใช่แค่ต่อราย

2. แก้เกณฑ์รอลงอาญา
กำหนดข้อจำกัดเพิ่มเติม เช่น ห้ามรอในคดีที่มีเหยื่อเกิน 50 ราย หรือความเสียหายรวมเกิน 5 ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับหลักความเสียหายรวม ไม่ใช่ต่อราย

3. เพิ่มโทษเสริม

  • ยึดทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำผิดทั้งหมด

  • ห้ามประกอบธุรกิจหรือดำรงตำแหน่งผู้บริหารในระยะเวลาหนึ่ง

  • เปิดเผยชื่อจำเลยในทะเบียนสาธารณะเพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้

  • บังคับให้เข้ารับการอบรมฟื้นฟูจิตสำนึก และทำงานบริการสังคมในลักษณะที่เกี่ยวกับผู้เสียหาย

4. เปิดทางให้ฟ้องแบบกลุ่ม (Class Action)
ให้ผู้เสียหายรายเล็ก ๆ รวมตัวกันฟ้องในคดีเดียวกัน ศาลจะเห็นภาพรวมของความเสียหาย และเพิ่มแรงกดดันทางสังคมต่อผู้กระทำผิด


6. บทสรุป: ถึงเวลาปรับความคิดเรื่อง “ความยุติธรรม” ใหม่ทั้งระบบ

กฎหมายไทยในปัจจุบันยังมอง “คดีฉ้อโกง” เป็นเรื่องของบุคคลต่อบุคคล ไม่ใช่เรื่องของส่วนรวม ทั้งที่ในความเป็นจริง คดีแบบนี้คือการทำลายความเชื่อมั่นของสังคมต่อระบบเศรษฐกิจ ความซื่อสัตย์ และศีลธรรมของประเทศโดยตรง

การคืนเงินไม่ใช่การลบความผิด แต่เป็นเพียงการเยียวยาผลลัพธ์ของมัน

การสำนึกผิดไม่ควรแลกได้ด้วยอิสรภาพ แต่ควรแสดงออกผ่านการรับโทษและการชดใช้ต่อสังคมอย่างแท้จริง

หากประเทศไทยต้องการสร้างสังคมที่โปร่งใสและเชื่อถือได้จริง กฎหมายต้องไม่ใช่แค่เครื่องมือของผู้มีฐานะในการหาทางรอด แต่ต้องเป็นเกราะปกป้องคนตัวเล็กที่ถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยไม่มีที่พึ่ง ถึงเวลาแล้วที่เราควรผลักดันให้ “โกงได้แค่รู้จักคืน” กลายเป็นเรื่องที่สังคมไม่ยอมรับอีกต่อไป — และให้กฎหมายไทยกลายเป็นเครื่องมือคืนศักดิ์ศรีให้ความยุติธรรมอย่างแท้จริง.

“ไรเดอร์ไม่ใช่ลูกค้า?” — เมื่อการดูถูกแรงงานเริ่มจากความเข้าใจผิด

โพสต์หนึ่งในโลกออนไลน์เพิ่งกลายเป็นเวทีถกเถียงใหญ่ — เมื่อมีคนแสดงความเห็นว่า “ไรเดอร์คือตัวแทนลูกค้า มีสิทธิ์นั่งรอเหมือนลูกค้าทั่วไป” ...