วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

สัญชาตญาณแห่งการบูลลี่: เมื่อการลงโทษไร้พลัง และสังคมละเลยผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ

เด็กบางคนชอบกลั่นแกล้งเพื่อน เด็กบางคนถูกกลั่นแกล้งจนไม่อยากไปโรงเรียน ครูบางคนเพิกเฉย พ่อแม่บางคนเลือกที่จะปกป้องโดยไม่มองพฤติกรรมที่แท้จริง และเมื่อสถานการณ์บานปลาย เรามักพูดว่า "น่าเห็นใจ" แล้วปล่อยผ่าน

แต่การกลั่นแกล้งไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย หากแต่มันคือกลไกทางสังคมที่ฝังรากลึกในสัญชาตญาณของมนุษย์ และยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้จะมีความพยายามในการแก้ไขปัญหานี้อย่างต่อเนื่อง แต่หลายครั้งกลับพบว่า...ยิ่งห้ามกลับยิ่งทวีความรุนแรง

ในบทความนี้ เราจะพาผู้อ่านย้อนกลับไปยังรากของพฤติกรรมมนุษย์ เพื่อเข้าใจว่าทำไมการกลั่นแกล้งจึงเกิดขึ้นง่ายและฝังลึก จากนั้นจะสำรวจถึงข้อจำกัดของระบบการลงโทษในปัจจุบัน พร้อมทั้งนำเสนอตัวอย่างจากต่างประเทศที่สามารถจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมตั้งคำถามปลายเปิดให้สังคมไทยได้พิจารณาร่วมกัน


1. สัญชาตญาณการกลั่นแกล้ง: เงามืดแห่งวิวัฒนาการ

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม การรวมกลุ่มช่วยให้เราอยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย แต่การอยู่ร่วมกันในกลุ่มใหญ่ก็จำเป็นต้องมีการจัดลำดับ ใครที่แตกต่าง อ่อนแอ หรือไม่สอดคล้องกับคนหมู่มาก มักจะถูกผลักออกโดยอัตโนมัติ ซึ่งกลไกนี้เองเป็นพื้นฐานของพฤติกรรมการกลั่นแกล้งในปัจจุบัน

ในอดีต การกีดกันคนที่แตกต่างอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อกลุ่ม แต่ในยุคปัจจุบันที่สังคมซับซ้อนขึ้น พฤติกรรมนี้กลับกลายเป็นเครื่องมือในการทำร้ายผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร


2. การกลั่นแกล้ง: กลไกของผู้ที่ขาดความมั่นคงทางอารมณ์

ผู้ที่กลั่นแกล้งผู้อื่นหลายคน มักเคยเผชิญความเจ็บปวดหรือรู้สึกด้อยค่ามาก่อน การกระทำต่อผู้อื่นอย่างรุนแรงจึงกลายเป็นวิธีชดเชยความรู้สึกภายในของตนเอง เป็นการสร้างความรู้สึกเหนือกว่าชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับปมในใจ

สภาพแวดล้อมที่ขาดความอบอุ่น การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม หรือการเผชิญกับความรุนแรงในชีวิตประจำวัน ล้วนเพิ่มความเสี่ยงให้เด็กกลายเป็นผู้กระทำ ซึ่งหากไม่มีใครหยิบยื่นโอกาสในการเปลี่ยนแปลง พวกเขาก็อาจวนเวียนอยู่ในวัฏจักรแห่งความรุนแรงต่อไป


3. เหตุใดระบบการลงโทษจึงไม่สามารถจัดการปัญหาได้

ระบบการลงโทษในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย มักถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ โดยเฉพาะเมื่อไม่สามารถทำให้ผู้กระทำรู้สึกถึงผลลัพธ์ของการกระทำได้อย่างแท้จริง

  • มีการห้ามใช้ความรุนแรงทางร่างกาย แต่ไม่มีทางเลือกอื่นที่ได้ผลมาทดแทน

  • โรงเรียนไม่กล้าลงโทษรุนแรง เพราะเกรงผลกระทบต่อภาพลักษณ์

  • กฎหมายไม่เปิดช่องให้เด็กซ้ำชั้นแม้มีพฤติกรรมเสี่ยง

  • ขาดผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมเด็กที่สามารถดูแลอย่างใกล้ชิด

ในที่สุด เด็กที่มีพฤติกรรมรุนแรงก็ยังคงกระทำต่อไป โดยไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้อย่างแท้จริง ขณะที่เด็กคนอื่นในชั้นเรียนต้องใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย


4. เมื่อบทลงโทษไม่มีผลลัพธ์ เด็กก็เรียนรู้ว่า "ทำอะไรก็ได้"

เด็กเรียนรู้จากผลของการกระทำมากกว่าคำพูด หากทำผิดแล้วไม่มีผลลัพธ์ที่จับต้องได้ หรือได้รับเพียงคำเตือนเบา ๆ พวกเขาจะซึมซับว่า "สิ่งนี้ไม่ผิด" หรือ "ไม่มีใครทำอะไรได้"

พฤติกรรมนี้จึงทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อถึงจุดหนึ่งที่เกินควบคุม ก็อาจกลายเป็นภัยต่อสังคมในวงกว้าง


5. แนวทางจากต่างประเทศที่สามารถจัดการปัญหาได้

  • ฟินแลนด์: ใช้ระบบสนับสนุนแบบสหวิชาชีพ ครู นักจิตวิทยา และผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ เด็กที่มีพฤติกรรมเสี่ยงจะได้รับการดูแลเป็นรายกรณี โดยเน้นการป้องกันมากกว่ารอให้เกิดปัญหา

  • สิงคโปร์: มีระบบวินัยที่เข้มงวด เด็กที่กระทำผิดจะได้รับผลลัพธ์ที่ชัดเจน เช่น ตัดสิทธิ์สอบ พักการเรียน หรือในบางกรณีมีการใช้บทลงโทษทางร่างกายที่อยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย พร้อมกับการส่งต่อไปยังโรงเรียนเฉพาะทางเพื่อฟื้นฟูพฤติกรรม

  • ญี่ปุ่น: ใช้วัฒนธรรมแห่งความรับผิดชอบและการขอโทษ เด็กต้องเผชิญกับการสะท้อนความผิดในที่สาธารณะซึ่งส่งผลกระทบต่อจิตใจอย่างมาก ความอับอายกลายเป็นกลไกสำคัญในการควบคุมพฤติกรรม

  • สวีเดน: มุ่งเน้นการสร้างทักษะทางอารมณ์ เช่น ความเห็นอกเห็นใจ การควบคุมอารมณ์ และการสื่อสารเชิงสร้างสรรค์ ผ่านโปรแกรมที่ฝังอยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ


6. ประเทศไทยยังขาดอะไร?

  • ขาดอำนาจและเครื่องมือที่เพียงพอให้ครูรับมือกับพฤติกรรมรุนแรง

  • ขาดโรงเรียนหรือศูนย์เฉพาะทางสำหรับเด็กที่ต้องการการดูแลพิเศษ

  • ขาดผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมเด็กในโรงเรียนทั่วประเทศ

  • ขาดระบบติดตามพฤติกรรมเด็กที่เป็นมาตรฐาน และสามารถใช้งานร่วมกันระหว่างโรงเรียน

  • ขาดฐานข้อมูลพฤติกรรมที่ช่วยให้ครูสามารถวางแผนดูแลเด็กได้อย่างต่อเนื่อง

สถานศึกษาหลายแห่งจึงกลายเป็นพื้นที่ที่ครูต้องรับมือกับปัญหาลำพัง โดยไม่สามารถพึ่งพาระบบหรือความร่วมมือจากภายนอกได้อย่างเต็มที่


7. คำถามปลายเปิด: เราจะทำอย่างไร เมื่อการนิ่งเฉยส่งผลร้ายมากกว่าการเผชิญหน้า

หากเรายังคงหลีกเลี่ยงการจัดการกับพฤติกรรมที่รุนแรง หากเรายังปล่อยให้พ่อแม่ให้ท้ายลูกโดยไม่ใคร่ครวญ หากเรายังให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์มากกว่าความปลอดภัยของเด็กส่วนใหญ่

คำถามคือ เรากำลังสร้างโรงเรียนเพื่ออะไร?

เพื่อให้เด็กมีพื้นที่ในการเติบโต หรือเพียงเพื่อให้เด็กที่มีปัญหาได้อยู่รอดไปวัน ๆ?

หากเราไม่กล้าจัดการกับต้นเหตุ ไม่กล้าแยกพฤติกรรมที่ทำร้ายผู้อื่นออกจากระบบ แล้วเราจะสามารถปกป้องเด็กที่ตั้งใจเรียน และต้องการอนาคตที่ดีได้อย่างไร?

หากเราไม่กล้ายอมรับความจริงในวันนี้ สังคมอาจต้องจ่ายราคาที่หนักยิ่งกว่าในวันหน้า

รัฐที่เกิดจาก 'ความเป็นเหยื่อ' และการผลิตซ้ำอำนาจผ่านการกดขี่ – กรณีศึกษาจาก 10 ประเทศ

ในบริบทของรัฐศาสตร์สมัยใหม่ การก่อตัวของรัฐชาติไม่เพียงเป็นผลลัพธ์ของเจตจำนงร่วมทางอุดมการณ์หรือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่ยังมีมิติที่ลึกซึ้ง...