ในโลกที่เคมีภัณฑ์ขับเคลื่อนความเจริญของมนุษยชาติ มีสารเคมีชนิดหนึ่งที่เริ่มต้นจากความตั้งใจอันดีในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยของครัวเรือน กลับกลายมาเป็นภัยเงียบที่ค่อย ๆ แทรกซึมเข้าสู่ชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วโลก และยังคงฝังแน่นอยู่ในเลือดของพวกเราโดยที่ไม่อาจรู้ตัว สารนั้นคือ PFAS (Per‑ and Polyfluoroalkyl Substances) ซึ่งเป็นกลุ่มสารเคมีสังเคราะห์ที่ประกอบไปด้วยพันธะคาร์บอน–ฟลูออรีน (C–F) อันแข็งแกร่ง ให้ทั้งความคงทนต่อการย่อยสลายทางชีวภาพและทางเคมี สารกลุ่มนี้มีมากกว่า 14,000 ชนิด แต่ละชนิดออกแบบให้มีคุณสมบัติกันน้ำ เกาะติดผิววัสดุ หรือทนต่อความร้อน จึงถูกบัญญัติว่าเป็น "สารเคมีชั่วนิรันดร์" (forever chemicals) เพราะเมื่อปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมแล้วจะอยู่ยงคงกระพันและสะสมในสิ่งมีชีวิตเป็นเวลานาน
จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้: จากอุบัติเหตุสู่วัสดุมหัศจรรย์
ย้อนกลับไปในปี 1938 นักเคมีของบริษัท DuPont ชื่อ Roy J. Plunkett ได้ทดลองกับก๊าซ TFE (tetrafluoroethylene) ภายใต้แรงดันสูง เพื่อศึกษาพฤติกรรม polymerization ของโมโนเมอร์นี้ แต่กลับพบว่ามันกลายเป็นผงสีขาวลื่นปริศนาแทนการคงสถานะก๊าซ เมื่อตัดถังออก Plunkett ทดลองพื้นฐานโดยนำผงไปทดสอบละลายในน้ำ กรด ด่าง และตัวทำละลายทั่วไป แต่ก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดใด สารนั้นคือ polytetrafluoroethylene (PTFE) ซึ่งต่อมาถูกตั้งชื่อทางการค้าว่า Teflon
ปฏิกิริยา polymerization และ initiator
PTFE ในยุคแรกผลิตโดยวิธี free-radical emulsion polymerization:
-
ห้องปฏิบัติการ: สารเริ่มต้นคือก๊าซ TFE และตัวกระจาย (surfactant) เช่นสารฟลูออรีน-คาร์บอกซิลิก (PFOA/C8) ช่วยสร้าง micelle ในน้ำ
-
initiator: ใช้สารอย่าง ammonium persulfate (APS) หรือ potassium persulfate ซึ่งเมื่อละลายในน้ำจะคลาย radical (
•SO₄⁻) กระตุ้นให้ TFE เกาะกับ radical สร้างห่วงโซ่โพลิเมอร์ -
การควบคุมอุณหภูมิ: ทำปฏิกิริยาในน้ำเย็น (5–10°C) เพื่อให้ exotherm ของ polymerization ถูกดูดซับโดยน้ำ และป้องกันการระเบิด
-
บทบาทของ PFOA (C8): ไม่ละลายน้ำแต่ละลายใน micelle ของ water-in-oil emulsion ทำหน้าที่ dispersant ลดแรงตึงผิว ช่วยให้ TFE กระจายอย่างสม่ำเสมอและควบคุมขนาดโพลิเมอร์
หลัง polymerization จะได้ PTFE ในรูป colloid suspension สามารถกรอง กรองล้างน้ำซัลเฟต จากนั้นนำไปอบล้างและฆ่าเชื้อเพื่อให้ได้ผง PTFE บริสุทธิ์ซึ่งมีคุณสมบัติไม่ติดผิว ทนกรด ด่าง และทนความร้อนสูง
ความลับที่ถูกปกปิด: เมื่อหลักฐานถูกซ่อนใต้พรม
ในช่วงระยะเวลาหลายทศวรรษตั้งแต่ปี 1960s ถึง 1990s นักวิทยาศาสตร์ของ DuPont พบว่า C8 สามารถก่อให้เกิดความผิดปกติในสัตว์ทดลอง เช่น ตับโต มะเร็งไต มะเร็งอัณฑะ และความเสียหายต่อระบบสืบพันธุ์ แต่กลับไม่มีการแจ้งข้อมูลต่อหน่วยงานรัฐหรือสาธารณชนแต่อย่างใด
เรื่องเริ่มแดงขึ้นเมื่อปี 2001 เมื่อเกษตรกรชื่อ Earl Tennant ในรัฐเวสต์เวอร์จิเนีย พบว่าวัวในฟาร์มของเขาล้มตายเป็นจำนวนมาก พร้อมอาการแปลกประหลาด เช่น มีฟองขาวออกจากปาก ฟันดำ ผิวหนังลอก และเนื้อตัวซูบผอม หลังจากตรวจสอบ เขาพบว่าน้ำที่วัวกินไหลมาจากบ่อทิ้งสารเคมีของโรงงาน DuPont ใกล้เคียง
Tennant ตัดสินใจฟ้องร้อง พร้อมส่งมอบเอกสารและวิดีโอหลักฐานมากมาย และนำไปสู่การเปิดเผยเอกสารภายในกว่า 60,000 หน้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่า DuPont รู้ถึงพิษภัยของ C8 มานานหลายปี แต่เลือกที่จะปิดบังไว้ การฟ้องร้องครั้งนั้นยังจุดชนวนให้เกิดการศึกษาทางการแพทย์กับคนกว่า 70,000 คนในพื้นที่รอบโรงงาน ซึ่งใช้เวลากว่า 7 ปี และสรุปในปี 2013 ว่า C8 มีความเชื่อมโยงกับโรคเรื้อรัง 6 ประเภท รวมถึงมะเร็งไตและอัณฑะ
ความจริงที่ตามหลอกหลอนในปัจจุบัน
วันนี้ PFAS ไม่ได้มีเพียงแค่ C8 เท่านั้น แต่มีมากกว่า 14,000 ชนิด ที่ถูกใช้ในสินค้ารอบตัวเรา เช่น:
-
กล่องบรรจุอาหารที่กันน้ำมัน
-
ถุงป๊อปคอร์นสำหรับไมโครเวฟ
-
เสื้อแจ็กเก็ตกันน้ำ
-
เครื่องสำอางที่กันเหงื่อ
-
ผิวเคลือบของภาชนะทำอาหาร
การตรวจวัด PFAS ในเลือด
การศึกษาทางระบาดวิทยาจำนวนมากใช้เทคนิค liquid chromatography–tandem mass spectrometry (LC–MS/MS) ตามมาตรฐาน EPA Method 537.1 เพื่อวัดความเข้มข้นของ PFAS ในซีรั่มเลือดมนุษย์ ขั้นตอนสำคัญประกอบด้วย:
-
การเตรียมตัวอย่าง (Sample Preparation) – เติมสารมาตรฐานในปริมาณทราบค่า (isotope‑labeled internal standards) ลงในซีรั่ม
-
การสกัด (Extraction) – ใช้ solid-phase extraction (SPE) เพื่อแยก PFAS ออกจากโปรตีนและไขมันในเลือด
-
การแยก (Chromatographic Separation) – แยก PFAS แต่ละชนิดบนคอลัมน์ reversed-phase LC โดยใช้กรเดียนต์ของตัวทำละลาย
-
การตรวจจับ (Mass Spectrometric Detection) – ตรวจจับและนับ ion transitions เฉพาะของ PFAS แต่ละตัว ผ่านโหมด multiple reaction monitoring (MRM)
งานวิจัยสรุปว่า เกือบทุกคนบนโลกมี PFAS ในเลือด โดยเฉลี่ยระดับอยู่ที่ 2–5 parts per billion (ppb) ซึ่งวัดได้แม้อยู่ในระดับต่ำเพียง ppt (parts per trillion) เช่นเดียวกับการพบ PFAS ในน้ำฝนบนยอดเขาหิมาลัยหรือแอนตาร์กติกา สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า PFAS ได้แทรกซึมเข้าสู่ระบบนิเวศในทุกระดับและสะสมในมนุษย์ไปแล้ว
DuPont ต้องรับผิดชอบแค่ไหน?
หลังจากคดีของ Tennant และหลักฐานที่ตามมา DuPont ได้ตกลงชำระเงินไกล่เกลี่ยหลายรอบ:
-
ปี 2005–2017: จ่ายเงินรวมกว่า 600 ล้านดอลลาร์ ให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบในโอไฮโอและเวสต์เวอร์จิเนีย
-
ปี 2015: แยกธุรกิจ PFAS ออกเป็นบริษัทใหม่ชื่อ Chemours พร้อมโอนภาระความรับผิดชอบด้านกฎหมายส่วนใหญ่ไปให้บริษัทนั้น
-
ปี 2021: ร่วมกับ Chemours และ Corteva ตั้งกองทุนบำบัดน้ำมูลค่า 1.185 พันล้านดอลลาร์ สำหรับชุมชนในสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบจาก PFAS
อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้บริหารคนใดถูกดำเนินคดีอาญา และ DuPont ไม่เคยยอมรับผิดอย่างเป็นทางการ จึงเกิดคำถามว่า “แค่เงินพอหรือไม่ เมื่อผลกระทบกระจายไปทั่วโลกและยาวนานนับศตวรรษ?”
เราในฐานะพลเมืองควรทำอย่างไร?
ในระดับบุคคล:
-
หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะหรือบรรจุภัณฑ์ที่เคลือบสารกันน้ำ/น้ำมัน โดยเฉพาะกับอาหารร้อนหรือไมโครเวฟ
-
ใช้เครื่องกรองน้ำที่สามารถกำจัด PFAS ได้ เช่น Reverse Osmosis, Activated Carbon หรือ Ion Exchange
-
หมั่นตรวจสอบเครื่องครัว เช่น กระทะเคลือบ หากผิวลอกควรเปลี่ยนใหม่
-
ลดการบริโภคอาหารสำเร็จรูปที่อุ่นจากบรรจุภัณฑ์โดยตรง เช่น ป๊อปคอร์นไมโครเวฟ
ในระดับสังคมและนโยบาย:
-
กดดันให้ผู้ผลิตเปิดเผยการใช้ PFAS อย่างโปร่งใส และแสดงรายชื่อสารในผลิตภัณฑ์อย่างชัดเจน
-
ผลักดันให้ภาครัฐกำหนดมาตรฐานเข้มงวดในน้ำดื่ม (เช่น สหรัฐฯ ลดจาก 1 ppb เหลือ 4 ppt)
-
ส่งเสริมงานวิจัยเพื่อหา “สารทดแทนที่ปลอดภัยจริง” และไม่ก่อให้เกิด PFAS ชนิดใหม่
-
สนับสนุนแนวคิดการควบคุม PFAS แบบ “เป็นกลุ่มสาร” แทนการห้ามรายตัว เพื่อไม่ให้เกิดการเปลี่ยนชื่อเลี่ยงกฎหมาย
กรณีศึกษาการติดตั้งเครื่องกรองน้ำ PFAS ในเทศบาล:
ในปี 2020 เทศบาลเมือง Somerville รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ติดตั้งระบบกรองน้ำประปารวม (combination RO + GAC) ที่สถานีจ่ายน้ำหลัก ผลการตรวจสอบก่อนติดตั้งพบ PFOA และ PFOS ในระดับ 120–150 parts per trillion (ppt) หลังการติดตั้งและปรับตั้งระบบประมาณ 6 เดือน ค่าพีคลดเหลือไม่เกิน 4 ppt ตรงตามมาตรฐาน EPA ทำให้ประชาชนกว่า 80,000 คนได้รับน้ำดื่มที่ปราศจาก PFAS ในระดับกังวลทางสุขภาพ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มนุษย์ตกหลุมพรางของนวัตกรรมที่ไม่มีความรับผิดชอบ
ตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้:
-
สารตะกั่วในน้ำมันเบนซิน (Leaded Gasoline): เริ่มใช้ tetraethyl lead ในน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเพิ่มค่าออกเทนตั้งแต่ทศวรรษ 1920s แม้จะช่วยลดการเคาะของเครื่องยนต์ แต่ตะกั่วที่ปล่อยมลพิษผ่านควันไอเสียเข้าสู่ชั้นบรรยากาศและสะสมในร่างกายมนุษย์ ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางประสาทและระบบสืบพันธุ์ของเด็ก กดดันให้ประชาชน รัฐบาล และนักวิทยาศาสตร์ร่วมกันเรียกร้องจนสหรัฐฯ ยุติการใช้ leaded gasoline ทั้งประเทศในปี 1996
-
พีซีบี (Polychlorinated Biphenyls, PCB): พัฒนาขึ้นในปี 1929 ใช้เป็นฉนวนไฟฟ้าและสารหล่อลื่น เมื่อพบว่ามันเป็นสารก่อมะเร็ง สะสมในห่วงโซ่อาหาร และตกค้างในสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ Stockholm Convention ประกาศแบน PCB ทั่วโลกในปี 2001
จากกรณีศึกษานี้ เราจะเห็นได้ว่า ประชาสังคม (civil society) รวมถึงนักวิจัย สื่อมวลชน และองค์กรภาคประชาชน มีบทบาทสำคัญในการเปิดโปงความจริง ติดตามผลกระทบ และกดดันให้ภาครัฐและภาคอุตสาหกรรมออกมาตรการควบคุมอย่างเข้มข้น
และตอนนี้คือ PFAS — สารที่ไม่ยอมจากไปจากโลกง่าย ๆ
"สิ่งที่เราบริโภคและใช้ในวันนี้ จะหล่อหลอมสุขภาพของคนรุ่นถัดไปไปอีกหลายทศวรรษข้างหน้า"
ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนต้องรู้เท่าทันสารเหล่านี้ ไม่ใช่เพื่อหวาดกลัว แต่เพื่อเรียกร้องความโปร่งใส รับผิดชอบ และสร้างอนาคตที่ปลอดภัยกว่านี้ร่วมกัน
อ้างอิง:
-
Veritasium, How One Company Secretly Poisoned The Planet, YouTube (Published May 14, 2025)
-
U.S. Environmental Protection Agency (EPA), PFAS Strategic Roadmap (2021), epa.gov/pfas
-
C8 Science Panel, Probable Link Reports (2012–2013), www.c8sciencepanel.org
-
National Academies of Sciences, Engineering, and Medicine, Guidance on PFAS Exposure, Testing, and Clinical Follow-Up (2022)
-
OECD Portal on Per- and Polyfluoroalkyl Substances (PFAS) (2024), www.oecd.org
-
Environmental Working Group (EWG), PFAS Contamination in the U.S. interactive map (2024)
-
Science.org, PFAS: The ‘Forever Chemicals’ Are Ubiquitous. And They’re Harming Us (2022)
-
Bangkok Post, Thailand Takes Step to Monitor PFAS Use in Industry (2023)
-
American Water Works Association (AWWA), PFAS Cost Impact Assessment (2023)
-
Ahrens, L., Distribution and Fate of Per- and Polyfluoroalkyl Substances in the Environment: A Critical Review of Recent Literature, Environmental Science & Technology 56(14), 2022, pp. 8958–8977.
-
World Health Organization (WHO), Exposure to Per- and Polyfluoroalkyl Substances (PFAS) in Drinking Water, WHO/HEP/ECH/OSDW/2023.1, 2023.