เมื่อเดือนเมษายน 2568 ประเทศไทยกลับมาพบการระบาดของโรคแอนแทรกซ์อีกครั้งในพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร โดยมีผู้เสียชีวิต 1 ราย และพบผู้สัมผัสเสี่ยงกว่า 200 คน เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงช่องโหว่ในการควบคุมโรคในสัตว์ แต่ยังเตือนให้คนไทยตระหนักถึงอันตรายของโรคชนิดนี้ที่แม้จะไม่ใช่โรคใหม่ แต่ก็ยังสามารถคร่าชีวิตได้หากละเลยความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับมัน โรคแอนแทรกซ์ไม่ได้เป็นเพียงแค่ภัยต่อเกษตรกรหรือผู้เลี้ยงสัตว์ แต่ยังเป็นปัญหาสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมการบริโภคของชุมชนและความรู้ด้านสุขภาพของประชาชนโดยรวม
โรคแอนแทรกซ์มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และเคยถูกใช้เป็นอาวุธชีวภาพในสงครามหรือการก่อการร้าย ตัวอย่างเช่นเหตุการณ์การส่งซองจดหมายปนเปื้อนเชื้อในสหรัฐฯ ปี 2001 ทำให้โรคนี้ยังคงเป็นภัยคุกคามทั้งในมิติธรรมชาติและความมั่นคงด้านความปลอดภัย ด้วยเหตุนี้ การเข้าใจกลไกการแพร่เชื้อ การป้องกัน และการสังเกตอาการจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคน
แอนแทรกซ์คืออะไร?
แอนแทรกซ์ (Anthrax) เป็นโรคติดเชื้อเฉียบพลันที่เกิดจากแบคทีเรียชนิดหนึ่งชื่อว่า Bacillus anthracis ซึ่งมีความสามารถในการสร้าง "สปอร์ (spore)" ที่แข็งแรงทนทานต่อความร้อน ความแห้ง และสารเคมีต่าง ๆ สปอร์เหล่านี้สามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อม เช่น ดิน น้ำ และซากสัตว์ ได้นานหลายสิบปี โดยไม่ถูกทำลาย ซึ่งทำให้โรคนี้มีศักยภาพในการกลับมาระบาดได้เสมอเมื่อมีปัจจัยเอื้ออำนวย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เคยมีสัตว์ป่วยหรือฝังซากสัตว์โดยไม่ถูกสุขลักษณะ
สัตว์กินพืช เช่น วัว ควาย แพะ แกะ มักติดเชื้อโดยการกินหญ้าหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนสปอร์ของเชื้อ ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกาย สปอร์จะแตกตัวและเปลี่ยนเป็นแบคทีเรียที่มีชีวิต สร้างสารพิษ (toxin) ที่ทำลายเนื้อเยื่อ เลือด และระบบอวัยวะภายในต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ส่วนมนุษย์สามารถติดโรคจากสัตว์เหล่านี้ได้ผ่าน 3 ช่องทางหลัก:
-
สัมผัสโดยตรง: เช่น การชำแหละสัตว์ที่ป่วย หรือตายจากโรคโดยไม่สวมอุปกรณ์ป้องกัน แผลเล็กน้อยบนผิวหนังก็เพียงพอให้เชื้อเข้าสู่ร่างกาย
-
การสูดหายใจเอาสปอร์เข้าไป: พบได้น้อยแต่มักรุนแรงและยากต่อการรักษา มักเกิดในกลุ่มผู้ทำงานเกี่ยวข้องกับหนังสัตว์ ขนสัตว์ หรือโรงงานแปรรูปสัตว์
-
การกินเนื้อสัตว์ดิบ หรือปรุงไม่สุก: เป็นช่องทางสำคัญที่พบในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีวัฒนธรรมการบริโภคเนื้อดิบหรือกึ่งสุก เช่น ลาบ หลู้ หรือก้อย
การระบาดในไทยครั้งนี้เกิดจากอะไร?
ข้อมูลจากกรมควบคุมโรคและกรมปศุสัตว์ระบุว่า ผู้เสียชีวิตในกรณีที่จังหวัดมุกดาหารเป็นชายวัยกลางคนที่มีโรคประจำตัวเป็นเบาหวาน และมีประวัติร่วมชำแหละวัวในงานบุญท้องถิ่น รวมถึงบริโภคเนื้อดิบ เชื้อ Bacillus anthracis ที่ตรวจพบในกรณีนี้เป็นสายพันธุ์ปกติที่ไม่กลายพันธุ์ ไม่ได้เป็นเชื้อที่ดื้อยา แต่สามารถติดคนได้โดยตรงหากมีการสัมผัสหรือรับเชื้อเข้าทางปากหรือผิวหนังที่มีบาดแผล
สิ่งที่ทำให้กรณีนี้ร้ายแรงคือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งไม่ได้ตระหนักถึงความเสี่ยงจากการชำแหละสัตว์ที่ตายโดยไม่ทราบสาเหตุ และพฤติกรรมการบริโภคเนื้อสัตว์แบบไม่ปรุงสุกที่ยังคงมีอยู่ในหลายชุมชนทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังพบว่ามีการแจกจ่ายเนื้อสัตว์ที่ชำแหละไปให้ชาวบ้านโดยไม่มีการตรวจโรค ทำให้มีผู้สัมผัสเสี่ยงรวมกว่า 200 คน
แล้วเชื้อมาได้อย่างไร ถ้าวัวควรได้รับวัคซีนอยู่แล้ว?
แม้วัคซีนป้องกันแอนแทรกซ์จะมีใช้ในประเทศไทยโดยเฉพาะในสัตว์เลี้ยงประเภทวัว ควาย แพะ แกะ และช้าง แต่การเข้าถึงวัคซีนหรือการบังคับใช้ในระดับพื้นที่ยังไม่ทั่วถึง สาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ไม่ได้รับวัคซีนครบถ้วนมีดังนี้:
-
เจ้าของสัตว์อาจไม่ทราบถึงความสำคัญของวัคซีน หรือเข้าใจผิดว่าโรคไม่เกิดในพื้นที่ของตน
-
ระบบการเลี้ยงสัตว์ในบางพื้นที่อาจอยู่นอกขอบเขตการควบคุมของหน่วยงานรัฐ
-
มีการชำแหละสัตว์ภายในชุมชนเองโดยไม่ได้ผ่านการตรวจจากเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ หรือไม่มีการรายงานสัตว์ป่วยหรือล้มตาย
นอกจากนี้ เชื้อแอนแทรกซ์ในรูปของสปอร์สามารถแฝงตัวอยู่ในดินได้นานหลายสิบปี โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เคยมีการระบาด หรือฝังซากสัตว์ติดเชื้อโดยไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น ฝังตื้นเกินไป ใกล้แหล่งน้ำ หรือไม่เผาซากก่อนฝัง ทำให้เกิดการปนเปื้อนในหญ้าและแหล่งน้ำในอนาคต เมื่อนำสัตว์รุ่นใหม่เข้ามาเลี้ยงในพื้นที่เดิม โดยไม่มีการฆ่าเชื้อหรือเปลี่ยนแปลงการใช้งาน ก็เสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อซ้ำอีกได้
วัคซีนป้องกันแอนแทรกซ์มีหรือไม่?
มี และมีการใช้งานจริงทั้งในสัตว์และมนุษย์:
-
สำหรับสัตว์: ประเทศไทยมีการผลิตวัคซีนแอนแทรกซ์เชื้อเป็นโดยกรมปศุสัตว์ ใช้ฉีดป้องกันสัตว์ในพื้นที่เสี่ยงหรือมีประวัติการระบาด โดยวัคซีนนี้มีประสิทธิภาพสูงในการลดโอกาสการติดเชื้อและควบคุมการแพร่ระบาด หากใช้ครอบคลุมทั้งพื้นที่จะช่วยตัดวงจรการแพร่เชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-
สำหรับมนุษย์: มีวัคซีนชื่อ Anthrax Vaccine Adsorbed (AVA) ซึ่งพัฒนาขึ้นในสหรัฐอเมริกา ใช้ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ทหาร นักวิจัยเชื้อโรค หรือผู้ที่ทำงานในห้องแล็บ โดยต้องฉีดหลายเข็มตามรอบเวลา ได้แก่ 5 โดสในช่วง 18 เดือนแรก และฉีดกระตุ้นเป็นประจำปีละครั้งในกลุ่มที่ยังมีความเสี่ยงต่อเนื่อง หากได้รับเชื้อเข้าไปแล้ว จะต้องฉีดวัคซีนร่วมกับยาปฏิชีวนะทันที เพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิต
วัคซีนปลูกฝีเกี่ยวข้องไหม?
ไม่เกี่ยวข้องกันเลย วัคซีนปลูกฝีใช้ป้องกันโรคฝีดาษ (smallpox) ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส Variola virus ในขณะที่แอนแทรกซ์เกิดจากแบคทีเรีย Bacillus anthracis คนละกลุ่มของสิ่งมีชีวิตและกลไกการติดเชื้อ วัคซีนปลูกฝี (vaccinia virus) เคยมีบทบาทสำคัญในอดีต แต่ไม่มีผลอะไรต่อแอนแทรกซ์โดยสิ้นเชิง
อาการของโรคแอนแทรกซ์: สังเกตตัวเองอย่างไร?
แอนแทรกซ์แบ่งเป็น 3 แบบตามช่องทางที่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย:
-
ทางผิวหนัง (Cutaneous Anthrax) – พบมากที่สุด (~95%):
-
เริ่มจากตุ่มแดงเล็ก ๆ คัน → ตุ่มน้ำ → แผลเน่ากลางดำขอบนูน (คลาสสิก)
-
มีไข้ อ่อนแรง ต่อมน้ำเหลืองโต หรือบวมรอบแผล
-
รักษาเร็วด้วยยาปฏิชีวนะ หายได้ใน 1–2 สัปดาห์
-
-
ทางเดินหายใจ (Inhalation Anthrax) – รุนแรงมาก:
-
ช่วงแรกคล้ายหวัด: ไข้สูง เจ็บคอ หนาวสั่น
-
ต่อมา: หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก เลือดออกในปอด ช็อก
-
ต้องรักษาด่วน ไม่งั้นเสียชีวิตภายใน 24–72 ชั่วโมง
-
-
ทางเดินอาหาร (Gastrointestinal Anthrax) – มักเกิดจากการกินเนื้อดิบ:
-
ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด
-
อาจบวมในคอและหลอดอาหาร กลืนลำบาก
-
หากเชื้อผ่านลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด อันตรายมาก
-
คำแนะนำ: หากคุณมีอาการเหล่านี้ และอยู่ในพื้นที่เสี่ยง หรือมีประวัติสัมผัสสัตว์หรือกินเนื้อดิบในช่วง 1–7 วันที่ผ่านมา ควรรีบไปโรงพยาบาล พร้อมแจ้งประวัติอย่างละเอียดทันที
การป้องกันที่ดีที่สุดคืออะไร?
-
งดกินลาบ หลู้ หรืออาหารเนื้อดิบใด ๆ โดยเฉพาะจากวัวที่ไม่ผ่านการตรวจ
-
ไม่ชำแหละสัตว์เองโดยพลการ ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่เสมอ
-
ฉีดวัคซีนให้สัตว์ครบตามรอบ และเฝ้าระวังสัตว์ป่วยหรือล้มตาย
-
ฝังหรือเผาซากสัตว์อย่างถูกสุขลักษณะ ห่างแหล่งน้ำและที่ชุมชน
-
ให้ความรู้ชาวบ้านเป็นประจำ และจัดอบรมเครือข่ายเฝ้าระวังโรคในชุมชน
สรุป: โรคที่ควรควบคุมได้ หากทุกฝ่ายร่วมมือกัน
แอนแทรกซ์เป็นโรคที่ไม่ควรมีผู้เสียชีวิตอีกในยุคปัจจุบัน เพราะเรามีเครื่องมือครบถ้วนในการป้องกัน ไม่ว่าจะเป็นวัคซีน การรักษา และองค์ความรู้ แต่เมื่อใดที่ละเลยความรู้พื้นฐาน ไม่ปฏิบัติตามหลักสุขภาพ และไม่มีระบบควบคุมร่วมกันอย่างจริงจัง โรคที่น่าจะควบคุมได้กลับกลายเป็นภัยคุกคามที่คร่าชีวิตคนไทยได้อีก
"ดินที่มีสปอร์แอนแทรกซ์อาจไม่เคยเตือนคุณด้วยกลิ่นหรือสี แต่เมื่อสายเกินไป ร่างกายอาจเป็นคนตอบรับมันแทน"