วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ความยุติธรรมหรือความอยุติธรรม? เมื่อคนผิดลอยนวล เหยื่อต้องทุกข์ทน

ประเทศไทยเคยมีเสียงเรียกร้องถึงความยุติธรรมดังก้องหัวใจไม่รู้กี่ครั้ง แต่ภาพความจริงกลับชวนให้ตั้งคำถามว่า “เรากำลังเสียเวลาไปกับกระบวนการที่ให้สิทธิคนผิดมากกว่าสิทธิของผู้ถูกกระทำหรือไม่?” ในขณะที่คู่กรณีที่ก่อความสูญเสียราวกับสามารถซื้อเวลาพ้นผิดได้ดั่งใจ ชีวิตของเหยื่อและครอบครัวกลับต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเรียกร้องทั้งอิสรภาพและความยุติธรรม รอยแผลและบาดแผลซุกลึกอยู่ในหัวใจ แม้เวลาจะผ่านมาเท่าใดก็ไม่อาจเยียวยาได้โดยง่าย

บทความชิ้นนี้จะพาไปสืบค้นอย่างเจาะลึก 6 กรณีตัวอย่าง ของคดีที่สะท้อนความล้มเหลวในระบบกฎหมายไทย ตั้งแต่การละเลยกระบวนการตรวจสอบ การใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายไปจนถึงการเลือกปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐ พร้อมทั้งวิเคราะห์ลึกถึงรากฐานปัญหา และเสนอแนวทางปฏิรูปเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน


1. คดีน้องการ์ตูน: 11 ปีของความทรมาน ก่อนแม่ต้องปล่อยมือลูก

ครั้งแรกที่หัวใจหยุดเต้น เกิดขึ้นในปี 2557 เมื่อรถกระบะคันหนึ่งพุ่งชนเข้าหาร้านสเต็กย่านเอกชัย 119 กรุงเทพฯ ด้วยความเร็วสูง ช่วงบ่ายแก่ๆ ขณะที่น้องการ์ตูน เด็กหญิงวัย 5 ขวบ กำลังช่วยพ่อจัดโต๊ะหน้าร้าน ความโหดร้ายมาเยือนในพริบตาเดียว เมื่อพ่อใช้ร่างกายตัวเองประคองลูกไว้เพื่อช่วยให้ปลอดภัย และต้องสังเวยชีวิตคาที่ ขณะที่น้องการ์ตูนรอดมาได้ด้วยราคาค่าชีวิตที่ต้องจ่ายด้วยความทรมานอันแสนสาหัส

อาการและชีวิตที่พลิกผัน

  • นิยามคำว่า ‘ผู้ป่วยติดเตียง’ กลายเป็นสถานะถาวร เมื่อร่างกายของน้องการ์ตูนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป

  • สายใยของความรัก เปลี่ยนเป็นสายสัญญาณเครื่องช่วยหายใจ ทำหน้าที่แทนการหายใจของเด็กน้อยตลอด 24 ชั่วโมง

  • ทิศทางของชีวิต เปลี่ยนจากการเรียนรู้อย่างเด็กปกติ กลายเป็นการเรียนรู้ชีวิตที่ถูกล้อมด้วยความเจ็บปวดและความหวาดกลัว จนวันที่แม่ค่อยๆ เห็นว่าหนทางข้างหน้าคงไม่ใช่การมีชีวิต แต่เป็นการทรมาน

เสียงของกฎหมาย – คดีอาญาและแพ่ง

  1. คดีอาญา: ศาลตัดสินจำคุกผู้ขับรถ 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา ทว่าความจริงกลับไม่มีการควบคุมตัวในเรือนจำ เหตุผลอ้างว่าจำเลยยังไม่เคยมีประวัติ ทำให้ศาลพิจารณามาตรการเบา ต้องเป็นการสั่งกักตัวหรือคุมประพฤติแทน

  2. คดีแพ่ง: ศาลสั่งชดใช้ 6.3–6.5 ล้านบาทเพื่อเยียวยา แม่ต้องนำคำพิพากษานั้นไปขอให้กรมบังคับคดีดำเนินการ แต่เมื่อรัฐไม่มีทรัพยากรหรือกลไกติดตาม จำเลยจึงใช้ช่องโหว่ “ไม่มีทรัพย์” ถ่วงจ่าย ทำให้เงินเยียวยาไม่มีวันมาถึงมือผู้สูญเสีย

ฝันร้ายที่ไม่มีวันจบ

นับจากวันเกิดเหตุจนถึงวันแม่ตัดสินใจถอดเครื่องช่วยหายใจกว่า 11 ปีเต็ม ของหนทางเยียวยาไม่ได้อยู่ที่ปากคำมาตรฐานหรือการตั้งกฎหมายใหม่ใดๆ แต่คือ การจับมือและเดินเคียงข้างผู้สูญเสีย ซึ่งรัฐและสังคมล้มเหลวในการทำหน้าที่นี้จนสิ้น

"แม่…หนูเหนื่อย หนูเจ็บหนูเมื่อยเกินไป แม่นะจะไม่ปล่อยให้หนูทรมานอีกต่อไปแล้ว" — คำอำลาก่อนนิรันดร์ที่พ่นรสโลหิตให้หัวใจคนเป็นแม่แตกสลาย


2. คดีแพรวา 9 ศพ: เมื่อเยาวชนชนตู้โดยสาร แต่ไม่ต้องติดคุกแม้วันเดียว

คืนวันที่ 27 ธันวาคม 2553 ฤทธิ์ทุรนแรงของชีวิตเยาวชนหญิงวัย 16 ปี กลายเป็นเครื่องจักรถล่มรถตู้ซึ่งมีผู้โดยสาร 14 ชีวิต ขึ้นสู่ทางด่วนดอนเมืองโทลล์เวย์ ผู้เคราะห์ร้ายถึง 9 ชีวิตต้องสังเวย และอีกหลายคนบาดเจ็บสาหัส พลังโซเชียลมีเดียได้จุดไฟ #แพรวา9ศพ ให้ลุกโชนทั่วประเทศ พร้อมคำถามอันสุดสะเทือนใจ: ทำไมชีวิตคนจำนวนมากจึงจบลงในโทษเพียงรอลงอาญา?

เส้นทางคดีอาญา

  • ชั้นศาลเยาวชนและครอบครัวมีนบุรี พิพากษาจำคุก 3 ปี ลดเหลือ 2 ปี เนื่องจากจำเลยเป็นเยาวชน รับสารภาพและไม่มีประวัติอาชญากรรม แต่ รอลงอาญา 3 ปี พร้อมเงื่อนไขคุมประพฤติห้ามขับ

  • ศาลอุทธรณ์ ขยายเงื่อนไขรอลงอาญาเป็น 4 ปี และสั่งงานบริการสังคม 48 ชั่วโมงต่อปี

  • ศาลฎีกา ไม่รับฎีกา คดีอาญาถึงที่สุดโดยที่ จำเลยไม่ต้องติดคุกจริงวันเดียว

การต่อสู้เรียกค่าสินไหมทดแทน

ญาติผู้เสียชีวิตทั้ง 28 รายต้องรณรงค์ยื่นฟ้องศาลแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหาย รวมทุกคนกว่า 25 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 แต่ ผ่านมาเกือบสิบปี ยังไม่มีใครได้รับเงินตามคำพิพากษา พลังของคำสั่งศาลกลับอ่อนแอลงเมื่อขาดระบบบังคับใช้ที่เข้มแข็ง

แรงกดดันจากสังคม

  • แฮชแท็ก #แพรวา9ศพ ถูกใช้เรียกร้องความยุติธรรมบนโซเชียลมีเดีย สร้างแรงกดดันต่อหน่วยงานรัฐในปี 2562

  • มีการจัดกิจกรรมระดมทุนและออกประกาศคณะกรรมการตรวจสอบกระบวนการดำเนินคดี

  • แต่เมื่อแรงเงียบลง คำสั่งศาลยังถูกเมินจนเหยื่อเงียบอีกครั้ง

คดีนี้จึงกลายเป็น ภาพจำของความอยุติธรรม ที่ปล่อยให้ชีวิตคนลอยนวลเพียงเพราะต้องการ “เมตตา” เยาวชน แต่กลับทอดทิ้งครอบครัวผู้สูญเสียไว้กลางทาง


3. คดีทายาทกระทิงแดง: พลังเงินตราและอำนาจปิดปากความยุติธรรม

เมื่อยอดเม็ดฝนโปรยปรายลงบนถนนวิภาวดีรังสิตในเช้าวันที่ 3 กันยายน 2555 เหตุการณ์ไม่คาดฝันได้เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อนายวรยุทธ อยู่วิทยา ลูกหลานมหาเศรษฐีเครื่องดื่มชูกำลัง ขับรถเฟอร์รารี พุ่งชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ขณะปฏิบัติหน้าที่ ส่งผลให้ชีวิตนายตำรวจลิ่วหายจากครอบครัวในทันที

กระบวนการที่สั่นคลอน

  • การสอบสวนล่าช้า: คดีเดินหน้าอย่างเชื่องช้า นัดสอบสวนและฟ้องหลายครั้ง แต่ไม่มีความชัดเจน

  • ข้อหาหมดอายุความ: หลายข้อหาถูกพ้นอายุความ เนื่องจากหน่วงเวลาการสืบสวน

  • การหนีออกนอกประเทศ: วรยุทธใช้เส้นทางเครื่องบินส่วนตัวออกนอกราชอาณาจักรก่อนหมายจับจะออก

  • การบิดเบือนคดี: อดีตรองอัยการสูงสุดถูกตัดสินจำคุกฐานช่วยเหลือจำเลยไม่ถูกฟ้องในขั้นแรก

จนถึงปัจจุบัน วรยุทธยังไม่ถูกนำตัวกลับมาดำเนินคดี ชีวิตของครอบครัวตำรวจผู้เสียชีวิตจึงเต็มไปด้วยคำถามและความไม่ไว้ใจในกลไกยุติธรรมไทย


4. คดีเบนซ์ชนฟอร์ด: หัวใจนักศึกษา สู่คุกที่รอคอยระหว่างฎีกา

ปี 2559 ณ ถนนสายเอเชีย จ.พระนครศรีอยุธยา ความฝันในการเรียนปริญญาโทของสองนักศึกษา ดับลงกลางถนน เมื่อเบนซ์คันงามพุ่งชนจนมีผู้เสียชีวิตและก่อไฟลุกไหม้คันรถ

  • การตรวจสารเสพติดดีเลย์: เจ้าหน้าที่ตรวจแอลกอฮอล์ล่าช้า ทำให้หลักฐานอ่อนแรง

  • คำพิพากษาชั้นต้น: จำคุก 6 ปี แต่ลดเหลือ 4 ปี หลังอุทธรณ์ และให้สิทธิประกันระหว่างฎีกา

คดีนี้ยืนยันว่า ระบบประกันตัวระหว่างฎีกาและการอุทธรณ์ที่ยืดเยื้อ ช่วยให้ผู้ต้องหาอยู่ภายนอกเรือนจำได้นับปี ขณะที่ครอบครัวผู้ตายถูกทิ้งให้อยู่กับความเจ็บปวดโดยไม่มีเวลาเยียวยา


5. คดีเมาแล้วขับของคนดัง: แอนนา รีส และหมูแฮม

  • แอนนา รีส (ปี 2558): เมาแล้วขับชนตำรวจจนเสียชีวิต จ่ายค่าเยียวยาแล้วศาล รอลงอาญา โดยไม่ต้องติดคุกจริงสักวัน ยืนยันว่าเงินเยียวยาอาจกลายเป็นกลไกให้ศาลเมตตา

  • คดีหมูแฮม (ปี 2550): ไฮโซชนคนบนฟุตบาทจนเสียชีวิต 1 ราย ศาลชั้นต้นรอลงอาญาแต่ศาลฎีกาในปี 2556 กลับพิพากษาจำคุก 2 ปี 1 เดือน ไม่รอลงอาญา หลังพิสูจน์ว่าจำเลยแกล้งทำสติไม่ดี

ทั้งสองคดีสะท้อนว่า ชื่อเสียงและฐานะสามารถโน้มน้าวคำพิพากษาให้ผ่อนผันโทษได้ แม้เหยื่อจะเสียชีวิตก็ตาม


6. วิเคราะห์สาเหตุ: ช่องโหว่โครงสร้างและการปฏิบัติที่เลือกปฏิบัติ

  1. กฎหมายเปิดช่องให้รอลงอาญา แม้เป็นคดีร้ายแรง ทำให้ผู้กระทำผิดไม่ต้องเข้าคุกจริง

  2. ระบบบังคับคดีแพ่งอ่อนแอ: ไม่มีหน่วยงานรัฐติดตามการชดใช้ คำพิพากษาจึงกลายเป็นเพียงกระดาษ

  3. อนุญาตให้ประกันตัวระหว่างฎีกาได้ง่าย: จำเลยลอยนวลระหว่างรอฎีกาเป็นระยะเวลานาน

  4. สองมาตรฐานในการบังคับใช้: คนมีอำนาจหรือทรัพย์สามารถเลื่อนนัด ตรวจสารดีเลย์ บิดเบือนข้อหา

  5. เงินเยียวยาไม่ใช่การรับประกันความยุติธรรม: คนมีเงินเยียวยาเพื่อได้เมตตา แต่ไม่ใช่การเยียวยาอย่างแท้จริง

  6. ขาดกลไกเยียวยาเหยื่อระยะยาว: ไม่มีกองทุนกลางหรือการดูแลจิตใจ เหยื่อถูกทิ้งให้อยู่กับความเจ็บปวดลึกซึ้ง


ข้อเสนอแนวทางปฏิรูป: เรียกร้องความยุติธรรมที่แท้จริง

  • ทบทวนหลักเกณฑ์รอลงอาญา: จำกัดให้เฉพาะคดีไม่ร้ายแรง เพื่อผู้กระทำผิดต้องรับโทษจริง

  • สร้างระบบบังคับคดีแพ่งเข้มแข็ง: กรมบังคับคดีต้องติดตามและบังคับชำระจริง

  • กำหนดกรอบเวลาอุทธรณ์: ไม่ให้คดีลากยาวจนหมดอายุความ

  • ห้ามประกันตัวคดีอาชญากรรมร้ายแรง: ยึดหลักความปลอดภัยสาธารณะเหนือสิทธิประกันตัว

  • จัดตั้งกองทุนเยียวยาเหยื่อ: ให้ความช่วยเหลือเร็ว ไม่ต้องรอคำพิพากษาสุดท้าย

  • ส่งเสริมความโปร่งใสและตรวจสอบภายใน: ตั้งคณะกรรมการอิสระดูแลตำรวจและอัยการ ป้องกันการบิดเบือนคดี

“ความยุติธรรมที่แท้จริง คือเมื่อทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน โดยไม่มีอภิสิทธิ์สำหรับผู้มีทรัพย์หรืออำนาจ”

การเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มจากการยอมรับความโหดร้ายของระบบปัจจุบัน และร่วมกันผลักดันให้เกิดการปฏิรูปในทุกมิติ เพื่อไม่ให้ครอบครัวผู้สูญเสียต้องทนทุกข์ทรมานเดียวดายอีกต่อไป


รัฐที่เกิดจาก 'ความเป็นเหยื่อ' และการผลิตซ้ำอำนาจผ่านการกดขี่ – กรณีศึกษาจาก 10 ประเทศ

ในบริบทของรัฐศาสตร์สมัยใหม่ การก่อตัวของรัฐชาติไม่เพียงเป็นผลลัพธ์ของเจตจำนงร่วมทางอุดมการณ์หรือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่ยังมีมิติที่ลึกซึ้ง...