บทนำ – มนุษย์ที่กลายเป็นตำนาน
เมื่อกล่าวถึงพระพุทธเจ้า ภาพในใจของคนส่วนใหญ่มักเป็นบุคคลผิวขาวอมชมพู ผมหยิกเป็นเกลียวทอง นั่งสงบนิ่งบนฐานบัว มีรัศมีรอบศีรษะ ในฉลองพระองค์สีทองเปล่งปลั่ง ภาพลักษณ์เหล่านี้มีพลังทางศรัทธาและศิลปะ แต่หากย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของพระองค์ในฐานะมนุษย์จริง ๆ การเข้าใจ "สิทธัตถะ โคตมะ" อย่างที่เป็นอยู่ในบริบทของสังคม ประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์ จะเผยให้เห็นแง่มุมที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
บทความนี้พยายามย้อนรอยและวิเคราะห์ลักษณะรูปร่างของพระพุทธเจ้า ต้นกำเนิดทางตระกูล ลักษณะของวังที่ประสูติ และขนาดอำนาจของแคว้นที่พระองค์เคยอยู่ เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพพระองค์อย่างที่มนุษย์คนหนึ่งเคยเป็นจริง ๆ ก่อนกลายเป็นศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ของโลก
รูปร่างหน้าตาพระพุทธเจ้า – จากเชื้อสายแห่งลุมพินี
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี พระพุทธเจ้าเกิดในช่วงศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช ที่เมืองลุมพินี (ปัจจุบันอยู่ในประเทศเนปาล) พระนามว่า สิทธัตถะ โคตมะ เป็นโอรสของเจ้าชายสุทโธทนะ แห่งตระกูลศากยะ
หากเปรียบเทียบกับช่วงเวลาในประวัติศาสตร์โลก พระพุทธเจ้าประสูติราว 563 ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งตรงกับยุคที่อารยธรรมโรมันยังไม่ถือกำเนิด (โรมจะก่อตั้งราว 509 ปีก่อน ค.ศ.) อียิปต์อยู่ในยุคปลายราชวงศ์ที่ 26, จีนอยู่ในปลายยุคราชวงศ์โจว (Zhou) ก่อนเข้าสู่ยุคจ้านกว๋อ (Warring States) ส่วนกรีกโบราณอยู่ในช่วงรุ่งเรืองของรัฐเอเธนส์ภายใต้เปริคลีส (Pericles) และมีนักปรัชญาอย่างพีทาโกรัสและเฮราคลีตุสเริ่มสอนอยู่
กล่าวอีกนัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลร่วมสมัยกับขงจื๊อ, เฮราคลีตุส, และนักคิดยุคก่อนโสเครติสของกรีกโบราณ เป็นช่วงเวลาที่มนุษยชาติในหลายภูมิภาคเริ่มตั้งคำถามถึงธรรมชาติของชีวิตและสังคมในรูปแบบของปรัชญา ศีลธรรม และความหมายของการดำรงอยู่
ภูมิประเทศบริเวณลุมพินีในเวลานั้นอยู่ในเขตอินเดียตอนเหนือใกล้เนปาล ซึ่งประชากรส่วนใหญ่มีลักษณะชาติพันธุ์แบบอินเดียตอนเหนือ – ผิวเข้มถึงสีน้ำตาลทอง ผมหยักศกเข้ม ดวงตาเข้ม โครงหน้าเด่นแต่ไม่กว้างแบบยุโรป
จากข้อมูลเหล่านี้ เป็นไปได้สูงว่าพระพุทธเจ้ามีลักษณะ:
ผิวคล้ำหรือสองสีคล้ายชาวอินเดียโบราณ
ผมหยักศก ไม่ได้หยิกเกลียวเล็กอย่างที่เห็นในศิลปะพุทธชั้นหลัง
โครงหน้าแคบกว่าคนจีนหรือยุโรป ตาเรียวยาว ไม่ตากลมโต
ศิลปกรรมในยุคคันธาระ (Gandhara) ที่ได้รับอิทธิพลกรีกมักแสดงพระพุทธเจ้าคล้ายเทพเจ้า แต่หากเทียบกับงานศิลป์แบบมถุรา (Mathura) ที่ใกล้เคียงอินเดียแท้ ๆ จะเห็นภาพที่สมจริงกว่า คือพระพักตร์กลม ตาเรียว ผิวเข้ม ซึ่งน่าจะสะท้อนลักษณะจริงของพระองค์ได้ใกล้เคียงกว่า
ตระกูลศากยะ – เจ้าเมืองในแคว้นมหาชนบท
ศากยะเป็นหนึ่งในตระกูลผู้ปกครองนครรัฐในสมัยที่อินเดียยังไม่รวมศูนย์อำนาจ โดยมีลักษณะคล้าย “สาธารณรัฐแบบโบราณ” ที่มีสภาผู้ใหญ่ตระกูลช่วยกันตัดสินใจ โดยพระเจ้าสุทโธทนะเป็นหนึ่งในผู้นำหรือเจ้านครรัฐแห่งเมืองกบิลพัสดุ์
ศากยะมิใช่ราชวงศ์จักรพรรดิที่ครอบครองอาณาจักรใหญ่ หากแต่เป็น "เจ้าเมืองระดับภูมิภาค" ที่มีฐานะสูง แต่ยังต้องขึ้นตรงต่ออิทธิพลของแคว้นใหญ่อย่างโกศล โดยอาจต้องส่งบรรณาการหรือรักษาความสัมพันธ์เชิงเมืองขึ้น
ในเชิงโครงสร้างการปกครอง แคว้นศากยะมีลักษณะใกล้เคียงกับรูปแบบสภาเผ่าหรือ oligarchy มากกว่าจะเป็นรัฐเดี่ยวผู้นำเด็ดขาด กล่าวคือ มีสภาผู้อาวุโสที่ประกอบด้วยหัวหน้าตระกูล (ซึ่งล้วนมีสายเลือดร่วมกัน) ที่เรียกว่า “สังฆะ” ทำหน้าที่ร่วมกันตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการเมือง การส่งตัวแทน หรือการประกาศสงคราม โดยมีหัวหน้าสภา (ในบางแหล่งระบุว่าอาจเป็นสุทโธทนะ) ทำหน้าที่ประธานหรือผู้นำพิธี
จากข้อเท็จจริงดังกล่าว ตระกูลศากยะจึงไม่ใช่ชนชั้นกษัตริย์ในความหมายของราชวงศ์ใหญ่แบบจักรพรรดิ์ แต่เป็นผู้นำท้องถิ่นที่มีอำนาจภายในเมืองของตน มีเกียรติภูมิสูง มีทรัพย์ มีบริวาร มีวิถีชีวิตที่เหนือสามัญชน แต่ไม่มีเขตปกครองขยายใหญ่ หรือกองทัพที่สามารถรบข้ามแคว้นได้ด้วยตนเอง
การเชื่อมต่อกับแคว้นใหญ่อย่างโกศลจึงมีลักษณะของความเป็นเมืองบริวาร มีบรรณาการแลกกับอิสรภาพภายใน
วังกบิลพัสดุ์ – เรือนเจ้าผู้ครองเมือง ไม่ใช่พระราชวังหินอ่อน
การขุดค้นบริเวณเมืองติโลรโคต (Tilaurakot) ซึ่งเชื่อว่าเป็นตำแหน่งเมืองกบิลพัสดุ์ พบว่าเป็นเมืองมีกำแพงล้อมรอบ ขนาดไม่เกิน 1–2 ตร.กม. มีโครงสร้างกำแพงดินอัดแน่นผสมอิฐเผา อาคารภายในไม่มีร่องรอยของหินอ่อนหรือศิลปะหรูหราที่พบในราชสำนักจีนหรือเปอร์เซีย
รูปแบบสถาปัตยกรรมภายในเมืองน่าจะประกอบด้วย:
-
อาคารหลักเป็นเรือนไม้ โครงสร้าง post-and-beam (เสา-คานไม้)
-
ผนังไม้ผสมดินโคลน ฟาง
-
หลังคาทรงลาด มุงจากหรือใบไม้
-
พื้นอัดดินแน่นหรือปูไม้
วังจึงน่าจะเป็นกลุ่มเรือนที่เชื่อมต่อกัน แบ่งเป็นเขตพักอาศัย เขตพิธีการ และคอกสัตว์ มีขนาดพอควรกับอำนาจในท้องถิ่น ไม่ใช่พระราชวังที่อลังการแบบที่จินตนาการกันในศิลปะหลังพุทธกาล
เมืองกบิลพัสดุ์เองมีแผนผังแบบเมืองป้อมที่มีจุดควบคุมเข้าออก เป็นระเบียบแต่ไม่ซับซ้อน มีลานกลางเมืองเป็นพื้นที่ใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา หรือการประชุมสภา วังของสุทโธทนะจึงน่าจะอยู่ติดกับบริเวณดังกล่าวเพื่อเข้าถึงง่าย
ไม่มีร่องรอยของศิลปกรรมชั้นสูง หรือระบบวังหลังแบบราชวงศ์จีน ไม่มีวัดขนาดใหญ่ ไม่มีหินแกะสลัก หรือวัตถุทองคำระดับราชสำนัก ความงามของวังจึงอยู่ในความเรียบง่าย ใช้วัสดุจากธรรมชาติทั้งหมด เช่น ไม้สาละ ไม้ไผ่ อิฐดินเผา ใบจาก ดินโคลน อาจมีตกแต่งด้วยลายทอ หรืองานแกะไม้ในส่วนประตู หรือพื้นที่ประกอบพิธี
พื้นที่ปกครอง – จากศูนย์กลางเล็กสู่ความเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่
อาณาเขตของศากยะมีขนาดเทียบเท่า “เมืองรัฐ” ไม่ใช่อาณาจักร ขนาดโดยประมาณจากหลักฐานคือไม่เกิน 10–20 ตร.กม. โดยมีเมืองหลักคือกบิลพัสดุ์ และลุมพินีเป็นพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งอาจถือเป็นเขตเกษตรกรรม สนามฝึกอาวุธ หรือที่พักชั่วคราวของตระกูล
แม้พื้นที่จะเล็กและอำนาจจะจำกัด แต่เมืองนี้กลับเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทางศาสนาและจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
สิ่งที่เริ่มต้นจาก “ลูกเจ้าเมืองในวังดินไม้” กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางอริยสัจและธรรมจักรที่หมุนไปทั่วโลก
บทส่งท้าย: มนุษย์ที่กล้าก้าวออกจากวัง
เมื่อมองพระพุทธเจ้าในฐานะมนุษย์ตามความจริง – ท่านคือชายหนุ่มที่เกิดในวังไม้ของเจ้าเมืองระดับภูมิภาค ผู้ได้รับการศึกษาดี พอมีฐานะ และอยู่ในสังคมชนชั้นสูง แต่วันหนึ่งกลับเลือกเดินออกจากวัง ปลดเครื่องทรง ปลดอำนาจ และออกเดินเท้าเพื่อหาคำตอบว่าทำไมชีวิตถึงเป็นทุกข์
แหล่งอ้างอิง
-
Coningham, R. A. E., & Young, R. (2015). The Archaeology of South Asia: From the Indus to Asoka, c. 6500 BCE–200 CE. Cambridge University Press.
-
Bechert, H. (1995). When Did the Buddha Live? The Controversy on the Dating of the Historical Buddha. Sri Satguru Publications.
-
Gombrich, R. (2009). What the Buddha Thought. Equinox Publishing.
-
Witzel, M. (1995). Early Sanskritization: Origins and Development of the Kuru State. Electronic Journal of Vedic Studies, 1(4).
-
Ray, H.P. (1986). Monastery and Guild: Commerce under the Satavahanas. Oxford University Press.
-
Department of Archaeology, Government of Nepal. (2013). Tilaurakot Excavation Report.
-
Singh, U. (2008). A History of Ancient and Early Medieval India: From the Stone Age to the 12th Century. Pearson Education India.
-
Rhys Davids, T.W. (1911). Buddhist India. T. Fisher Unwin.
-
ศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม. (2542). รัฐและวัฒนธรรมโบราณในลุ่มน้ำโขง. มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์.
-
มูลนิธิพระพุทธศาสนาเถรวาท. (2560). พระพุทธเจ้าในฐานะมนุษย์ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์โพธิธรรม.