ประเทศไทยกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้างในระบบเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยดำรงสถานะเป็นรัฐที่มีต้นทุนแรงงานที่แข่งขันได้ โครงสร้างพื้นฐานทางอุตสาหกรรมที่พัฒนามาในระดับหนึ่ง และสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ถูกออกแบบมาเพื่อจูงใจการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์การหลั่งไหลของทุนจีนในช่วงหลังได้เผยให้เห็นถึงความเปราะบางเชิงนโยบายอย่างชัดเจน ซึ่งสะท้อนผ่านพฤติกรรมการใช้ประเทศไทยเป็นฐานผลิตชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการกีดกันทางการค้าจากประเทศพัฒนาแล้ว มากกว่าจะเป็นการลงทุนในเชิงสร้างสรรค์ที่นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจในระดับลึก
กลไกการสอดแทรกของทุนจีนภายใต้โครงสร้างเศรษฐกิจโลกใหม่
รูปแบบการตั้งโรงงานของจีนในไทยสะท้อนการใช้กลยุทธ์เชิงกลไกที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพสูง กล่าวคือ การนำเข้าวัตถุดิบทั้งหมดจากจีน ทำการแปรรูปในระดับต่ำที่สุดเท่าที่จะผ่านเกณฑ์ Rules of Origin (ROO) ได้ ใช้แรงงานจีนในสัดส่วนที่สูงหรือดำเนินการผ่านระบบแรงงานเงา และสุดท้ายส่งออกภายใต้ฉลาก "ผลิตในประเทศไทย" เพื่อรับสิทธิประโยชน์ตามข้อตกลง FTA ต่าง ๆ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยที่ประเทศไทยแทบไม่ได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจใด ๆ ในเชิงคุณภาพ
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการจดทะเบียนนิติบุคคลในรูปแบบที่ใช้บุคคลสัญชาติไทยเป็นผู้ถือหุ้นแทน (nominee) เพื่อเลี่ยงข้อจำกัดด้านสัดส่วนการถือหุ้นจากต่างชาติ ซึ่งสร้างปัญหาเชิงบูรณภาพทั้งในแง่ของการบังคับใช้กฎหมาย และการควบคุมกลไกทางเศรษฐกิจระยะยาว โดยทุนจีนจำนวนไม่น้อยดำเนินการในลักษณะนี้เพื่อแทรกซึมเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยโดยไม่มีภาระผูกพันทางสังคมหรืออุตสาหกรรม
ประเทศไทยได้อะไรในเชิงเศรษฐศาสตร์การเมือง?
หากพิจารณาภายใต้กรอบวิเคราะห์เชิงโครงสร้าง คำถามพื้นฐานที่ควรถามคือ: ประเทศไทยได้ผลตอบแทนอะไรบ้างจากการเปิดประตูให้ทุนลักษณะนี้?
-
วัตถุดิบและเครื่องจักรถูกนำเข้าจากประเทศแม่แบบปลอดภาษี
-
พลังงานใช้จากโซลาร์เซลล์ที่ผลิตในจีน โดยไม่พึ่งพาระบบพลังงานของรัฐไทย
-
แรงงานไทยถูกลดบทบาทหรือถูกจ้างในเงื่อนไขที่ต่ำกว่ามาตรฐานสากล ไม่มีการคุ้มครองแรงงานเทียบเท่าประเทศพัฒนาแล้ว
-
ค่าน้ำใช้ของรัฐถูกใช้ในราคาต่ำโดยไม่มีการจ่ายชดเชยด้านสิ่งแวดล้อมหรือสังคม
ในภาพรวม กลไกการผลิตเช่นนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้จากภาษี ไม่ก่อให้เกิดการสร้างงานที่ยั่งยืน ไม่มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี และไม่เชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศเลยแม้แต่น้อย กล่าวอย่างตรงไปตรงมา ประเทศไทยกลับกลายเป็นทางผ่านในการผลิตของทุนข้ามชาติ ซึ่งหากปล่อยให้สถานการณ์นี้ดำเนินต่อไป จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพเชิงระบบในระยะยาว
ญี่ปุ่น: กรณีศึกษาเชิงเปรียบเทียบ
การลงทุนโดยตรงจากญี่ปุ่นในไทยเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมที่แท้จริงของทุนต่างชาติในการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น บริษัทญี่ปุ่นจำนวนมากดำเนินการผลิตในไทยในระยะยาว โดยให้ความสำคัญกับการจ้างแรงงานไทย การฝึกอบรมภายในองค์กร การสร้าง R&D และการเชื่อมโยงกับผู้ผลิตไทยในห่วงโซ่อุปทานอย่างต่อเนื่อง
ยิ่งไปกว่านั้น นักลงทุนญี่ปุ่นยังมองประเทศไทยในฐานะหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ ไม่ใช่เพียงเครื่องมือชั่วคราวในการลดต้นทุน การดำเนินการเช่นนี้จึงไม่เพียงเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ภาคอุตสาหกรรมของไทย แต่ยังส่งผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีและทรัพยากรมนุษย์ในระยะยาว
นโยบายเชิงรุกที่รัฐไทยต้องพิจารณาอย่างเร่งด่วน
-
ยกระดับมาตรฐาน ROO – ควรทบทวนและยกระดับเกณฑ์แหล่งกำเนิดสินค้าให้สะท้อนมูลค่าเพิ่มที่แท้จริงภายในประเทศ
-
จัดการกับการใช้ nominee – ต้องมีกลไกเชิงสถาบันที่สามารถตรวจสอบความเป็นเจ้าของจริงของทุน เพื่อป้องกันการบิดเบือนโครงสร้างการถือครองธุรกิจในประเทศ
-
บังคับใช้มาตรฐานแรงงานอย่างเข้มงวด – การคุ้มครองแรงงานควรยกระดับขึ้นให้เทียบเท่ามาตรฐานแรงงานสากล พร้อมกลไกตรวจสอบและบทลงโทษที่เป็นรูปธรรม
-
ปรับเงื่อนไขสิทธิพิเศษของ BOI และเขตปลอดอากร – ให้เฉพาะนักลงทุนที่แสดงเจตจำนงในการถ่ายทอดเทคโนโลยี สร้างเครือข่ายซัพพลายเออร์ในประเทศ และยกระดับคุณภาพอุตสาหกรรมภายใน
-
ทบทวน FTA – ต้องมีมาตรการกำกับการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ FTA เพื่อไม่ให้เกิดการหลบเลี่ยงภาษีผ่านประเทศที่สาม และสร้างกลไกตรวจสอบร่วมกับประเทศคู่เจรจา
ทางแพร่งของไทยในระบบเศรษฐกิจโลก
ในท้ายที่สุด ไทยจำเป็นต้องนิยามตนเองใหม่ในระบบเศรษฐกิจโลก ว่าต้องการเป็นเพียงศูนย์กลางการประกอบสินค้าราคาถูก หรือจะกลายเป็นผู้เล่นที่สามารถกำหนดทิศทางเชิงเทคโนโลยีและนวัตกรรมได้ด้วยตนเอง หากรัฐยังคงละเลยการออกแบบนโยบายที่เข้มแข็งเพื่อตอบโต้ทุนที่เอาเปรียบ ประเทศจะตกอยู่ในภาวะพึ่งพาเชิงโครงสร้างโดยไม่มีโอกาสสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของตนเองได้อย่างแท้จริง
"อธิปไตยทางเศรษฐกิจของไทยจะไม่เกิดขึ้นจากตัวเลข GDP แต่ต้องวัดจากความสามารถในการควบคุมทรัพยากร วิถีผลิต และทิศทางของตนเองในระบบเศรษฐกิจโลก"
ถึงผู้กำหนดนโยบาย:
นี่คือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของระบบเศรษฐกิจไทย การนิ่งเฉยเท่ากับการยอมรับว่ารัฐไม่มีศักยภาพในการควบคุมทุนต่างชาติ เราจำเป็นต้องลุกขึ้นวางกติกาใหม่ กำหนดเงื่อนไขเชิงยุทธศาสตร์ และสร้างระบบที่ไม่เปิดช่องให้ทุนใดทุนหนึ่งใช้ประเทศนี้เป็นเพียงทางผ่านในการแสวงหากำไรอีกต่อไป