ระบบการเงินของประเทศไทยมีองค์ประกอบสำคัญอยู่ 2 ประเภทหลักที่ทำหน้าที่ต่างกันอย่างชัดเจน นั่นคือ "เงินคลัง" และ "เงินสำรองระหว่างประเทศ" ซึ่งแม้จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของภาครัฐเหมือนกัน แต่มีที่มา วัตถุประสงค์ วิธีใช้งาน และผู้บริหารจัดการต่างกันโดยสิ้นเชิง ในโลกปัจจุบันที่ประชาชนเริ่มสนใจประเด็นทางเศรษฐกิจและการเงินมากขึ้น ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเงินสองก้อนนี้จึงสำคัญมาก บล็อกนี้จะช่วยแยกแยะให้เห็นชัดว่าอะไรคืออะไร ใช้เมื่อใด เก็บไว้ที่ไหน และใครเป็นผู้ดูแล
เงินคลัง (Treasury Single Account: TSA)
เงินคลังคือเงินบาทที่รัฐบาลรวบรวมมาจากแหล่งรายได้ภายในประเทศ ทั้งจากภาษี รายได้ที่มิใช่ภาษี และการกู้ยืม แล้วนำไปฝากไว้ในบัญชีรวมเดียวที่เปิดไว้กับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งเรียกว่า Treasury Single Account หรือ TSA เพื่อใช้จ่ายตามงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่รัฐสภาอนุมัติ
แหล่งที่มาของเงินคลัง
-
รายได้จากภาษี: เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT), ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา, ภาษีนิติบุคคล, ภาษีศุลกากร เป็นต้น
-
รายได้ที่มิใช่ภาษี: เช่น ค่าธรรมเนียมราชการ ค่าปรับ การเก็บค่าบริการจากทรัพย์สินของรัฐ และเงินปันผลจากรัฐวิสาหกิจ
-
การกู้ยืม: รัฐบาลสามารถออกพันธบัตรหรือตราสารหนี้เพื่อระดมเงินเพิ่มเข้าคลัง โดยเฉพาะในกรณีที่มีงบประมาณขาดดุล
วิธีการใช้งานและลักษณะ
-
เงินใน TSA ใช้เพื่อจ่ายรายจ่ายประจำและลงทุนของรัฐ เช่น เงินเดือนข้าราชการ งบพัฒนาสาธารณูปโภค สวัสดิการสังคม ฯลฯ
-
เงินในบัญชีนี้ ไม่มีดอกเบี้ย เพราะไม่ได้ฝากไว้เพื่อสร้างผลตอบแทน แต่เป็นบัญชีใช้จ่ายจริงจังในเชิงนโยบาย
-
รัฐบาลไม่สามารถใช้เงิน TSA เกินกรอบงบประมาณที่รัฐสภาอนุมัติไว้ได้ เว้นแต่จะมีการออกกฎหมายเพิ่มเติมหรือประกาศใช้ พ.ร.ก. กู้เงินฉุกเฉิน
เงินสำรองระหว่างประเทศ (Foreign Exchange Reserves)
เงินสำรองระหว่างประเทศคือทรัพย์สินในรูปเงินตราต่างประเทศ ทองคำ และสินทรัพย์ระหว่างประเทศอื่น ๆ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยถือครองไว้ โดยมีเป้าหมายเพื่อดูแลเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจและค่าเงินบาท ไม่ใช่สำหรับใช้จ่ายในกิจกรรมประจำของรัฐบาล
แหล่งที่มาของเงินสำรอง
-
รายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการ: เมื่อประเทศไทยส่งออกสินค้า จะได้รับเงินตราต่างประเทศ เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ยูโร หรือเยนญี่ปุ่น
-
เงินลงทุนจากต่างประเทศที่ไหลเข้า: เช่น การลงทุนโดยตรง (FDI) หรือการลงทุนในตลาดทุนและตลาดเงินของไทย
-
การดำเนินการของธปท.: เช่น รายได้จากการถือพันธบัตรรัฐบาลต่างประเทศ รายได้ดอกเบี้ยจากสินทรัพย์ต่างประเทศ และทองคำ
การบริหารจัดการ
-
ธปท. มีหน้าที่ดูแลให้เงินสำรองอยู่ในระดับที่เพียงพอรองรับการนำเข้า การชำระหนี้ต่างประเทศ และสถานการณ์ฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ
-
แนวทางการลงทุนของเงินสำรองจะเน้น 3 ด้านหลัก: ความมั่นคง (Security), สภาพคล่อง (Liquidity), และผลตอบแทน (Return) โดยหลีกเลี่ยงความเสี่ยงสูง
-
เงินสำรองเหล่านี้ไม่สามารถนำมาใช้จ่ายโดยตรงกับโครงการรัฐ เช่น การสร้างถนน หรือจ่ายเงินเดือนข้าราชการ
-
รายได้จากการบริหารเงินสำรองที่เกินความจำเป็นจะถูกโอนคืนให้กระทรวงการคลังในภายหลัง
บทบาทของผู้จัดการเงินแต่ละประเภท
กระทรวงการคลัง
-
เป็นผู้กำหนดนโยบายการใช้จ่ายงบประมาณและวางกรอบงบประมาณรายปี
-
ทำหน้าที่จัดเก็บรายได้ของรัฐทั้งทางตรงและทางอ้อม และเป็นผู้ขออนุมัติการกู้เงินเมื่อจำเป็น
-
ควบคุมการเบิกจ่ายผ่านระบบบัญชี TSA โดยร่วมมือกับสำนักงบประมาณและกรมบัญชีกลาง
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
-
รับผิดชอบในการถือครองและบริหารเงินสำรองระหว่างประเทศตามหลักสากล
-
ทำหน้าที่ดูแลเสถียรภาพของระบบการเงินไทย เช่น การควบคุมอัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ย และดูแลภาวะเงินเฟ้อ
-
ทำหน้าที่เป็น “ธนาคารของรัฐ” โดยเปิดบัญชี TSA ไว้ให้กระทรวงการคลัง แต่ไม่ได้จ่ายดอกเบี้ยหรือใช้เงินนั้นในการลงทุนเหมือนธนาคารพาณิชย์
สรุปความเข้าใจแบบง่าย ๆ
-
เงินคลัง (TSA): คือเงินบาทที่รัฐบาลใช้จ่ายประจำปีตามงบประมาณที่รัฐสภาอนุมัติ ไม่มีดอกเบี้ย เก็บไว้กับ ธปท. เพื่อรอเบิกจ่าย
-
เงินสำรองระหว่างประเทศ: คือทรัพย์สินในสกุลเงินต่างประเทศและทองคำที่ ธปท. ใช้ดูแลเสถียรภาพของค่าเงินบาท ไม่ใช่เงินสำหรับใช้งานทั่วไปของรัฐบาล
การแยกบทบาทของเงินทั้งสองประเภทอย่างชัดเจนนี้สำคัญมาก เพราะจะช่วยให้ประชาชนเข้าใจว่ารัฐบาลไม่สามารถใช้ “เงินของชาติ” ได้ตามอำเภอใจ ทุกอย่างมีกรอบกฎหมาย มีหน่วยงานตรวจสอบ และมีวัตถุประสงค์ชัดเจนในการบริหาร เพื่อให้ระบบการเงินของประเทศเดินหน้าไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน