เมื่อพูดถึงหน่วยงานด้านวัฒนธรรมที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ "สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน)" หรือ SACIT มักถูกกล่าวถึงในบริบทของความสวยงามและการสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น ผ่านกิจกรรมเช่น การจัดนิทรรศการศิลปะ การฝึกอบรมช่างฝีมือ หรือการโปรโมตผ้าไทย แต่เบื้องหลังภาพลักษณ์เหล่านี้ มีคำถามสำคัญที่ควรถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณา: SACIT ใช้งบประมาณแผ่นดินอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่? และผลลัพธ์ที่อ้างถึงนั้นตรวจสอบได้แค่ไหน?
SACIT คือใคร และใช้งบประมาณอย่างไร?
SACIT เป็นองค์การมหาชนภายใต้กระทรวงวัฒนธรรม มีพันธกิจในการส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทยให้ก้าวสู่ตลาดสมัยใหม่ พร้อมอนุรักษ์ความเป็นรากเหง้าท้องถิ่น รายงานผลการดำเนินงานปี 2564 ระบุว่า SACIT ได้รับงบประมาณจากรัฐถึง 218,024,400 บาท แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากร 48 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายดำเนินงานอื่นกว่า 160 ล้านบาท
ด้านรายได้จริงจากกิจกรรมของหน่วยงาน กลับอยู่ที่เพียง 5,683,632 บาท โดยแยกเป็น:
-
ดอกเบี้ยเงินฝาก: 3.94 ล้านบาท
-
ค่าบริหารการขาย: 0.32 ล้านบาท
-
รายได้ค่าเช่าและค่าสาธารณูปโภค: 0.75 ล้านบาท
-
รายได้อื่น ๆ รวมค่าปรับ: ราว 0.67 ล้านบาท
เท่ากับว่า SACIT พึ่งพางบประมาณแผ่นดินมากกว่า 95% ของรายได้ทั้งหมด
มูลค่าที่อ้างถึง คิดจากอะไร?
ในรายงานเดียวกัน SACIT ระบุว่าตนเองสร้าง “มูลค่าทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม” ได้ถึง 384.45 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม รายงานไม่ได้อธิบายว่า “มูลค่า” เหล่านี้มาจากไหน วัดอย่างไร หรือใช้เกณฑ์ของใคร ไม่มีรายละเอียดว่าสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างเท่าใด หรือมีการประเมินผลภายนอกที่ตรวจสอบได้หรือไม่
คำถามที่เกิดขึ้นคือ:
-
ตัวเลข 384 ล้านนี้มาจากการวัดผลแบบใด?
-
มีหน่วยงานอิสระตรวจสอบหรือเป็นการประเมินภายใน?
-
ประชาชนหรือชุมชนได้รับผลลัพธ์ที่จับต้องได้อย่างไร?
บางฝ่ายอาจแย้งว่า “SACIT เป็นหน่วยงานของรัฐ ไม่ได้มีเป้าหมายแสวงหากำไร” ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่เข้าใจได้ในเชิงโครงสร้าง แต่การ “ไม่หวังกำไร” ไม่ควรถูกใช้เป็นเหตุผลเพื่อหลีกเลี่ยงการตั้งคำถามเรื่องประสิทธิภาพและความคุ้มค่าของงบประมาณรัฐที่ได้รับไปใช้ในแต่ละปี
หน่วยงานรัฐที่ไม่แสวงหากำไรก็ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน วัดผลได้ และแสดงความโปร่งใสต่อสาธารณะได้เช่นกัน
ในเมื่อ SACIT ได้รับงบประมาณปีละกว่า 200 ล้านบาท สิ่งที่ควรแสดงคือ “ผลลัพธ์” ที่จับต้องได้ เช่น การสร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างทักษะ หรือกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนในเชิงรูปธรรม และต้องมีเกณฑ์ที่ชัดเจนว่าการลงทุนในแต่ละโครงการนั้นให้ผลตอบแทนด้านสังคมหรือวัฒนธรรมอย่างไร หากไม่มีกำไรทางการเงิน ก็ควรมี “กำไรทางสาธารณะ” ที่สามารถตรวจสอบและประเมินผลได้จริง
ประเด็นที่ควรตั้งคำถาม
-
ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมอยู่ตรงไหน? มีสถิติหรือไม่ว่ากี่ครัวเรือนมีรายได้เพิ่มขึ้น หรือมีศิลปินกี่คนที่สามารถต่อยอดอาชีพได้จริง?
-
เนื้อหาโครงการเป็นเพียงพิธีกรรมหรือไม่? หลายกิจกรรมเน้นพิธีเปิด ปิด ประกวด แข่งขัน มากกว่าการวางรากฐานเศรษฐกิจชุมชนระยะยาว
-
ต้นทุนต่อผลลัพธ์โปร่งใสหรือเปล่า? หากใช้งบ 10 ล้านบาท มีผลกลับคืนเท่าไร และอย่างไร? คุ้มค่าหรือเพียงแค่ทำให้ดูดี?
-
วัฒนธรรมไม่ควรเป็นพื้นที่ปลอดการตรวจสอบ เพราะหากไม่มีมาตรวัดที่ชัดเจน อาจกลายเป็นช่องทางใช้จ่ายงบประมาณโดยไม่ถูกทวนสอบอย่างเข้มงวด
-
ข้อมูลต้องเข้าถึงได้จริง เช่น จำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม ค่าใช้จ่ายต่อหัว และอัตราการกลับมาใช้บริการซ้ำ ซึ่งควรถูกเปิดเผยในรูปแบบ open data
ถึงเวลาที่วัฒนธรรมต้องโปร่งใส
เราย่อมเห็นด้วยว่าวัฒนธรรมมีคุณค่า และศิลปหัตถกรรมไทยควรถูกสืบสาน แต่หน่วยงานที่ได้รับงบประมาณมหาศาลควรแสดงผลลัพธ์ที่ชัดเจน ตรวจสอบได้ และเปรียบเทียบได้ การใช้ถ้อยคำว่า “วัฒนธรรม” หรือ “ศิลปะ” ไม่ควรกลายเป็นเครื่องมือให้เลี่ยงการตรวจสอบ
SACIT ในฐานะองค์กรที่มีพันธกิจน่ายกย่อง ควรเป็นต้นแบบในการเปิดเผยข้อมูล ทั้งงบประมาณ การดำเนินงาน และผลสัมฤทธิ์ที่วัดได้จริง หากมูลค่าทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมมีอยู่จริง ก็ควรมีวิธีพิสูจน์และแสดงออกต่อสาธารณะได้อย่างเปิดเผย
เพราะเงินแผ่นดิน = เงินของประชาชน และทุกองค์กรที่ใช้เงินนั้น ต้องยืนอยู่ภายใต้แสงสว่างเดียวกัน.
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
-
รายงานผลการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (SACIT): sacit.or.th
-
พระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542
-
ฐานข้อมูลรายงานประเมินผลหน่วยงานรัฐของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)