เด็กบางคนชอบกลั่นแกล้งเพื่อน เด็กบางคนถูกกลั่นแกล้งจนไม่อยากไปโรงเรียน ครูบางคนเพิกเฉย พ่อแม่บางคนเลือกที่จะปกป้องโดยไม่มองพฤติกรรมที่แท้จริง และเมื่อสถานการณ์บานปลาย เรามักพูดว่า "น่าเห็นใจ" แล้วปล่อยผ่าน
แต่การกลั่นแกล้งไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย หากแต่มันคือกลไกทางสังคมที่ฝังรากลึกในสัญชาตญาณของมนุษย์ และยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้จะมีความพยายามในการแก้ไขปัญหานี้อย่างต่อเนื่อง แต่หลายครั้งกลับพบว่า...ยิ่งห้ามกลับยิ่งทวีความรุนแรง
ในบทความนี้ เราจะพาผู้อ่านย้อนกลับไปยังรากของพฤติกรรมมนุษย์ เพื่อเข้าใจว่าทำไมการกลั่นแกล้งจึงเกิดขึ้นง่ายและฝังลึก จากนั้นจะสำรวจถึงข้อจำกัดของระบบการลงโทษในปัจจุบัน พร้อมทั้งนำเสนอตัวอย่างจากต่างประเทศที่สามารถจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมตั้งคำถามปลายเปิดให้สังคมไทยได้พิจารณาร่วมกัน
1. สัญชาตญาณการกลั่นแกล้ง: เงามืดแห่งวิวัฒนาการ
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม การรวมกลุ่มช่วยให้เราอยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย แต่การอยู่ร่วมกันในกลุ่มใหญ่ก็จำเป็นต้องมีการจัดลำดับ ใครที่แตกต่าง อ่อนแอ หรือไม่สอดคล้องกับคนหมู่มาก มักจะถูกผลักออกโดยอัตโนมัติ ซึ่งกลไกนี้เองเป็นพื้นฐานของพฤติกรรมการกลั่นแกล้งในปัจจุบัน
ในอดีต การกีดกันคนที่แตกต่างอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อกลุ่ม แต่ในยุคปัจจุบันที่สังคมซับซ้อนขึ้น พฤติกรรมนี้กลับกลายเป็นเครื่องมือในการทำร้ายผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
2. การกลั่นแกล้ง: กลไกของผู้ที่ขาดความมั่นคงทางอารมณ์
ผู้ที่กลั่นแกล้งผู้อื่นหลายคน มักเคยเผชิญความเจ็บปวดหรือรู้สึกด้อยค่ามาก่อน การกระทำต่อผู้อื่นอย่างรุนแรงจึงกลายเป็นวิธีชดเชยความรู้สึกภายในของตนเอง เป็นการสร้างความรู้สึกเหนือกว่าชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับปมในใจ
สภาพแวดล้อมที่ขาดความอบอุ่น การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม หรือการเผชิญกับความรุนแรงในชีวิตประจำวัน ล้วนเพิ่มความเสี่ยงให้เด็กกลายเป็นผู้กระทำ ซึ่งหากไม่มีใครหยิบยื่นโอกาสในการเปลี่ยนแปลง พวกเขาก็อาจวนเวียนอยู่ในวัฏจักรแห่งความรุนแรงต่อไป
3. เหตุใดระบบการลงโทษจึงไม่สามารถจัดการปัญหาได้
ระบบการลงโทษในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย มักถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ โดยเฉพาะเมื่อไม่สามารถทำให้ผู้กระทำรู้สึกถึงผลลัพธ์ของการกระทำได้อย่างแท้จริง
-
มีการห้ามใช้ความรุนแรงทางร่างกาย แต่ไม่มีทางเลือกอื่นที่ได้ผลมาทดแทน
-
โรงเรียนไม่กล้าลงโทษรุนแรง เพราะเกรงผลกระทบต่อภาพลักษณ์
-
กฎหมายไม่เปิดช่องให้เด็กซ้ำชั้นแม้มีพฤติกรรมเสี่ยง
-
ขาดผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมเด็กที่สามารถดูแลอย่างใกล้ชิด
ในที่สุด เด็กที่มีพฤติกรรมรุนแรงก็ยังคงกระทำต่อไป โดยไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้อย่างแท้จริง ขณะที่เด็กคนอื่นในชั้นเรียนต้องใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย
4. เมื่อบทลงโทษไม่มีผลลัพธ์ เด็กก็เรียนรู้ว่า "ทำอะไรก็ได้"
เด็กเรียนรู้จากผลของการกระทำมากกว่าคำพูด หากทำผิดแล้วไม่มีผลลัพธ์ที่จับต้องได้ หรือได้รับเพียงคำเตือนเบา ๆ พวกเขาจะซึมซับว่า "สิ่งนี้ไม่ผิด" หรือ "ไม่มีใครทำอะไรได้"
พฤติกรรมนี้จึงทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อถึงจุดหนึ่งที่เกินควบคุม ก็อาจกลายเป็นภัยต่อสังคมในวงกว้าง
5. แนวทางจากต่างประเทศที่สามารถจัดการปัญหาได้
-
ฟินแลนด์: ใช้ระบบสนับสนุนแบบสหวิชาชีพ ครู นักจิตวิทยา และผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ เด็กที่มีพฤติกรรมเสี่ยงจะได้รับการดูแลเป็นรายกรณี โดยเน้นการป้องกันมากกว่ารอให้เกิดปัญหา
-
สิงคโปร์: มีระบบวินัยที่เข้มงวด เด็กที่กระทำผิดจะได้รับผลลัพธ์ที่ชัดเจน เช่น ตัดสิทธิ์สอบ พักการเรียน หรือในบางกรณีมีการใช้บทลงโทษทางร่างกายที่อยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย พร้อมกับการส่งต่อไปยังโรงเรียนเฉพาะทางเพื่อฟื้นฟูพฤติกรรม
-
ญี่ปุ่น: ใช้วัฒนธรรมแห่งความรับผิดชอบและการขอโทษ เด็กต้องเผชิญกับการสะท้อนความผิดในที่สาธารณะซึ่งส่งผลกระทบต่อจิตใจอย่างมาก ความอับอายกลายเป็นกลไกสำคัญในการควบคุมพฤติกรรม
-
สวีเดน: มุ่งเน้นการสร้างทักษะทางอารมณ์ เช่น ความเห็นอกเห็นใจ การควบคุมอารมณ์ และการสื่อสารเชิงสร้างสรรค์ ผ่านโปรแกรมที่ฝังอยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ
6. ประเทศไทยยังขาดอะไร?
-
ขาดอำนาจและเครื่องมือที่เพียงพอให้ครูรับมือกับพฤติกรรมรุนแรง
-
ขาดโรงเรียนหรือศูนย์เฉพาะทางสำหรับเด็กที่ต้องการการดูแลพิเศษ
-
ขาดผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมเด็กในโรงเรียนทั่วประเทศ
-
ขาดระบบติดตามพฤติกรรมเด็กที่เป็นมาตรฐาน และสามารถใช้งานร่วมกันระหว่างโรงเรียน
-
ขาดฐานข้อมูลพฤติกรรมที่ช่วยให้ครูสามารถวางแผนดูแลเด็กได้อย่างต่อเนื่อง
สถานศึกษาหลายแห่งจึงกลายเป็นพื้นที่ที่ครูต้องรับมือกับปัญหาลำพัง โดยไม่สามารถพึ่งพาระบบหรือความร่วมมือจากภายนอกได้อย่างเต็มที่
7. คำถามปลายเปิด: เราจะทำอย่างไร เมื่อการนิ่งเฉยส่งผลร้ายมากกว่าการเผชิญหน้า
หากเรายังคงหลีกเลี่ยงการจัดการกับพฤติกรรมที่รุนแรง หากเรายังปล่อยให้พ่อแม่ให้ท้ายลูกโดยไม่ใคร่ครวญ หากเรายังให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์มากกว่าความปลอดภัยของเด็กส่วนใหญ่
คำถามคือ เรากำลังสร้างโรงเรียนเพื่ออะไร?
เพื่อให้เด็กมีพื้นที่ในการเติบโต หรือเพียงเพื่อให้เด็กที่มีปัญหาได้อยู่รอดไปวัน ๆ?
หากเราไม่กล้าจัดการกับต้นเหตุ ไม่กล้าแยกพฤติกรรมที่ทำร้ายผู้อื่นออกจากระบบ แล้วเราจะสามารถปกป้องเด็กที่ตั้งใจเรียน และต้องการอนาคตที่ดีได้อย่างไร?
หากเราไม่กล้ายอมรับความจริงในวันนี้ สังคมอาจต้องจ่ายราคาที่หนักยิ่งกว่าในวันหน้า