วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2568

เกมการเมืองไทย: จากการเปลี่ยนตัวนายกฯ วันนี้ ถึงอนาคตที่อาจเกิดขึ้น

การเมืองไทยกำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออีกครั้ง เมื่อเกิดกระแสเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี โดยชื่อที่ถูกผลักดันขึ้นมาและแทบจะกลายเป็นความจริงแล้วคือ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นักการเมืองที่ถูกวางตัวในฐานะผู้เล่นสำคัญของกระดานนี้มานาน

คำถามใหญ่คือ — ทำไมอนุทินถึงมั่นใจกล้าเดินเกมใหญ่? ทำไมถึงดูแน่ใจว่าจะไม่สะดุดแม้เพื่อไทยพยายามยื่นยุบสภา? และอนาคตที่เหลืออยู่ราว 2 ปีของรัฐบาลนี้จะเดินไปในทิศทางไหน? หากมองให้ลึกลงไป การเปลี่ยนตัวนายกฯครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการสลับเก้าอี้ แต่คือการปรับโครงสร้างอำนาจที่สะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบการเมืองไทยที่แท้จริง


1. เรื่องโกหกที่คนเชื่อ และความจริงที่ถูกมองข้าม

ตลอดช่วงที่ผ่านมา มักมี narrative ที่ถูกผลิตซ้ำจนคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิด เช่นว่า

  1. เพื่อไทยสามารถยุบสภาได้ → แต่ในความจริง อำนาจยุบสภาเป็นสิทธิของนายกรัฐมนตรีที่อยู่ในตำแหน่งเท่านั้น พรรคการเมืองไม่มีสิทธิยื่นเอง และถ้านายกฯถูกศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ก็หมดสิทธิทันที

  2. นายกฯใหม่จะอยู่ได้เพียง 4 เดือน → เป็นการตีความที่ลดทอนความจริง เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดระยะเวลาใด ๆ การยุบสภาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของนายกฯฝ่ายเดียว จะยืดไปเป็นปีหรือมากกว่านั้นก็เป็นไปได้ หากยังคงรักษาฐานสนับสนุนได้

สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า คนจำนวนไม่น้อยคิดว่าตัวเองเข้าใจเกม แต่ความจริงกลับถูกครอบงำด้วยการเล่าเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง


2. อนุทิน: การเดินเกมที่ไม่เสี่ยงเปล่า

อนุทินไม่ใช่คนที่ยอมเสี่ยงเดินหมากใหญ่โดยไม่มีหลักประกัน การเสนอตัวเป็นนายกฯครั้งนี้สะท้อนว่าเขามี สัญญาณสนับสนุนจากผู้คุมเกมหลังม่าน ที่เพียงพอให้มั่นใจว่าจะไม่ล้มกลางทาง เพราะหากถูกตัดเกมกลางคัน จะเท่ากับเสียทั้งทุน เสียหน้า และเสียเครือข่ายการเมืองที่สร้างมา

นี่คือเหตุผลว่าทำไมการปัดตกเรื่องยุบสภาจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลของดีลที่ถูกออกแบบมาแล้ว เพื่อเปิดทางให้เขาขึ้นมาถือธงนำโดยไม่สะดุด


3. พรรคส้ม: ผู้แพ้ในเกมที่กติกาล็อก

แม้พรรคประชาชน (หรือพรรคส้ม) จะครองใจคนรุ่นใหม่และได้คะแนนเสียงมหาศาล แต่ก็เหมือนถูกขังอยู่ในกรงที่กติกาออกแบบไว้:

  • ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระสามารถใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือยุบหรือสกัดได้ทุกเมื่อ

  • ส.ว.ไม่เคยเปิดทางให้

  • อำนาจยุบสภาอยู่ในมือนายกฯ ไม่ใช่ในมือฝ่ายค้าน

ผลคือ คะแนนดิบมหาศาลไม่สามารถแปลงเป็นอำนาจจริงได้ และฐานคะแนนก็ไม่ขยายเพราะขาดงบประมาณท้องถิ่นหรืออำนาจแต่งตั้งข้าราชการ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสร้างฐานเสียงในระบบการเมืองไทย

ต่อให้เลือกใช้วิธีใด — อภิปรายไม่ไว้วางใจ ลงถนน หรือแม้แต่ดีลใต้โต๊ะ — ผลลัพธ์ก็แทบไม่เปลี่ยนเกมหลักได้ เพราะสนามแข่งขันถูกออกแบบให้พวกเขาแพ้ตั้งแต่ต้น


4. ดีลเก่าหมดค่า ดีลใหม่มาแทน

  • เพื่อไทย เคยเป็นตัวแสดงหลักเพราะดีลกับผู้คุมกติกาหลังม่าน แต่เวลานี้ดีลนั้นหมดอายุลง และพรรคถูกบีบให้กลายเป็นผู้เล่นสมทบ

  • ภูมิใจไทย ขึ้นมาเป็นตัวเลือกใหม่ที่น่าเชื่อถือกว่า และพร้อมทำงานตามที่กำหนด

  • ส้ม ถูกกันออกไปตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะได้คะแนนเท่าไร ก็ไม่ถูกรวมเข้ามาอยู่ในดีล

นี่คือความจริงอันเจ็บปวดว่า ประชาชนโหวตให้ตายก็สู้ดีลลับไม่ได้ เพราะระบบไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อให้ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ แต่เพื่อให้เป็นเพียงผู้ชมในเกมที่ถูกจัดฉากไว้แล้ว


5. Scenario: ถ้าอนุทินอยู่จนครบวาระที่เหลือ (2 ปี)

ปีแรก: ตั้งหลักและเก็บแต้ม

  • รัฐบาลผสม น้ำเงิน + แดง เกิดขึ้น เพื่อไทยถูกลดบทบาทเป็นแค่พรรคสมทบ

  • นโยบายหลัก: กัญชาการแพทย์, งบท้องถิ่น, สาธารณสุข, ถนน โรงพยาบาล

  • ผลักดันการท่องเที่ยว Wellness / Medical Tourism เพื่อดึงรายได้เข้าประเทศ

  • ขยาย Free Zone ดึงทุนจีน-อาหรับ เสริมเศรษฐกิจ

  • พรรคส้มเจอแรงกดดันจากคดี อาจถึงขั้นยุบพรรคหรือตัดสิทธิ์แกนนำ

ปีที่สอง: บล็อกคู่แข่งและเตรียมเลือกตั้ง

  • ใช้กฎหมายพิเศษ เช่น 112 และกฎหมายไซเบอร์เพื่อจำกัดฝ่ายค้าน

  • กระจายงบท้องถิ่นอย่างมีเป้าหมาย เพื่อซื้อใจฐานเสียงก่อนเลือกตั้ง

  • ประชานิยมจัดหนัก: บัตรสวัสดิการเวอร์ชันใหม่, Mega Project, โครงการหมู่บ้านสุขภาพ

  • ใช้อำนาจควบคุมข้าราชการและ กกต. เพื่อจัดการสนามเลือกตั้งให้มั่นใจว่าไม่สะดุด

นโยบายที่จะเห็นชัด:

  • สุขภาพและการแพทย์ (ต่อยอดจากเครดิตเดิม)

  • กัญชาเสรีในกรอบควบคุมมากขึ้น

  • ประชานิยมที่จับต้องได้จริง เช่น เงินอุดหนุนตรงถึงชุมชน

  • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงกับทุนต่างชาติ โดยเฉพาะจีนและอาหรับ

  • คุมเข้มเสรีภาพทางการเมืองและออนไลน์ เพื่อปิดทางเสียงวิจารณ์


6. เลือกตั้งรอบหน้า (2027)

เมื่อครบวาระรัฐบาล โฉมหน้าการเลือกตั้งที่เป็นไปได้คือ:

  • ภูมิใจไทย → ได้เปรียบอย่างมหาศาล อาจคว้าที่นั่งเกิน 150 ขึ้นไป เป็นแกนนำตั้งรัฐบาลต่อ

  • เพื่อไทย → ฐานเสียงลดลงเหลือราว 80–100 ที่นั่ง และอาจต้องแตกพรรคใหม่เพื่อเอาตัวรอด

  • ส้ม → ถ้าไม่โดนยุบ ยังได้คะแนนดิบสูงสุด แต่ระบบเลือกตั้งทำให้ที่นั่งเหลือไม่เกิน 120 ถ้าโดนยุบก็ต้องตั้งพรรคใหม่ ซึ่งเสียต้นทุนเวลาและทรัพยากร

  • พรรคเล็ก → กลายเป็นเศษคะแนนที่ถูกดูดเข้าร่วมรัฐบาลน้ำเงินเพื่อสร้างเสียงข้างมาก

สมการรัฐบาลหลังเลือกตั้ง → อนุทินยังคงได้เปรียบ เพราะมีทั้งงบประมาณ ทุนทางการเมือง และสัญญาณสนับสนุนจากผู้คุมเกมหลังม่าน


7. ผลลัพธ์ที่ประชาชนต้องเผชิญ

ประชาชนอาจได้รับผลประโยชน์ระยะสั้น เช่น โครงการแจกเงิน งบท้องถิ่น หรือโครงสร้างพื้นฐานใหม่ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจที่แท้จริง การเลือกตั้งยังเป็นเพียงพิธีกรรมเพื่อสร้างภาพประชาธิปไตย ขณะที่ผู้คุมเกมหลังม่านยังคงเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดว่าใครจะได้ครองเก้าอี้

ผลลัพธ์คือความผิดหวังซ้ำซาก: ประชาชนได้สิทธิเลือกตั้ง แต่ไม่ได้สิทธิเลือกผู้นำจริง ๆ


บทสรุป

สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือการเมืองไทยในรูปแบบที่เล่นซ้ำมาไม่รู้กี่ยุคสมัย: ประชาชนเลือกใครก็เลือกไป แต่ผู้ที่จะได้นั่งเก้าอี้นายกฯจริง ๆ คือตัวเลือกที่ระบบคัดสรรไว้แล้ว

การเปลี่ยนตัวนายกฯครั้งนี้จึงไม่ใช่การปฏิรูปหรือการก้าวไปข้างหน้า แต่คือการปรับสมดุลใหม่ระหว่างพรรคการเมืองกับอำนาจหลังม่าน เพื่อสร้างเสถียรภาพตามที่ผู้มีอำนาจต้องการ และถ้า scenario เดินตามที่คาด อนุทินอาจกลายเป็น “ประยุทธ์เวอร์ชันใหม่” ที่อยู่จนครบวาระ และพร้อมต่อยอดเพื่อเตรียมเข้าสู่วาระใหม่ด้วยความมั่นใจ


เกมการเมืองไทย: จากการเปลี่ยนตัวนายกฯ วันนี้ ถึงอนาคตที่อาจเกิดขึ้น

การเมืองไทยกำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออีกครั้ง เมื่อเกิดกระแสเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี โดยชื่อที่ถูกผลักดันขึ้นมาและแทบจะกลายเป็นความจริงแล...