การเมืองไทยกำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออีกครั้ง เมื่อเกิดกระแสเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี โดยชื่อที่ถูกผลักดันขึ้นมาและแทบจะกลายเป็นความจริงแล้วคือ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นักการเมืองที่ถูกวางตัวในฐานะผู้เล่นสำคัญของกระดานนี้มานาน
คำถามใหญ่คือ — ทำไมอนุทินถึงมั่นใจกล้าเดินเกมใหญ่? ทำไมถึงดูแน่ใจว่าจะไม่สะดุดแม้เพื่อไทยพยายามยื่นยุบสภา? และอนาคตที่เหลืออยู่ราว 2 ปีของรัฐบาลนี้จะเดินไปในทิศทางไหน? หากมองให้ลึกลงไป การเปลี่ยนตัวนายกฯครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการสลับเก้าอี้ แต่คือการปรับโครงสร้างอำนาจที่สะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบการเมืองไทยที่แท้จริง
1. เรื่องโกหกที่คนเชื่อ และความจริงที่ถูกมองข้าม
ตลอดช่วงที่ผ่านมา มักมี narrative ที่ถูกผลิตซ้ำจนคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิด เช่นว่า
-
เพื่อไทยสามารถยุบสภาได้ → แต่ในความจริง อำนาจยุบสภาเป็นสิทธิของนายกรัฐมนตรีที่อยู่ในตำแหน่งเท่านั้น พรรคการเมืองไม่มีสิทธิยื่นเอง และถ้านายกฯถูกศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ก็หมดสิทธิทันที
-
นายกฯใหม่จะอยู่ได้เพียง 4 เดือน → เป็นการตีความที่ลดทอนความจริง เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดระยะเวลาใด ๆ การยุบสภาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของนายกฯฝ่ายเดียว จะยืดไปเป็นปีหรือมากกว่านั้นก็เป็นไปได้ หากยังคงรักษาฐานสนับสนุนได้
สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า คนจำนวนไม่น้อยคิดว่าตัวเองเข้าใจเกม แต่ความจริงกลับถูกครอบงำด้วยการเล่าเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง
2. อนุทิน: การเดินเกมที่ไม่เสี่ยงเปล่า
อนุทินไม่ใช่คนที่ยอมเสี่ยงเดินหมากใหญ่โดยไม่มีหลักประกัน การเสนอตัวเป็นนายกฯครั้งนี้สะท้อนว่าเขามี สัญญาณสนับสนุนจากผู้คุมเกมหลังม่าน ที่เพียงพอให้มั่นใจว่าจะไม่ล้มกลางทาง เพราะหากถูกตัดเกมกลางคัน จะเท่ากับเสียทั้งทุน เสียหน้า และเสียเครือข่ายการเมืองที่สร้างมา
นี่คือเหตุผลว่าทำไมการปัดตกเรื่องยุบสภาจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลของดีลที่ถูกออกแบบมาแล้ว เพื่อเปิดทางให้เขาขึ้นมาถือธงนำโดยไม่สะดุด
3. พรรคส้ม: ผู้แพ้ในเกมที่กติกาล็อก
แม้พรรคประชาชน (หรือพรรคส้ม) จะครองใจคนรุ่นใหม่และได้คะแนนเสียงมหาศาล แต่ก็เหมือนถูกขังอยู่ในกรงที่กติกาออกแบบไว้:
-
ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระสามารถใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือยุบหรือสกัดได้ทุกเมื่อ
-
ส.ว.ไม่เคยเปิดทางให้
-
อำนาจยุบสภาอยู่ในมือนายกฯ ไม่ใช่ในมือฝ่ายค้าน
ผลคือ คะแนนดิบมหาศาลไม่สามารถแปลงเป็นอำนาจจริงได้ และฐานคะแนนก็ไม่ขยายเพราะขาดงบประมาณท้องถิ่นหรืออำนาจแต่งตั้งข้าราชการ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสร้างฐานเสียงในระบบการเมืองไทย
ต่อให้เลือกใช้วิธีใด — อภิปรายไม่ไว้วางใจ ลงถนน หรือแม้แต่ดีลใต้โต๊ะ — ผลลัพธ์ก็แทบไม่เปลี่ยนเกมหลักได้ เพราะสนามแข่งขันถูกออกแบบให้พวกเขาแพ้ตั้งแต่ต้น
4. ดีลเก่าหมดค่า ดีลใหม่มาแทน
-
เพื่อไทย เคยเป็นตัวแสดงหลักเพราะดีลกับผู้คุมกติกาหลังม่าน แต่เวลานี้ดีลนั้นหมดอายุลง และพรรคถูกบีบให้กลายเป็นผู้เล่นสมทบ
-
ภูมิใจไทย ขึ้นมาเป็นตัวเลือกใหม่ที่น่าเชื่อถือกว่า และพร้อมทำงานตามที่กำหนด
-
ส้ม ถูกกันออกไปตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะได้คะแนนเท่าไร ก็ไม่ถูกรวมเข้ามาอยู่ในดีล
นี่คือความจริงอันเจ็บปวดว่า ประชาชนโหวตให้ตายก็สู้ดีลลับไม่ได้ เพราะระบบไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อให้ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ แต่เพื่อให้เป็นเพียงผู้ชมในเกมที่ถูกจัดฉากไว้แล้ว
5. Scenario: ถ้าอนุทินอยู่จนครบวาระที่เหลือ (2 ปี)
ปีแรก: ตั้งหลักและเก็บแต้ม
-
รัฐบาลผสม น้ำเงิน + แดง เกิดขึ้น เพื่อไทยถูกลดบทบาทเป็นแค่พรรคสมทบ
-
นโยบายหลัก: กัญชาการแพทย์, งบท้องถิ่น, สาธารณสุข, ถนน โรงพยาบาล
-
ผลักดันการท่องเที่ยว Wellness / Medical Tourism เพื่อดึงรายได้เข้าประเทศ
-
ขยาย Free Zone ดึงทุนจีน-อาหรับ เสริมเศรษฐกิจ
-
พรรคส้มเจอแรงกดดันจากคดี อาจถึงขั้นยุบพรรคหรือตัดสิทธิ์แกนนำ
ปีที่สอง: บล็อกคู่แข่งและเตรียมเลือกตั้ง
-
ใช้กฎหมายพิเศษ เช่น 112 และกฎหมายไซเบอร์เพื่อจำกัดฝ่ายค้าน
-
กระจายงบท้องถิ่นอย่างมีเป้าหมาย เพื่อซื้อใจฐานเสียงก่อนเลือกตั้ง
-
ประชานิยมจัดหนัก: บัตรสวัสดิการเวอร์ชันใหม่, Mega Project, โครงการหมู่บ้านสุขภาพ
-
ใช้อำนาจควบคุมข้าราชการและ กกต. เพื่อจัดการสนามเลือกตั้งให้มั่นใจว่าไม่สะดุด
นโยบายที่จะเห็นชัด:
-
สุขภาพและการแพทย์ (ต่อยอดจากเครดิตเดิม)
-
กัญชาเสรีในกรอบควบคุมมากขึ้น
-
ประชานิยมที่จับต้องได้จริง เช่น เงินอุดหนุนตรงถึงชุมชน
-
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงกับทุนต่างชาติ โดยเฉพาะจีนและอาหรับ
-
คุมเข้มเสรีภาพทางการเมืองและออนไลน์ เพื่อปิดทางเสียงวิจารณ์
6. เลือกตั้งรอบหน้า (2027)
เมื่อครบวาระรัฐบาล โฉมหน้าการเลือกตั้งที่เป็นไปได้คือ:
-
ภูมิใจไทย → ได้เปรียบอย่างมหาศาล อาจคว้าที่นั่งเกิน 150 ขึ้นไป เป็นแกนนำตั้งรัฐบาลต่อ
-
เพื่อไทย → ฐานเสียงลดลงเหลือราว 80–100 ที่นั่ง และอาจต้องแตกพรรคใหม่เพื่อเอาตัวรอด
-
ส้ม → ถ้าไม่โดนยุบ ยังได้คะแนนดิบสูงสุด แต่ระบบเลือกตั้งทำให้ที่นั่งเหลือไม่เกิน 120 ถ้าโดนยุบก็ต้องตั้งพรรคใหม่ ซึ่งเสียต้นทุนเวลาและทรัพยากร
-
พรรคเล็ก → กลายเป็นเศษคะแนนที่ถูกดูดเข้าร่วมรัฐบาลน้ำเงินเพื่อสร้างเสียงข้างมาก
สมการรัฐบาลหลังเลือกตั้ง → อนุทินยังคงได้เปรียบ เพราะมีทั้งงบประมาณ ทุนทางการเมือง และสัญญาณสนับสนุนจากผู้คุมเกมหลังม่าน
7. ผลลัพธ์ที่ประชาชนต้องเผชิญ
ประชาชนอาจได้รับผลประโยชน์ระยะสั้น เช่น โครงการแจกเงิน งบท้องถิ่น หรือโครงสร้างพื้นฐานใหม่ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจที่แท้จริง การเลือกตั้งยังเป็นเพียงพิธีกรรมเพื่อสร้างภาพประชาธิปไตย ขณะที่ผู้คุมเกมหลังม่านยังคงเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดว่าใครจะได้ครองเก้าอี้
ผลลัพธ์คือความผิดหวังซ้ำซาก: ประชาชนได้สิทธิเลือกตั้ง แต่ไม่ได้สิทธิเลือกผู้นำจริง ๆ
บทสรุป
สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือการเมืองไทยในรูปแบบที่เล่นซ้ำมาไม่รู้กี่ยุคสมัย: ประชาชนเลือกใครก็เลือกไป แต่ผู้ที่จะได้นั่งเก้าอี้นายกฯจริง ๆ คือตัวเลือกที่ระบบคัดสรรไว้แล้ว
การเปลี่ยนตัวนายกฯครั้งนี้จึงไม่ใช่การปฏิรูปหรือการก้าวไปข้างหน้า แต่คือการปรับสมดุลใหม่ระหว่างพรรคการเมืองกับอำนาจหลังม่าน เพื่อสร้างเสถียรภาพตามที่ผู้มีอำนาจต้องการ และถ้า scenario เดินตามที่คาด อนุทินอาจกลายเป็น “ประยุทธ์เวอร์ชันใหม่” ที่อยู่จนครบวาระ และพร้อมต่อยอดเพื่อเตรียมเข้าสู่วาระใหม่ด้วยความมั่นใจ