วันอาทิตย์, มิถุนายน 14, 2558

สิ่งที่ได้รู้เมื่อไปเบลเยียม...

เมื่อวันที่ 30/5/2558 - 4/5/2558 ที่ผ่านมา ผมได้เดินทางไปประเทศเบลเยียม ด้วยความอนุเคราะห์ของบริษัทที่ทำงาน ที่ส่งไปช่วยงานเจ้านายช่วยพาลูกค้าไปดูงานที่นั่น
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ได้รู้ และอยากเอามาบันทึกเอาไว้ อาทิเช่น...
- เมืองที่ไปคือเมือง Roeselare คนใช้ภาษา Dutch กันเป็นหลัก แต่ก็พูดภาษาอังกฤษกันได้แทบทุกคน สื่อสารได้สบายมาก...
- คนที่นี่ไม่ค่อยมีปัญหากับคนต่างเชื้อชาติ ไม่มีใครทำท่ารังเกียจ ที่เจอแทบทั้งหมดนิสัยดี บ้านเมืองดูปลอดภัย...
- ตอนไปอากาศ 18 องศา และค่อยๆ ลดลงทุกวัน จนวันจะกลับเหลือ 10 องศา ลมแรงสะใจ สลับฝนตกแบบปรอยๆ เป็นระยะ หนาวสะใจมากๆ...
- ไปซื้อซิมที่ร้าน Base ไว้เล่นเน็ต 20 euro ได้ 2 GB คุ้มสุดละ แต่สัญญาณบางจุดไม่ค่อยดี ถ้าสัญญาณดีสุดน่าจะ proximus แต่แพงมาก 10 euro ได้แค่ 500 MB
- ในโรงแรมสามดาวจะมี wifi ให้เล่นเน็ตฟรีเป็นปกติ ความเร็วก็ราว 20-30 MB/s ถือว่าดีเลย
- ค่าโรงแรมในเมืองบ้านนอกอย่าง Roeseleare ราวๆ คืนละ 75 euro แต่ในเมืองหลวงอย่าง brussel แบบใจกลางเมือง คืนละ 200 euro...
- ฝรั่งก็หนาวเป็น นี่เป็นคำถามที่ค้างคาใจมานานมากว่า ฝรั่งที่อยู่ในประเทศเมืองหนาว เขารู้สึกหนาวกันบ้างหรือเปล่า หรือเขาจะมีภูมิต้านทานความหนาวสูงกว่าคนประเทศเขตร้อนแบบเราๆ  พอไปถึง ก็ได้เห็นว่า ฝรั่งก็ใส่เสื้อกันหนาวเหมือนเรานี่แหละ ใส่กันทุกคน ใส่หนาด้วย ก็อนุมานได้ว่า เขาก็น่าจะรู้สึกหนาวเหมือนเรานี่แหละ
- ถนนหนทางไม่ได้มีทางเท้ายกเป็นสัน รถวิ่งขึ้นมาจอดได้ แต่ไม่มีคนวางขายของเกะกะ และรถที่จอดก็ต้องหยอดเหรียญจ่ายค่าจอดด้วย
- ตามพื้นยังพอมีก้นบุหรี่หรือเศษขยะเล็กๆ บ้าง แต่ก็มีรถดูดขยะออกมาปั่นกวาดทุกเช้า
- มีรถเก็บขยะ และดูดท่อระบายน้ำให้สะอาด สัปดาห์ละครั้้งตอนเช้าๆ วันพุธเย็นๆ นี่เขาเอาถุงขยะออกมากองเต็มทางเท้าเลย รอรถมาเก็บ
- ช่วงที่ไปเป็นต้นเดือนมิถุนา หรือเดือน 6 เขาบอกปกติจะเริ่มเข้าหน้าร้อน เช้าก็สว่างราวหกโมงปกติ แต่มืดช้ามาก สองทุ่มนี่พระอาทิตย์ยังแยงตาอยู่ที่มุมยอดตึก 40 องศาอยู่เลย กว่าจะมืดสลัว ก็ราวสี่ทุ่มกว่าไปแล้ว มีเวลาเดินเล่นเยอะมาก...
- แต่ปัญหาคือร้านค้าที่นี่แทบทุกร้าน เปิด 9:30 และปิด 18:30 จะเอาเวลาไหนไปซื้อของทัน โหดมาก...
- ร้านอาหารนี่ น่าจะมีคนทำงานสองสามคนเท่านั้น คนทำอาหารคน คนเสริฟอีกคน คนเสริฟนี่โหดมาก ต้องทำทุกอย่าง ทั้งรับออเดอร์ จัดโต๊ะ เสริฟอาหาร เก็บจาน เก็บเงิน ทอนเงิน ครบเลย ใช้คุ้มสุดๆ...
- เบียร์ หรือน้ำอัดลม หรือน้ำเปล่า ขายราคาเท่ากันหมด ประมาณ 2-3 ยูโร แล้วแต่ร้าน แล้วใครจะกินน้ำเปล่าละครับ...
- สมเป็นเมืองเบียร์คือมีเบียร์ให้เลือกเยอะมาก ทั้งท้องถิ่นและจากที่อื่นหลายยี่ห้อ หลายแบบทั้งใส ขุ่น และเบียร์ผลไม้สีเข้ม กินให้หมดตัวก็ไม่ครบ...
- อาหารที่มาแล้วต้องกินคือหอยแมลงภู่อบซอสในหม้อ จำชื่อไม่ได้ละ อะไร muscel นี่แหละ มีซอสให้เลือกหลายอย่าง บ้างแนะนำซอสไวน์ขาว แต่ผมว่าซอสกระเทียมอร่อยกว่า ให้มาทีหอยเต็มหม้อ แกะกินไป กว่าจะหมด อิ่มพอดี...
- อาหารเคียงที่มีแทบทุกมื้อคือ frite หรือมันฝรั่งทอด ราคารวมในอาหารจานหลัก ที่นี่จะทอดชิ้นใหญ่ๆ หนาๆ จิ้มมายองเนส หรือซอสมะเขือเทศแล้วแต่เรา ให้มาทีจานใหญ่ๆ กินกันจุกก็ไม่หมด...
- อาหารเฉลี่ยจานละ 20 euro ถูกแพงกว่านี้ไม่มาก ถ้ากินอาหารจีนหรือไทยจะถูกกว่าอาหารอิตาลี...
- ภาษี VAT โหดร้ายมาก เจอ 21% เวลากินอาหารหรือซื้อของ พวกไปอีกเพียบเลย
- แถมหลายร้านก็บวก service charge เพิ่มไปอีก...
- และบางร้าน พนักงานเสริฟ ยังขอทิปอีก... ก็ให้นะ เห็นว่าทำงานดี...
- กินมาหลายมื้อ ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าอาหารประจำที่ชาวเบลเยียมกินกันคืออะไร เพราะเจอแต่อาหารอิตาลี อาหารจีน และอาหารไทย... -_-"
- ขนมปังพวกครัวซองต์อร่อยมาก หอมสุดๆ
- ถ้าไม่สนใจบรรยากาศ ไปซื้อของกินหรือเบียร์ที่ซุปเปอร์มาเก็ต ถูกกว่าพอสมควร...
- ของที่นั่นถูกมาก ใช่ครับ ของที่นั่นถูกจริงๆ เทียบเป็นเงินไทยแล้วก็ยังถูก ไม่ว่าจะของกินของใช้ เสื้อผ้าอาหาร เทียบกันแล้ว จ่ายราคาเท่าเรา บางอย่างถูกกว่าด้วยซ้ำ อย่างขนมปังครัวซองต์อย่างอร่อย ซื้อจากเบเกอรี่ชิ้นละ 1 euro หรือ waffle ที่เป็นของดัง ก็ชิ้นละ 2 euro ยกเว้นที่มีโปะหน้า ก็ขึ้นเป็นสามสี่ยูโรไปแล้วแต่หน้า ไปได้ฮู้ดทับกันหนาวมาตัวละ 25.99 euro ตกพันเดียว ในไทยนี่น้อยๆ ต้องมีพันกลางๆ เสื้อกันหนาวแบบกันละอองฝนก็ราคาพอกัน เสื้อกันหนาวแบบหนังดีๆ สวยๆ ตัวละไม่เกิน 6,000 บาท รองเท้ากระเป๋า ถูกไปหมด กระเป๋า kipling ในไทย คิดแล้วบวกราคาเท่านึงของที่นั่นเลย
- ในห้างมีขายของฝากเวลาไปบ้านเพื่อนยอดฮิต 3 อย่างอยู่หน้าร้านคือ ช็อกโกแลต เหล้า และดอกไม้...
- ดอกกุหลาบขายดอกละ 20 บาท ไม่แพงเลย...
- รถเข็นชอปปิ้งที่นี่เจ๋งดี เป็นตะกร้าพลาสติกใหญ่ๆ ที่มีล้อ สามารถหิ้วได้ หรือจะดึงหูหิ้วด้านยาวออกมาลากเป็นรถเข็นก็ได้ สะดวกดี ไม่กินที่ด้วย...
- คนที่นี่ซื้อของไม่ค่อยเอาถุงพลาสติก แต่จะเอากระเป๋ามาใส่กันเอง บ้างก็เอากระเป๋าหิ้วใหญ่ๆ บ้างก็เอากระเป๋าแบบรถเข็นวางไว้หน้าร้าน ซื้อเสร็จก็ถ่ายของจากตระกร้าไปใส่กระเป๋าตัวเองแล้วเข็นกลับบ้าน...
- ในย่านท่องเที่ยว คนขายในร้านช็อกโกแลตมีแต่สาวจีนยืนขาย คาดว่าเพราะมีคนจีนมาเยอะมาก...
- รถไฟระหว่างเมือง นั่งวันเสาร์อาทิตย์ มีตั๋วแบบ weekend ราคาไปกลับไปเมือง Brugge แค่ 6 euro ถูกดี...
- แท็กซี่แบบเอกชนเหมาคันรถตู้ คิดแบบ fix rate ที่ 65 euro ไปหลายคนคุ้มกว่า...

เท่าที่นึกออกก็ประมาณนี้ ถ้านึกอะไรออกค่อยมาเพิ่มละกัน...

วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 21, 2558


ชินแล้วครับ มันเป็นชีวิตของผมไปแล้ว
อย่าไปเครียด ผมอยู่ตัวแล้ว มันติดก็ธรรมดา ข้างหน้ามันก็โล่ง
วันไหนไม่ได้ขับสิ อยู่ไม่ได้เลย ต้องลุกขึ้นมานั่งหลังพวงมาลัย
ไปไหนก็ไป เปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ ได้ประสบการณ์
วันนี้วิ่งแถวนี้ อาจมีคนเรียกไปนนท์ต่อก็ได้ ผมก็ไปหมด
พวกที่บ่น พวกที่ไม่ไป เขาแค่คิดคำนวนไม่เป็น
ผมสบายๆ เริ่มจากเงินตัวเองร้อยเดียว ขับๆ ไป มันก็เพิ่มสองร้อยสามร้อย
ทุกวันนี้ล้อหมุนผมก็ได้เงิน ไม่กิน ไม่เล่น ไม่เที่ยว ยังไงมันก็เหลือ
เติมแก๊ส ล้างรถเสร็จ ไม่มีคนไป ผมก็วิ่งรถต่ออีกกะ
ผมขับควง 2 กะสบายๆ ชินแล้ว รู้จังหวะตัวเอง
เข้าปั๊มล้างหน้า ไม่ไหวก็จอดปรับเบาะเอนหลังสักชั่วโมง เดี๋ยวก็สดชื่นออกไปขับได้ต่อ

วันจันทร์, กุมภาพันธ์ 02, 2558

ชีวิตในชายผ้าเหลืองของข้าพเจ้า - 4 - ลาสิกขามาแล้วครับ...

ลาสิกขาออกมาแล้วครับ...

ไม่ต้องตกใจว่าเรื่องจะตัดจบสั้นจุ๊ดจู๋เหลือแค่นี้นะครับ
แต่พอดีว่า ลาสิกขา หรือสึกออกจากการเป็นพระมาแล้ว ก็เลยจะขอเขียนถึงความรู้สึกเสียก่อน

ได้บวชระยะสั้นๆ 15 วัน ตามที่ตั้งใจไว้แต่แรกครับ
มีเรื่องที่ได้เรียนรู้มากพอสมควรสำหรับเวลาอันน้อยนิดขนาดนี้

หลังจากสึกกลับมาบ้านแค่วันสองวัน รู้สึกได้ทันทีเลยครับ
ว่าโลกที่เราอาศัยกันอยู่ ชีวิตที่ไม่ได้เป็นสมณะ นั่นวุ่นวายขนาดไหน

เทียบเอาตามความรู้สึกของใจ หรือเรียกว่าจับเอาจากจิตตามภาษาธรรมนั่นแหละครับ
ถึงตอนที่บวชอยู่ จะมีเรื่องมากระทบใจให้กระเพื่อมขึ้นลงอยู่บ้างตามประสา
เพราะยังไง พระก็ยังเป็นคน วัดก็อยู่กับสังคม จะไม่ให้มีอะไรมากระทบวัดเลยก็คงไม่ได้
แต่เทียบแล้ว ยังไงก็ยังนับว่าน้อยเอามากๆ ครับ

เวลามีอะไรเนี่ย เหมือนมีแต่เรื่องที่เบา กระทบแล้ว ก็รู้สึกตัวได้ง่าย
เวลาอารมณ์ส่งผล ก็กำลังน้อย รู้สึกแล้วก็ดับง่าย ไม่เกิดวิบากต่อเนื่องให้ลำบากต่อนัก

ผิดกับตอนกลับมาบ้าน ไหนจะปัญหาการทำมาหากิน ไหนจะปัญหาเรื่องคน ฯลฯ
ล้วนแต่เป็นสิ่งที่กระทบอย่างรุนแรง และต่อเนื่อง พอกระทบแล้ว
ก็เกิดวิบากหรือผลของอารมณ์ตกค้างให้แสบร้อนในอก ปวดหัว
เป็นทุกข์ใจขุ่นมัวไปได้อีกเป็นระยะเวลาพอสมควร

ถ้าเทียบว่า ความสงบของจิตใจเป็นความสุข ก็ต้องบอกตามตรงว่า
การเป็นพระ ที่ปกติคนไทยก็เกรงใจผ้าเหลืองอยู่แล้ว
ไหนจะการวางตัวให้เป็นผู้มักน้อย สะสมน้อย มีจรรยามารยาท และระเบียบวินัย
มันเหมือนเราอยู่ในอีกโลกที่เกือบทุกอย่างมันเป็นระเบียบ คาดเดาได้ง่าย ปลอดภัย

แค่นี้ก็พอเข้าใจได้ว่า ทำไมความเป็นสมณะ ถึงมีความสุขได้ง่ายกว่าคฤหัสถ์...

ถ้าศึกษาให้ดี ทำให้ถูกต้อง อยู่ในที่อันสมควร
ท้าให้ไปลองเลยครับ ต่อให้ไม่ใช่วัดที่เน้นทางปฏิบัติธรรมเต็มที่
แค่ขอให้เป็นวัดที่พระถือพระวินัย มีความเข้าใจความเป็นพระ
ถ้าได้บวช แล้วจะเข้าใจด้วยตัวเอง ว่าความสุขที่ผมพูดถึงไป หมายถึงอะไร...

วันอังคาร, มกราคม 06, 2558

ทำไมนาคต้องแตะขอบประตู?

ใกล้งานบวชผมเต็มทีแล้วครับ อีก 4-5 วัน นี้เท่านั้นเอง
มีเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับการแห่นาครอบโบสถ์ และการยกนาคแตะขอบประตูโบสถ์​มาฝากให้อ่านกันครับ

« เมื่อ: ๒๔ มิ.ย. ๕๒, ๑๑:๐๒:๔๔ »
 
ระยะนี้ เข้าสู่เทศกาล งานบวชกันถี่ หน่อยนะครับ
สังเกตว่า เวลาไปช่วยงานหรือไปร่วมงานบวช ใกล้-ไกล มักจะได้พบเห็นวัฒนธรรมหรือความเชื่อประจำงานบวชที่คล้ายคลึงกัน จนหลายครั้งมีน้องๆ เพื่อนๆ ถามกันบ่อยๆ ว่า เขาทำแบบนั้นทำไมพี่ .. ??  
วัฒนธรรมหรือความเชื่อบางอย่างก็พอจะเดาออก บ้างอย่างก็ต้องทำตัวเป็น กบนอกกะลา ตามหาความจริงกันไป 
ลองมาดูทีละอย่างกันนะครับ
 
การแห่นาครอบโบสถ์
เห็นกันจนชินตาครับ กับการแห่นาครอบโบสถ์ ๓ รอบ 
ความหมายหรือเหตุผลที่พอจะเดาออกคงไม่ใช่ แห่เอาสนุึกหรือแห่รอแขกแน่ๆ
ที่เข้าใจกันส่วนมากก็คือ ให้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แบบเดียวกันกับเวียนเทียน
เหตุผลนี้ คงได้รับอิทธิพลมาจากเมืองแขก ประเทศอินเดีย ที่เขาถือกัันว่า การเดินเวียนประทักษิณ(เวียนขวา) นั้น
เป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงสุด ถ้าเป็นบ้านเราก็คงประมาณกราบแทบเท้า หรือวิ่งแก้บนรอบสนามหลวง 
 
เหตุผลอีกประการหนึ่ง คือให้ นาคสำรวมจิตใจให้พร้อมก่อนเข้าขออุปสมบท ทบทวนเรื่องราวของชีวิต 
ไตร่ตรองถึงหน้าที่ของพระที่จะต้องน้อมนำมาปฎิบัติ ต่อไป
 
แต่มีเหตุผลอีกประการหนึ่ง ที่ลึกซึ่งเข้าไปอีก นั้นก็คือ การเวียนรอบโบสถฺ์เป็นอุบายสอนให้เห็นว่า......
ชีวิตคนเราล้วนเวียนตายเวียนเกิดในสงสารวัฎฎ์ คือ ใน กามภพ รูปภพ อรูปภพ วนเวียนแบบนี้ หลีกหนีได้ยาก
แต่สำหรับผู้บวชหรือพอนาค พอเดินเวียนครบ ๓ รอบ แล้วเดินเข้าสู่โบสถ์ ก็สอนให้เห็นว่า  ได้ค้นพบทางสว่างที่ไม่ต้องวนเวียนอีกแล้ว ทางสายใหม่ ที่เป็นเส้นทางพ้นทุกข์ คือการเข้าหาพระธรรม มุมมองนี้ ดูดีและทำให้เกิดปัญญามากที่สุด 
 
เหตุใดนาคจึงต้องวันทาเสมา
เมื่อแห่รอบโบสถ์ครบ ๓ รอบแล้ว ลำดับพิธีต่อไป คือ นาคจะต้องไปกราบวันทาเสมาหรือขอขมาเขตเสมา
ซึ่งเป็นเขตแดนต่อระหว่างพุทธอาณาจักรกับราชอาณาจักร เป็นการแสดงความเคารพต่อสถานที่และพระสงฆ์ที่ประชุมกันในโบสถ์
ความหมายอีกประการ คือ  การให้ผู้บวชไม่ว่าจะร่ำรวย เป็นลูกท่านหลายเธอมาจากไหน แสดงการอ่อนน้อม ยอมรับผิด เป็นอุบายลด ความเย่อหยิ่ง จองหอง ลดทิฎฐิมานะ กล้าปฎิญาณตน ขอขมาในความผิดทั้งหลาย
เหตุใจจึงห้ามเหยียบธรณีประตู
 
ประเพณีอย่างหนึ่งที่เห็นกันจนชินตา เวลาไปงานบวช คือ การที่พ่อของนาค และแม่ของนาคจะช่วยกันจูงมือนาคข้ามธรณีปะตู และมีเพื่อนๆ คอยอุ้มชูให้ลอยตัวข้ามธรณีประตูเข้ามาในโบสถ์
ความเชื่อในเรื่องนี้ โบราณถือกันว่า ถ้านาคหรือผู้บวชเหยียบธรณีประตู จะทำให้ตอนเป็นพระศีลไม่บริสุทธิ์ ด่างพรอย ย่อหย่อนต่อการบวช หรือไม่ก็แหกพรรษา ??
 
เหตุผลที่เป็นรูปธรรมก็คือ  การเหยีบธรณีประตูจะทำให้ รักทองหรือชาดที่ทาไว้ ชำรุด-เสียหาย
เพราะโบสถ์หลาย ๆ วัด โดยเฉพาะวัดหลวง ธรณีประตูจะมีการลงรักปิดทอง หรือทาชาด ไว้ให้สวยงาม ถ้านาคและผู้มาร่วมงานเหยียบย่ำกันทุกคน คงทำให้เกิดการชำรุด เสียหายได้
 
เหตุผลอื่นๆ ยังมีอีกมากมาย เช่น  เกรงว่านาคจะสะดุดธรณีประตูจนเกิดอุบัติเหตุ ไม่สามารถบวชได้
ธรณีประตูเป็นจุดที่มีนายทวารบาลหรือเทวดารักษาต้องแสดงความเคารพ
 
แต่เหตุผลในทางธรรม ที่เป็นอุบายสอนใจ คือ การที่ผู้บวชสามารถข้ามพ้นจากโลก 
ข้ามพ้นจากอำนาจกิเลส เข้าสู่พุทธอาณาจักร เข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัตร์ ได้เกิดใหม่ในเพศสมณะ เป็นเครื่องสอนใจให้คนเรา ฝึกฝนตัวเราให้อยู่เหนือกิเลสในใจ
 
เหตุใดจึงต้องให้นาคเอามือแตะขอบประตูโบสถ์ด้านบนสุด
ในขณะที่นาคกำลังจะก้าวข้ามพ้นธรณีประตูนั้น บรรดาญาติพี่น้องและเพื่อนๆ จะบอกให้นาค ชูมือให้สุดไปแตะขอบประตูโบถ์ด้านบน ทั้งนี้บรรดาเพื่อนๆและผู้ร่วมงานต่างก็จะช่วยกันอุ้มชูให้นาคเอื้อมให้ถึงขอบประตู
ความเชื่อในเรื่องนี้ ว่ากันว่า ถ้านาคแตะขอบประตูโบถ์ด้านบนได้ จะทำให้ร่ำเรียนได้สูงสุด 
แตกฉานในพระธรรมวินัย  ต่อไปจะได้เป็นสมภารเจ้าวัด
 
ส่วนเหตุผลที่เป็นรูปธรรมนั้น ก็คือ ว่า ประตูโบสถ์บางแห่งไม่สูงมากนัก 
การอุ้มนาคเข้าโบสถ์อาจทำให้ศรีษะของนาคไปชนขอบประตู ทำให้ได้รับบาดเจ็บ จนทำให้ไม่สามารถบวชได้
เหตุผลในทางธรรมะ ยังไม่ชัดเจน แต่ได้รับการอธิบายจากท่านผู้รู้มาว่า เป็นการปฎิญานหรือแสดงให้เห็นว่า 
นาคจะบวชและตั้งใจปฎิบัติให้ได้บุญสูงสุด 
 
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ การไปสู้พระนิพพานเหมือนจะไกลสุดมือเอื้อมถึง การเป็นจะไปให้ถึงต้องได้แรงหนุนจากคนรอบข้าง บ่งบอกว่า การไปสู่ที่สูง เราอาจไปคนเดียวไม่ได้ เก่งคนเดียวไปไม่รอด ต้องอาศัยพวกพ้องเพื่อนฝูง เจ้านาย คอยสนับสนุน ช่วยเหลือ
 
ดอกบัวของนาคที่วันทาเสมาเชื่อว่า ทำให้คลอดง่าย
ดอกบัวที่นาคพนมไว้ในมือตั้งแต่ตอนแห่รอบโบสถ์ จนถึงขณะวันทาเสมา เมื่อนาควางดอกบัวลงที่เสมาโบสถ์
จะมีผู้คนที่มาร่วมงานพากันแย่งดอกบัวนั้นไปให้ คนที่ท้องใกล้คลอดต้มน้ำดื่ม ด้วยความเชื่อว่า 
น้ำดอกบัวของนาคจะทำให้คลอดง่าย
จริงๆ ดอกบัวเป็นสมุนไฟรหรือยาบำรุงครรภ์อยู่้แล้วละครับ ไม่ต้องของนาคก็ดีแน่นอน
แต่ความเชื่อที่ว่าทำให้คลอดลูกง่ายนั้น คงเพราะ นาคเป็นผู้ว่าง่าย พ่อแม่อยากให้บวชก็บวช 
งานบวชก็สำเร็จได้โดยง่าย เป็นงานที่ใครได้ข่าวก็อยากมาช่วยอย่างเต็มใจ  ถ้าได้นำมาต้มน้ำดื่มกิน จะทำให้คลอดง่ายและเด็กทีเกิดมามีปัญญา ว่านอนสอนง่าย
 
ความเชื่อและวัฒนธรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่เราพบเห็นในงานบวช ล้วนแฝงความหมายที่ลึกซึ้ง
และเป็นความหมายที่สอนใจเราได้ดี มิใช่เป็นเพียงพิธีกรรม ที่ทำๆกันไป แบบงมงายหรือไร้ความหมาย แต่แสดงถึงภูมิปัญญาในการสอนธรรมะของคนโบราณได้อย่างลุ่มลึก และมีเหตุมีผล 
 
ไปงานบวชครั้งต่อไป ลองเก็บเกี่ยวแง่คิดดีๆ จาก ประเพณีที่น่ารักและน่าค้นหาเหล่านี้ กันให้ครบถ้วนนะครับ จะได้ทั้งบุญจากการบวชพระและบุญจากการมีสติ คิดเท่าทันธรรมะของพระพุทธเจ้า
 
ขออนุโมทนาบุญกับนาคทุกท่าน ที่จะบวชในพรรษานี้ และผู้ที่จะไปร่วมงานบวชทุกท่าน ขอให้ได้เสบียงบุญกันเต็มที่ครับผม
 
สาธุๆ 
 
----------------