วันพุธ, มีนาคม 10, 2564

บ่นๆ

ด้วยนิสัยค่อนข้าง introvert และกลัวการเปลี่ยนแปลงอย่างร้ายกาจ ทำให้รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะจะใช้ชีวิตเลย เพราะชีวิตคือการเปลี่ยนแปลง คือการพัฒนา คือการพยายามทำอะไรไปเรื่อยๆ

ถึงจะพยายามจะไม่ทำอะไรเลย หรือไม่เปลี่ยนอะไรเลย แต่สักวันเราก็จะโดนสิ่งแวดล้อมบีบบังคับทำให้เราต้องเปลี่ยนไปเอง ทั้งเรื่องเล็กๆ อย่างเช่นการต้องอาบน้ำเพราะสกปรก การต้องกินข้าวเพราะท้องมันหิว หรือการต้องทำมาหากินเพราะต้องการเงิน

ปัญหาคือ พอถึงจุดหนึ่งที่เกิดจะต้องเปลี่ยนแปลง ถ้ามันเปลี่ยนได้โดยที่เราขยับน้อยที่สุดได้ มันก็พอจะผ่านไปได้ แต่ถ้าถูกบังคับให้ต้องเปลี่ยน โดยบังคับว่าเราต้องเป็นคนทำ อันนี้เริ่มจะยากแล้ว ความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก อยากหนีก็หนีไม่ได้ จะทำก็กลัวไม่สำเร็จ ก็จะเกิดขึ้น

ถ้าถามว่าอยู่มาถึงปูนนี้ได้ยังไง ไม่มีวิธีแก้วิธีจัดการอะไรกับมันบ้างเหรอ ก็ต้องตอบตรงๆ ว่าไม่มี ถึงจะดีบ้างแย่บ้าง เลเวลอัพจนทำให้การแก้ปัญหาภายนอกทำได้ดีขึ้นจนเหมือนไม่มีปัญหาแล้ว แต่ปัญหาภายใน คือจิตใจก็ยังคงเป็นเรื่องลำบากอยู่เสมอ

การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ คือการเปลี่ยนผ่านจากเคยพึ่งพิง กลายเป็นหมดที่พึ่ง จากเคยหนีและโยนปัญหา กลายเป็นต้องก้มหน้ารับและหาทางแก้ไข ความอบอุ่นใจปลอดภัยเริ่มหายากขึ้นเรื่อยๆ ตามวันเวลาที่ผ่านไป

การตั้งเป้าหมายก็เป็นเรื่องที่ดี ชีวิตที่ดีควรเป็นชีวิตที่มีเป้าหมาย มีวัตถุประสงค์อะไรสักอย่าง และทำประโยชน์ให้แก่โลก แต่ ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถทำได้

เป้าหมายวัยเด็กที่เคยยิ่งใหญ่ ความเป็นไปได้อันไม่รู้จบ เริ่มค่อยๆ บีบแคบลง ตามวัยที่เราเติบโตขึ้น เราค่อยๆ เข้าใจโลก เริ่มมองเห็นปัญหา เริ่มคิดไปถึงปลายทางตันมากกว่าความสำเร็จอันสว่างไสว

สรุปเรื่องนี้จะไปทางไหน ก็ยังตอบไม่ได้ มองย้อนไป และมองไปข้างหน้า เวลาที่เหลือก็น้อยลงจนรู้สึกว่า ด้วยเวลาที่เหลืออยู่ ควรจะใช้อย่างไรให้คุ้มค่า คือก็แค่ใช้ให้มันหมดไปเฉยๆ

ไม่อยากคิดเลย ขอหนีปัญหาข้อที่ยากที่สุดข้อนึงของชีวิตไปก่อนเถอะ ตอนนี้ถ้าจะให้ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ก็ขอเก็บเงินให้เห็นเป็นเลขหนึ่งล้านให้ได้ เพราะอย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ตั้งเป้าอะไรเลย ชีวิตก็จะยิ่งเคว้งคว้างไปกันใหญ่

คนที่ทำได้คงฟังแล้วเหมือนเรื่องตลก ฉันทำมาตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆแล้ว ฉันทำงานสี่ห้าปีก็ได้แล้ว ฉันไปซื้อบ้านซื้อรถ ซื้อคอนโดไว้นอนเล่นแล้ว แต่ก็นั่นแหละ ชีวิตของทุกคนย่อมถูกมองจากตัวเองเสมอ

อัตตานั้นคือโลก โลกนั้นคืออัตตา เราเหมือนอยู่โลกใบเดียวกัน แต่จริงๆ เราทุกคนอยู่กันคนละโลกที่มาทับซ้อนกันเฉยๆ ทุกคนมองโลกจากอัตตาของตนเองเสมอ เรื่องเล่าทั้งหลายเลยถูกมองไม่เคยเหมือนกัน

เรื่องนี้จะยาวต่อไปอีก หรือจะจบ คิดตอนจบไม่ได้ เหมือนบทสนทนาในวงเหล้าที่ยิ่งเมาก็ยิ่งพรั่งพรู จนกว่าจะมีคนลุกขึ้นมาต่อยกันหรืออ้วกแตกกลางวงนั่นแหละ

แต่เนื่องจากเรื่องนี้คือมุมเดียวไร้คู่สนทนา ชีวิตก็ยังดำเนินต่อไปเช่นนั้น เรื่องนี้คงยังจะเป็นปลายเปิดไปอีกสักพักใหญ่ๆ จนกว่าเราจะลุกขึ้นมาทำอะไร หรือไม่ทำอะไร

สักวันถ้ามีเรื่องอะไรสนุกพอจะชักชวนให้คุยกันได้ ก็คงจะมาเล่าให้ฟังใหม่


...

10/3/2564 (2021)

วันเสาร์, ธันวาคม 07, 2562

สวัสดี...

คิดดูสิว่าไม่ได้เขียน blog มานานแค่ไหนแล้ว...
ถ้านับจากโพสต์ที่แล้วก็ปีกว่าเกือบสองปีมาแล้วนะ...

เอาเข้าจริง ก็พบว่าตัวเองไม่ได้รักการเล่าการเขียนอะไรขนาดนั้น หรือต่อให้อยากก็เหมือนจะไปไม่สุดไปไม่ถึงอย่างที่อยาก เพราะขาดทักษะ หรือขาดอะไรก็ช่างมันเถอะ แต่ก็ทำให้ไม่สามารถไปทำงานเป็นพวกครีเอทีฟ หรืองานแนวเล่าเรื่องจ๋าๆ ขนาดนั้นได้...

ทุกวันนี้ทำงานก็ออกแนวสื่อสารอยู่นะ แค่เปลี่ยนมาสื่อสารระหว่างลูกค้ากับ supplier แทน... 
ซึ่งมันก็ไม่ได้เลวร้ายหรอกนะ ถึงจะไม่ได้สนุกสนานอย่างที่คาดหวัง...
ก็แน่ล่ะ พออายุมากเข้า ก็ระลึกได้ว่า ชีวิตมันไม่ได้สนุกอะไรขนาดนั้น
มันก็ปะปะไปด้วยทุกข์มากๆ สลับกับทุกข์น้อยๆ วนเวียนกันไปจนกว่าเราจะสิ้นอายุขัย...

จากชีวิตที่ไม่ค่อยมีอะไร ก็ทำงานมีเงิน ซื้อของที่อยากได้ จนตอนนี้กลับรู้สึกว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่เราเคยอยากได้อยากมี เริ่มผันตัวเองไปเป็นภาระเล็กบ้างใหญ่บ้าง ตามแต่สิ่งๆ นั้นๆ จะเป็นไป...

ถ้าจะไม่มีอะไรเลย ภาระก็น้อยลงเบาลง แต่จะบริหารจุดสมดุลอย่างไร นั่นเป็นเรื่องที่ต้องหาคำตอบ เพราะถ้าบอกว่ามีให้น้อยเพราะพระไปเลยสิ อันนี้ก็จะน้อยเกิน จนใช้ชีวิตแบบคนปกติไม่ได้

วันนี้ที่มานั่งพิมพ์อยู่นี่ก็เพราะเบื่อหรอกนะ รู้สึกว่าสมาธิสั้นลงจนหมดอารมณ์แม้แต่จะนั่งดูซีรีย์ฝรั่งให้ทัน พอเบื่อมากๆ ก็ไม่รู้จะทำอะไร วนเวียน จนในที่สุดก็เปิดมาหาเรื่องพิมพ์อะไรสักอย่างเพื่อจัดระเบียบความคิดและอารมณ์ของตัวเอง ก่อนที่จะเสียเวลาไปเปล่าๆ มากไปกว่านี้...

ทุกวันนี้อยากมีความสุขนะ แต่ก็ยังหาไม่เจอว่าความสุขคืออะไร...

วันอังคาร, มีนาคม 13, 2561

หวาดหวั่น...

สืบเนื่องจากการป่วย...

เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมป่วยครับ...
ป่วยแบบเหมือนไม่มีอะไร แต่กินยาหาหมอสองรอบ ฉีดยาก็แล้วตรวจเลือดก็แล้ว ก็ให้ผลแค่ว่าเป็นคออักเสบ แบบส่องไฟเข้าไปดูแล้วในคอมันบวมแดง อะไรทำนองนั้นแค่นั้นเอง... แต่ที่แย่คือมันหายช้ามาก ผมต้องใช้เวลาหยุดงานเพื่อพักผ่อนรักษาตัวอยู่บ้าน 11 วันเต็มๆ เพื่อให้รู้สึกดีพอที่จะกลับไปทำงานได้...

ปัญหาด้านร่างกายก็ส่วนหนึ่ง... ทีนี้ดันมาเจอปัญหาเรื่องจิตใจอีกเนี่ยสิ...
คราวนี้แปลก พอป่วยไปสักพัก ไม่รู้เป็นเพราะยา อากาศ หรือการอยู่บ้านมากเกินไปก็ไม่ทราบ มันเกิดอาการคิดมาก หดหู่ แบบแปลกๆ มันคิดวน วิตกกังวล จับต้นชนปลายไม่ได้ คิดไปเรืื่อยถึงเรื่องอดีต อนาคต คิดแล้วก็เครียด แล้วก็หดหู่...

สุดท้ายก็ได้พี่สาวพาไปแก้ปีชงที่ศาลเจ้าจีนแถวบ้าน
อยากจะไปหาทำบุญสังฆทานอะไรเพิ่มอยู่ แต่ยังไม่มีเวลา
ก็อาศัยสวดมนต์แผ่เมตตาก่อนนอน
กินวิตามินรวมๆ เสริม
ออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายตอนเช้าเย็นบ้าง เผื่อจะช่วยได้

รู้สึกแปลกตัวเองเหมือนกันที่อาการก็ยังทรงๆ ไม่หายสักที
ก่อนนอนก็คิดเยอะ จนนอนไม่ค่อยหลับ
จะเป็นช่วงเช้าๆ เหมือนหวิวๆ ในอก ไม่อยากทำอะไร
จนช่วงสายๆ นั่นแหละ สักสิบโมง ถึงจะหายแบบไม่มีอาการ
ตอนเช้าตั้งแต่ตื่น เลยเป็นเหมือนเวลาที่ต้องรบกับใจตัวเอง ให้ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน

ไม่แน่ใจว่าเกิดจากความเครียดหลายๆ เรื่องรวมกันหรือเปล่า
อาการทำนองนี้มักเกิดกับผมในช่วงเวลาของชีวิตที่จะเกิดการพลัดพราก หรือเปลี่ยนแปลงในคนรอบตัว
แต่คราวนี้ก็ดูไม่มีอะไร ทุกอย่างมันก็ดำเนินไปตามปกติของมัน

กลายเป็นเหงา คิดมาก กลัวตาย แบบแปลกๆ
ตอนนี้ก็ได้แต่รอเวลาว่า มันจะค่อยๆ ดีขึ้นในทุกๆ วัน...

แก่แล้วก็ไม่มีอะไรดีอย่างเขาว่าละมัง...

วันศุกร์, สิงหาคม 04, 2560

วัยกลางคน...

ครับ...

ผมเริ่มรู้สึกว่าผมเข้าสู่ช่วงชีวิตที่เคยได้ยินแต่คนพูดถึง แต่ไม่เคยสัมผัส เหมือนผีปอบ ผีกระหัง ที่มีคนเล่าว่ามีแต่ไม่เคยเห็นเองนั่นแหละครับ ช่วงที่ว่าก็คือช่วงชีวิตที่เรียกว่า "วัยกลางคน"

พอถึงวันเกิดที่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันที่ผ่านมา
อยู่ดีๆ ผมก็นั่งนึกถึงชีวิตตัวเองว่าอายุเท่าไหร่แล้ว
แล้วถ้าอยู่ได้ถึงอายุเท่านี้ เราจะเหลือเวลาชีวิตอีกกี่ปี...

นั่นแหละครับ เกิดอาการเหมือนซาโตริอะไรบางอย่าง
วูบว่างวางหาย ว่า โอ้ ชีวิตเรานี่ ดำเนินมาเกินครึ่งแล้วนี่นะ
หรือถ้ามองในแง่ดีว่า เราจะโชคดีได้เป็นมนุษย์คนหนึ่งผู้มีอายุยืนกว่าค่าเฉลี่ย
ก็นับได้ว่ามีอายุดำเนินมาถึงช่วงวัยครึ่งคน กลางคนพอดี

แปลกดีนะ ที่อยู่ดีๆ ก็รู้สึกอะไรแรงขนาดนี้
เหมือนอย่างที่ว่าไป อะไรที่ยังไม่เคยเจอด้วยตัวเอง ไม่ได้สัมผัสเอง
คุณไม่มีวันรู้หรอก ว่าจริงๆ มันรู้สึกอย่างไร
จะรู้มากแค่ไหน จินตนาการเก่งอย่างไร
ถ้าไม่ได้รู้สึกเอง ทำเอง อยู่ตรงนั้นเอง
ยังไงคุณก็ไม่เข้าถึงมัน...

เคว้งๆ หน่วงๆ อยู่แบบนั้นอยู่สองวัน
พอดีไปเปิดอ่านเจอคอลัมน์ของคุณโตมร เรื่อง
สามสิบต้น สามสิบปลาย สี่สิบต้น สี่สิบปลาย : Lesson Learnt

คุณโตมรเป็นใครก็ไม่ทราบครับ แต่ผมติดตามงานเขียนของเขาผ่านทาง Facebook อยู่พักนึง
อ่านๆ ไป ก็ได้รู้ว่าเขามีอายุมากกว่าผมอยู่ไม่เท่าไหร่
แต่ด้วยแนวการเขียนของเขา ก็น่าติดตามอยู่ไม่ใช่น้อย

ลองอ่านบทความที่ผมแปะลิงค์ไว้เป็นตัวอย่างก็ได้ครับ

...

กลับมาเรื่องของเราต่อ...

พออ่านแล้วก็ตรงใจดี ว่าอย่างน้อย ก็มีคนคิดเหมือนเรา
ซึ่งจริงๆ โดยส่วนตัวผมมีความเชื่อว่า ทุกคนที่ถึงวัยนี้ ก็คิดแบบนี้เหมือนกันหมดล่ะครับ
ถ้าคิดไม่ได้ ก็แย่เกินไป สำหรับโอกาสที่ได้เกิดมาเป็นสัตว์อันมีสมองระดับนี้

หลายเรื่องที่ผ่านมา ทำให้ย้อนนึกได้ว่า เราเป็นคนใช้เวลาอย่างน่าเสียดายขนาดไหน
เคยใช้ชีวิตเหมือนไม่เคยนึกว่า ชีวิตเป็นของจำกัด ชีวิตเป็นของที่มีหมด

เราต่างก็นึกว่าชีวิตเรานั้นยาวนาน
เราต่างก็นึกว่าชีวิตเรานั้นอยู่กับเราแน่แท้

ไม่เลยครับ...

ชีวิตนั้นไม่ยาวนานเลย
ชีวิตนั้นเปราะบางเหลือเกิน...

การที่ทำอะไรเหมือนหายใจทิ้งไปวันๆ นับเป็นเรื่องน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
แต่จะให้ใช้ชีวิตแบบเหมือนจะไม่มีวันพรุ่งนี้ให้ใช้อีก ก็ดูจะสุดโต่งเกินไปสำหรับผม

เอาเป็นว่า ผมก็จะลองผิดลองถูกกับชีวิตต่อไป
หาความพอดีต่อไป
ทำสิ่งที่คิดว่าดีต่อไป

คุณก็เหมือนกันนะครับ
เราเกิดมาร่วมในห้วงเวลาเดียวกัน
คุณได้อ่านบทความของผม ถือว่าเราก็มีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดกัน

มาร่วมกันใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าต่อไปด้วยกันครับ...