วันอังคาร, มกราคม 15, 2556

Enigma Machine กับชีวิต Analog...

พอดีไปเจอ video เกี่ยวกับ Enigma Machine
มันคือเครื่องมือสำหรับเข้ารหัสข้อความ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ของเยอรมัน
สนใจก็ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมดูครับ ยาวและเยอะและยาก

คลิปที่ว่า คือคลิปอธิบายการทำงานของมัน และอีกคลิปบอกว่าทำไมมันถึงถูกถอดรหัสได้




ดูอยู่นาน เหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี...

ซาบซึ้งแล้วว่า ทำไมถึงไม่เรียนทาง pure math
เพราะข้าพเจ้าโง่ทางเลขเป็นอย่างมาก -_-"

ตอนเรียนมหาวิทยาลัย แค่แคลคูลัสสองสามตัวก็แทบตายแล้ว

บอกตัวเองว่าคิดถูกแล้วที่ไม่เรียนสายที่ต้องคำนวนมากๆ
ไม่งั้นชีวิตคงเป็นทุกข์กว่านี้เยอะ... ปล่อยให้คนที่เขาชอบเรียนไปเถอะ -_-

...........

เห็น Enigma Machine แล้วทำให้นึกถึงยุคที่ยังไม่มี microchip เลยครับ
สมัยนั้น ทุกอย่างดูจะเป็น analog ไม่ใช่ digital แบบทุกวันนี้
มีฟันเฟือง มีสายไฟระโยงระยางเต็มไปหมด

ถ้าโลกเราไม่เจอจุดหักเหให้เจอซิลิคอน ไม่สามารถผลิตชิปคอมพิวเตอร์
โฉมหน้าสิ่งของเครื่องใช้ทุกวันนี้ ก็คงไม่ใช่แบบนี้แน่ๆ ครับ

อาจจะไปเหมือนในการ์ตูนที่เป็นแนว steampunk ซึ่งคงเท่ดีไปอีกแบบ
คงไม่มีโทรศัพท์มือถือเล็กๆ ไม่มี tablet หรือ iPhone ให้จิ้มกันแบบนี้

นึกไม่ออกจริงๆ ว่าเราจะก้าวหน้าฉีกไปแนวไหน
เพราะโลกทุกวันนี้ ทุกอย่างกลายเป็น digital content
อะไรๆ ก็อยู่ในคอมพิวเตอร์ เป็นของเสมือนที่จับต้องไม่ได้แทบทั้งหมดแล้ว

ผมชอบอะไรที่มัน analog นะ... มันดูมีชีวิต มีการเคลื่อนไหวดี...

ฉันขาดการออกกำลังกายอย่างมาก...


ครึ้มใจเปิดคลิป IU ดูครับ...

ครึ้มใจกว่านั้น... ลุกขึ้นเต้นตามเลยครับ...

หลังจากครึ้มไป 3 ท่า... ค้นพบเลยครับ...

ตัวเองขาดการออกกำลังกายอย่างมากครับ
การเคลื่อนไหวติดขัดมาก ขยับร่างกายไม่ได้อย่างที่ต้องการ

และที่สำคัญ... เหนื่อย ครับ...

ขยับไม่ถึงนาที เหนื่อยครับ....

เชวี่ยมากครับ...

นี่หรือร่างกายเรา...

ถ้าไม่ลืม จะขยับร่างกายให้มากกว่านี้ครับ...
ให้มันแข็งแรงกว่านี้หน่อย...

วันจันทร์, มกราคม 14, 2556

อ่าน The Hunger Games จบละ...

วันนี้เพิ่งจะอ่านหนังสือนวนิยายเรื่อง The Hunger Games จบครับ
เลยขอเอามาเล่าความรู้สึกนิดๆ หน่อยๆ ตามประสา...

ถ้าคุณติดตามนิดหน่อย จะทราบว่านวนิยายชุดนี้มี 3 เล่ม
คือ The Hunger Games, Catching Fire และ Mockingjay

ที่ผมอ่าน ก็เพราะได้ดูหนังครับ หนังที่ทำจากหนังสือเรื่องนี้นั่นแหละ
ก็เลยอยากรู้ว่า หนังกับหนังสือ จะต่างกันขนาดไหน จนต้องหามาอ่าน

เนื่องจากดูหนังก่อน ตอนอ่านหนังสือ ผมเลยมีภาพประกอบชัดเจนพอดู

จนอ่านจบ ก็สรุปได้ว่า เป็นเรื่องหนึ่งที่หนัง ทำออกมาได้ดีกว่าหนังสือครับ
ในขณะที่หนังสือจะเล่าเรื่องออกมาได้คร่าวๆ ลงรายละเอียดน้อย
และประเด็นที่ควรจะเป็นแก่นของเรื่องอย่างเรื่องการเมือง ก็เบาบาง

ซึ่งในหนัง ประเด็นการเมืองถูกขับออกมาให้โดดเด่น แบบไม่ยัดเยียด
ในเรื่องความไม่เท่าเทียม และอารมณ์ความรู้สึกของแต่ละตัวละคร

แน่นอนว่ามีการดัดแปลงรายละเอียดในเรื่องไปเยอะพอสมควร
เรียกว่าหนังแทบจะเรียกว่าเป็นบทภาพยนตร์ดัดแปลงจากนวนิยายได้เลย

ถ้าเทียบกับเรื่องที่ผมเคยอ่าน ผลงานของ Dan Brown
อย่าง The Da Vinci Code, Angels and Demons, The Lost Symbol
ที่ให้รายละเอียดทุกอย่างชัดจนจนแทบจะเอาเอามาทำหนังได้โดยไม่ต้องเขียนเพิ่ม
ก็ต้องนับว่า The Hunger Games ยังลงรายละเอียดได้ไม่ดีเท่าครับ

แน่นอนว่า ถ้าผมได้อ่านหนังสือก่อน ผมอาจไม่ชอบมันเท่านี้

นี่ก็ยังติดไม่ได้อ่านอีกหลายเรื่องครับ Harry Potter, Lords of the ring ก็ยังไม่ได้อ่าน
เห็นความหนาแล้วก็ท้อใจไปก่อนทุกที แต่ก็คิดว่าอยากจะหาเวลาอ่านให้ได้

ก็เขียนไปเท่าที่รู้สึกล่ะครับ ผมก็ไม่ใช่นักอ่าน hardcore ขนาดนั้น
แต่คงจะหาอ่านนวนิยายชุด The Hunger Games จนครับแหละครับ
เพราะติดใจสภาพแวดล้อมของเรื่องพอสมควร

ไว้วันไหนได้อ่าน ซึ่งไม่แน่อาจจะรอให้หนังออกด้วย
อาจจะได้เอามาคุยกันอีกครับ...

วันศุกร์, มกราคม 11, 2556

วันเด็ก 2556...


เด็กในวันนี้ คือผู้ใหญ่ในวันหน้า...

ได้ยินประโยคนี้มานานจนลืมจะนึกว่า ใครเป็นคนคิด
รู้แต่ว่า รู้ตัวอีกที ฉันก็พ้นวัยเด็ก กลายเป็นผู้ใหญ่ของวันหน้าที่ว่านั่นไปแล้ว...

เขาว่าคนเรามันหนีกรรมไปไม่พ้น...

ใช่... ทุกวันนี้ ก็ต้องกลายมาเป็นผู้ใหญ่ ที่รำคาญเด็ก แบบที่ตัวเองเคยเป็นเมื่อหลายปีก่อน
โหวกเหวกโวยวาย เสียงดัง ไม่นั่งนิ่งๆ กินเปลือง แถมไม่เกรงอกเกรงใจเสียอีก...

คิดไปคิดมา หลายอย่างนั่น... ฉันก็เคยทำ...

คิดได้ดังนั้น บางทีก็ต้องทำตัวเหมือนผู้ใหญ่ใจดี ไม่รำคาญเด็กๆ หัวขนที่วิ่งเปะปะไปมา
ถ้าเป้นลูกหลานตัวเอง ก็อาจจะให้อารมณ์อีกแบบ... แต่นี่ไม่ใช่...

พอดีว่า จนบัดนี้ก็ยังไม่มีลูกเมียเป็นของตัวเอง
ยังทำตัวเป็นคนแก่เนิร์ดๆ ไปวันๆ เหมือนกับโลกนี้จะไม่มีวันดับสูญ...

คิดเล่นๆ ดู... ถ้าคนเรามีอายุยืนยาวสักสามแสนปี เราคงไม่คิดไม่ทำอะไรแบบนี้กัน
คนเราอาจจะเห็นแก่ตัวนอยกว่านี้มากก็ได้
เพราะเห็นแก่ตัวไป สุดท้ายทุกคนก็แทบจะมีทุกอย่างเท่ากันอยู่ดี
เนื่องด้วยเวลาที่ยาวนานมาก ย่อมปรับทุกอย่างให้เข้าสู่สมดุลไปดังนั้น...

คนคงเห็นทุกข์เห็นโทษของชีวิตน้อยลง เพราะอยู่นานจนเบื่อแล้วเบื่ออีกก็ยังไม่ตาย
เสพสุขมาแล้วทุกอย่างในโลก ไปมาแล้วทุกประเทศ มันก็ยังไม่ตาย...

แต่ทำไงได้ อายุขัยคนเรามันมีจำกัดเท่านี้ ถึง 100 ปีก็นับว่าโอเวอร์แล้ว
ก็ไม่แปลกที่คนเราจะเห็นแก่ตว และแบ่งแยกวัยเด็ก วัยผู้ใหญ่

วัยเด็กมีกำลัง ผู้ใหญ่มีเงินทอง ชรามีเวลา
ทั้งสามส่วน ล้วนปรับสมดุลของกันและกัน

ถ้าคนใดไม่สามารถทำให้มันสมดุลได้ ย่อมมีความทุกข์...

ยิ่งอายุมากขึ้น เราก็ยิ่งใกล้หมดเวลามากขึ้น
จากเคยอายุมากเร็วๆ ก็อยากจะอายุเพิ่มช้าๆ...

วันเด็ก อาจมีไว้ให้เด็กรู้ว่าตัวเองเป็นใคร
และผู้ใหญ่ ก็ได้รู้ว่า เวลามีค่าขนาดไหน...

สุขสันต์วันเด็ก 2556 ครับทุกท่าน...