วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 11, 2557

ชีวิตในชาย​ผ้าเหลือง​ของ​ข้าพเจ้า​ 3 - ศึกษาการนุ่งห่มจีวร...

อีกประมาณ 1 เดือนพอดี จะถึงวันบวช และเนื่องจากผ่านการบวชเณรมาร่วม 20 ปี ทำให้ตอนนี้ ผมลืมวิธีนุ่งห่มของพระไปหมดแล้ว...

ตอนนั้นที่ผมบวชเณร นับว่าเป็นเณรกิติมศักดิ์เอามากๆ เพราะคุณพ่อดันเป็นโยมที่พอคุ้นเคยกับเจ้าอาวาสวัด ตอนที่บวชก็เลยได้สิทธิพิเศษนอนในห้องแยกจากกุฏิเจ้าอาวาส ไม่ต้องไปรวมในเรือนเดียวกับพระเณรรูปอื่นๆ และที่เจ๋งกว่านั้น คือเจ้าอาวาสท่านเป็นผู้คอยห่มจีวรให้เวลาออกไปบิณฑบาต หรือทำวัตรเย็น

แต่ก็เพราะอย่างนั้น ทำให้ผมไม่ได้วิชาการนุ่งห่มจีวรมาเลย ใส่เป็นแต่สบงชิ้นล่าง กับเสื้อลำลองชิ้นบนที่ไว้ใส่ทั่วไปในวัด คิดๆ ดูก็ซาบซึ้งอยุ่ ที่ท่านเจ้าอาวาสตอนนั้นอุตส่าห์มาเป็นธุระห่มผ้าให้ทุกเช้าเย็น ตลอด 15 วันที่บวช แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมากตามประสาเด็ก

พอถึงเวลาจะต้องมาเตรียมตัวบวชพระเอาจริงกับเขาบ้าง ก็เลยนึกถึง และลองหาข้อมูลมาศึกษา
สรุปว่า การนุ่งห่มจีวรของพระ มีหลักๆ 2 แบบ คือ 1. ห่มดอง และ 2.ห่มมังกร หรือห่มลูกบวบ

และเหมือนเคยครับ อะไรจะดีไปกว่า youtube



จริงๆ ก็มีคลิปของหลายผู้จัดทำครับ แต่เลือกของพลวงพี่ท่านนี้มาลง เพราะรู้สึกว่าท่านดูเนิบๆ ดี และห่มได้เรียบร้อยดี
ดูแล้วก็ยังงงๆ สับสน แต่ก็เพราะไม่อยากให้พอถึงวันต้องไปเป็นธุระรบกวนพระรูปอื่นๆ มากจนเกินไป อะไรที่พอจะศึกษาได้ ก็คงขอศึกษาไปก่อนครับ 

วันพุธ, ธันวาคม 03, 2557

ชีวิตในชาย​ผ้าเหลือง​ของ​ข้าพเจ้า​ 2 - คำขอบวช นับเป็นด่านแรกที่ต้องผ่าน...


ระหว่างที่ผมกำลังพยายามท่องบทขอบวช แบบ first in first out

หรือพูดขยายความ​ก็​คือ​ ผมเป็น​พวกความจำสั้นมาก อะไรที่เข้ามาก่อน จะออกก่อน ท่องบทไปยาวๆ พอย้ำบทหน้า ลืมบทหลัง พอไปย้ำบทหลัง ก็ลืมบทหน้า...

สมัยนี้ดีหน่อยมี youtube​ สอนเรื่องการบวชอัพเอาไว้เพียบ อยากรู้​อะไรก็ลองหาดู เอาเรื่องการท่องบทคำขอบวชก่อน ถ้าคุณจะบวช ก็ต้องรู้ก่อนว่าวัดที่คุณจะไปบวชนั่นน่ะ เป็นสายไหน ธรรมยุต​ หรือมหานิกาย​

ถ้าคุณจะบวชแล้วยังไม่รู้​ คุณมีปัญหา​ใหญ่กว่าผมแล้วล่ะ (ผมรู้สึกดีขึ้นมาทันที)
เอาง่ายๆ ถ้าสายวัดป่า ก็น่าจะ ธรรมยุต​ ถ้าวัดบ้านหรือวัดเมืองทั่วไป ก็สายมหานิกาย​

เวลาจะหาคำขอบวช สายวัดป่าก็​หาด้วยคำว่า เอสาหัง



ถ้าสายมหานิกาย ก็หาด้วยคำว่า อุกาสะ


แต่ถ้าไม่ใช่สองสายนี้ผมก็ไม่​รู้​ด้วยแล้ว ตัวใครตัวมัน

แค่นี้ก็ได้ตัวอย่างคำอ่านให้มานั่งฟังการออกเสียงและช่วยจำแล้ว สะดวกสบายกว่าคนสมัยก่อนเยอะแยะ

แต่ความง่ายของคนสมัยนี้นี่ลวงตามาก จะท่องบทพวกนี้นี่ต้องการสมาธิ​และสภาพแวดล้อม​เงียบๆ เป็​นอันมาก ถ้าจะเปิดอ่านเปิดฟังในคอมพิวเตอร์ หรือในมือถือ​ จะเจอการ interruption เป็นนระยะ เดี๋ยว​ก็แว่บไปเช็คไลน์ เดี๋ยว​ก็แว่บไปดูเมล์ นั่นคลิปแถบข้างๆ นั่นน่าดูจังเลย จิ้มไปจิ้มมา ไม่ได้ท่องอีกแล้ว

ตอนนี้ผมเลยพยายามอ่านจากหนังสือคู่มือ​พระที่ไปขอมาจากเจ้าอาวาส 


หรืออ่านจากกระดาษที่พิมพ์​ หรือถ้าก่อนนอนก็หยวนอ่านใน tablet ที่เก็บเป็น​เอกสารเอาไว้ เพราะปิดไฟมองหนังสือไม่​เห็น -_-

พยายามจะเครียดเกินไป กลัวยิ่งไปอัดท่องหลายรอบจะยิ่งสับสน เพราะแค่ทุกวันนี้ท่องวันละรอบสองรอบ ยังเอาบทหน้ากับหลังมายำรวมกัน​แล้ว​

อ่านในเนต​ เขาว่าถ้าจะบวชไม่ผ่านที่เจอมามีแค่นาคเมาค้างจากงานฉลองจนท่องไม่ได้ หรือคนเป็นลิ้นไก่​สั้นพูดคำไม่ชัดมากๆ พระท่านก็คงให้ผ่านไม่ได้ ได้บวชแค่เณรไป

คือถ้าไม่เลวร้ายจริงๆ หรือวัดที่เคร่งจัดจริงๆ  พระท่านก็คงจะช่วบประคองบอกใบ้เราจนผ่านไปจนได้ เพียงแต่ว่าถ้าท่องได้เอง คงเป็นอารมณ์​เหมือน​เราทำอะไรสักอย่างได้ดี ถ้าวันเวลาผ่านไปแล้วเราย้อนกลับมาคิดถึง ก็​ไม่ต้องเสียใจหรือเสียดายที่ทำได้ไม่ดี เหมือนหลายๆ​ เรื่องที่เคย​ผ่าน​มา

วันอังคาร, ธันวาคม 02, 2557

ชีวิต​ในชายผ้าเหลืองของข้าพเจ้า 1 - เหตุใดจึงอยากบวช?

เหลืออีกเดือนกว่าๆ หรือสามสิบวันกว่าๆ ตัวผมก็จะเข้าสู่​ร่มกาสาวพัต (เขียนงี้ป่าววะครับ)

ซึ่ง​ถ้า​เป็น​ไป​ตาม​ประเพณี​นิยมทั่วไปของชายไทย เขาก็นิยมให้บวชตอนอายุครบ 20 ซึ่ง​เป็น​เกณฑ์​ต่ำสุด​ของอายุ​ที่​จะ​บวช​ได้
ตอนนี้ผมอายุ 35 ย่าง 36 การมาบอกคนอื่นว่าจะบวช คงทำให้หลายคนเกิดคำถามประมาณ​ว่า​ เอ็ง​จะ​มา​บวช​อะไร​เอา​ป่านนี้?

ถ้าให้ท้าวความเอาตามจริง ผมไม่มีความรู้​สึกว่าผมจะบวชได้เลย เพราะหลายๆ อย่างประกอบ​กัน ทั้งจากประสบการณ์​ที่เคยบวชเณร​ให้​แม่ตอนท่านเสีย ทำให้ผมรู้เลยว่า การไปบวชโดยที่ไม่เตรียมตัวเตรียมใจ และศึกษา​ไปก่อนเนี่ย มันจะได้ผลลัพธ์​ออก​มา​แบบ​ไหน

ตอนนั้นบอกเลยว่าจะเอาอะไรกับวัยรุ่น​อายุ​ 15 ที่แทบไม่ได้เข้าวัด แถม​ยัง​เรียน​โรงเรียน​คริสต์​อีกต่างหาก อย่าว่าแต่จะรู้เรื่องวัดเลย แค่ท่องบทสวดที่ยาวกว่า นะโมตัสสะ ก็​ท่องไม่เป็น​แล้ว

แน่นอนว่าด้วยภาวะ​แบบนั้น​ ความพร้อม​เท่านั้น ย่อมทำได้ไม่ดีแน่ๆ ซึ่งให้มองย้อนไปก็ต้องยอมรับกันแบบซื่อๆ ว่า แย่มาก วันบวชเณร​เป็น​วันแรกในชีวิต​ที่ได้ยินศีล 10 แบบบาลี ท่องตามพระอุปัชฌาย์ยังผิดๆ ถูกๆ จนท่านต้องให้ย้ำตามสองสามรอบจนถูกต้อง

ขนาดมีศีลให้ระวังรักษา​แค่ 10 ก็ยังทำผิดประจำ ​ตอนนั้นไม่รู้​นี่ว่ากินนมหลังเพลก็ผิด คือตอนนั้น​ไม่มีใคร​รู้​เลยว่าหลังเพลไม่ใช่แค่ไม่ให้กินของต้องเคี้ยว แต่ในวินัยบัญญัติ​มีเขียนไว้แม้กระทั่งกินอะไรได้บ้าง และต้องเตรียมอย่างไร คร่าวๆ คือขนาดน้ำผลไม้ต้มยังต้องกรองแล้วกรองอีกตั้ง 7​ ครั้ง เรียกว่าไม่มีกากกันเลยทีเดียว ถึงจะกินได้ นอกนั้น​ก็พวกเภสัช เนยข้น เนยเหลว ฯ​ล​ฯ ซึ่งถ้าสนใจก็​หาอ่านได้ไม่ยาก ทีหลังจะได้ถวายพระกันถูก

แน่นอนว่าพอสึกจากเณรมา สิ่ง​ที่ได้ออกมาด้วยคือ เลิกกลัวผีกับความมืดขนาดหนักเหมือน​ตอนเด็กๆ เพราะอยู่วัด เจอจนชิน ทั้งมืด ทั้งนอนคนเดียวในห้องแคบๆ ได้จัดการศพ​หมาเน่า และสารพัด จนชินไปเอง

และที่ได้ตามมา คือความรู้​ว่า ที่ทำผ่านไปนั่น ทำได้ไม่ดีเลย ผิดแทบหมดเลย นรกจะกินหัวเอา​ อย่างเขาว่า พระทำผิดทำบาปเสียเองเนี่ย มันบาปกว่าคนทั่วไปอีกหลายเท่า ผ้าเหลืองนี่ถ้าทำไม่ดี มันก็เหมือน Highway to Hell ดีๆ นี่เอง ซึ่งแน่ล่ะ ผมก็ย่อมกลัวเป็นธรรมดา​

หลังจากนั้นมา ความคิดจะบวชเลยหายไปหมดเลย ทั้งกลัวการท่องคำขอบวชที่ยาวเป็นหน้าๆ กับเรื่องกลัว​ผิดศีลผิดวินัยพระที่อ่านแล้วยุบยั่บกว่าเณรชีอีกหลายเท่า...

แล้วทำไมถึงอยากมาบวชเอาตอนนี้....