วันนี้เราจะมาพูดถึงเหตุการณ์ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในสหราชอาณาจักร นั่นคือการประท้วงครั้งใหญ่ชื่อว่า "Unite the Kingdom" ที่เกิดขึ้นในกรุงลอนดอนเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2025 การชุมนุมนี้ไม่ใช่แค่การเดินขบวนธรรมดา แต่เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความแตกแยกทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรมที่สะสมมานานในอังกฤษ บล็อกนี้จะนำเสนอที่มาที่ไป สิ่งที่เกิดขึ้น สาเหตุ และผลกระทบอย่างรอบด้าน เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจภาพรวมของสถานการณ์ โดยอ้างอิงข้อมูลจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ
บทนำ: เหตุการณ์ที่จุดประกายความขัดแย้ง
วันที่ 13 กันยายน 2025 เป็นการชุมนุมครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งของอังกฤษในยุคปัจจุบัน ผู้คนจำนวนมากเดินทางมารวมตัวกันในใจกลางกรุงลอนดอน เพื่อเรียกร้องให้ "รวมชาติ" (Unite the Kingdom) การประท้วงนี้จัดโดย Tommy Robinson (ชื่อจริง Stephen Yaxley-Lennon) นักกิจกรรมขวาจัดที่ต่อต้านการตรวจคนเข้าเมืองและอิสลามอย่างเปิดเผย
ตำรวจเมโทรโพลิแทน (Met Police) ประเมินผู้เข้าร่วมราว 110,000–150,000 คน ซึ่งถือว่าใหญ่โตมากสำหรับการชุมนุมแนวขวาจัด แต่ไม่ถึง “ล้านคน” ตามที่บางกระแสโซเชียลมีเดียอ้าง การชุมนุมเริ่มต้นอย่างสงบ แต่จบลงด้วยความรุนแรง ตำรวจบาดเจ็บ 26 นาย (4 นายบาดเจ็บสาหัส เช่น ฟันหัก จมูกหัก) และมีการจับกุม 25–140 คน โดยส่วนใหญ่ถูกตั้งข้อหาความรุนแรงและครอบครองอาวุธ ขณะเดียวกันมีกลุ่ม Stand Up to Racism ราว 5,000 คนออกมาเคาน์เตอร์โปรเทสต์ ต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและฟาสซิสต์
ที่มาที่ไป: ปัญหาที่สะสมมานาน
-
การอพยพผิดกฎหมายและสวัสดิการสังคม
ปี 2024–2025 มีผู้อพยพผิดกฎหมายและผู้ลี้ภัยเกือบ 111,000 คน ข้ามช่องแคบอังกฤษด้วยเรือเล็ก ส่วนใหญ่มาจากตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชียใต้ รัฐบาลต้องใช้งบประมาณราว £4.7 พันล้านต่อปี เพื่อจัดหาที่พักโรงแรม อาหาร และเงินช่วยเหลือรายสัปดาห์ แม้จะคิดเป็นเพียง 0.3–0.5% ของงบรัฐบาล แต่ถูกมองว่าเป็นภาระหนักในช่วงเศรษฐกิจฝืดเคือง -
Brexit และความคาดหวังที่ไม่เป็นจริง
การโหวต Brexit ปี 2016 เคยถูกขายว่าเป็นการ "คืนการควบคุมชายแดน" แต่เกือบสิบปีผ่านไป ปัญหาผู้อพยพยังไม่ถูกแก้ ทำให้ความไม่พอใจยิ่งสะสม -
นโยบายพรรคแรงงานและ Islamophobia
พรรคแรงงานชนะเลือกตั้งปี 2024 และสัญญาจะจัดการ backlog ผู้ลี้ภัย 90,000 ราย รวมถึงยกเลิกแผนส่งผู้ลี้ภัยไปรวันดา ขณะเดียวกัน นโยบายภายในพรรคเกี่ยวกับการต่อต้าน Islamophobia ถูกฝ่ายขวาตีความว่าเป็นการ “ปิดปาก” วิจารณ์ศาสนา -
อาชญากรรมและกรณีตัวอย่าง
เหตุอาชญากรรมที่โยงกับผู้อพยพ เช่น คดีข่มขืนโดยผู้ขอลี้ภัยในฤดูร้อน 2025 ถูกหยิบมาเป็นสัญลักษณ์ แม้สถิติของ Home Office ชี้ว่าผู้อพยพไม่ได้ก่ออาชญากรรมมากกว่าคนอังกฤษโดยเฉลี่ย แต่ภาพจำบางคดีได้ถูกใช้ปลุกกระแส -
เสรีภาพในการพูด vs Hate Speech
อังกฤษมีกฎหมายควบคุมคำพูดที่ยุยงให้เกิดความเกลียดชัง (Public Order Act 1986 / Racial and Religious Hatred Act 2006) แต่เส้นแบ่งกับการวิจารณ์ปกติไม่ชัดเจน ทำให้ผู้คนกลัวว่าจะถูก “ปิดปาก” เมื่อพูดถึงประเด็นอิสลาม
สิ่งที่เกิดขึ้นในวันประท้วง
-
ขบวนเริ่มจาก Stamford Street ใกล้สะพานวอเตอร์ลู ไปถึง Whitehall
-
ผู้เข้าร่วมมีทั้งคนผิวขาว ดำ เอเชีย ละติน และตะวันออกกลาง ถือธงชาติอังกฤษและป้ายต่อต้าน “Islamophobia law”
-
ผู้ปราศรัยมีทั้งในอังกฤษและต่างประเทศ เช่น วิดีโอของ Elon Musk (เรียกสภาว่า “clown world”), Jordan Peterson นักจิตวิทยาแคนาดา, Éric Zemmour นักการเมืองขวาจัดฝรั่งเศส และ Petr Bystron จาก AfD เยอรมนี
-
เหตุการณ์บานปลายเมื่อผู้ชุมนุมบางส่วนพยายามฝ่าแนวกั้น ปะทะกับตำรวจและ counter-protest มีการขว้างปาขวดและพลุ
มุมมองรอบด้าน
-
รัฐบาล: นายกฯ Keir Starmer ประณามความรุนแรงและการเหยียดเชื้อชาติ แต่ย้ำว่าการประท้วงโดยสันติเป็นสิทธิ์ในสังคมประชาธิปไตย
-
สื่อ: BBC, Reuters, NPR และ Al Jazeera เรียกการชุมนุมว่า "far-right rally" ทำให้ผู้สนับสนุนกล่าวหาว่าสื่อบิดเบือน ขณะที่ GB News นำเสนอเชิงเห็นใจมากกว่า
-
ฝ่ายต่อต้านการเหยียด: กลุ่ม Stand Up to Racism เห็นว่าการชุมนุมสะท้อนอันตรายของการเหมารวมผู้อพยพและมุสลิม
-
มุสลิมและผู้อพยพ: หลายเสียงย้ำว่าไม่ใช่ทุกคนก่อปัญหา ผู้ลี้ภัยตัวจริงผ่านการคัดกรองเข้มงวดและมีส่วนช่วยสังคม
-
ประชาชนทั่วไป: เหตุการณ์นี้สะท้อนความกังวลร่วมกันในยุโรป เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ ที่เจอแรงกดดันด้านผู้อพยพเช่นเดียวกัน
ผลกระทบและความหมาย
-
แรงกดดันเชิงนโยบาย: รัฐบาลอาจถูกบีบให้เข้มงวดขึ้น เช่น ส่งตัวผู้ยื่นลี้ภัยจาก “ประเทศปลอดภัย” กลับ หรือเลิกใช้โรงแรมเลี้ยงผู้อพยพ
-
การเมืองอังกฤษ: การประท้วงตอกย้ำการกลับมาของขบวนการฝ่ายขวา และอาจถูกใช้เป็นฐานเสียงในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
-
สังคมที่แตกแยก: ความขัดแย้งระหว่าง “free speech” กับ “hate speech” ยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ ว่าจะรักษาสมดุลได้อย่างไร
สรุป
การประท้วง Unite the Kingdom ไม่ใช่แค่การเดินขบวนเรื่องผู้อพยพ แต่เป็นกระจกสะท้อนวิกฤตตัวตนของอังกฤษ: ระหว่างความเป็นสังคมเปิดกับความมั่นคง ระหว่างเสรีภาพกับการควบคุมความเกลียดชัง และระหว่างการเมืองฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวาที่ห่างเหินกันมากขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นบอกเราว่า ปัญหาผู้อพยพเป็นชนวนหลัก แต่ความไม่พอใจต่อรัฐบาลและความกังวลเรื่องเสรีภาพในการพูดคือเชื้อเพลิงที่ทำให้ไฟลุกโชน จนกลายเป็นการประท้วงครั้งใหญ่ที่ทั้งอังกฤษและโลกต้องจับตามอง