ทุกครั้งที่หันกลับไปมองการเมืองไทย เราจะพบว่ามีร่องรอยบาดแผลที่ไม่เคยถูกเยียวยา ความรุนแรง การเหยียดหยาม การแบ่งขั้ว และการเรียกร้องรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถูกทำให้กลายเป็นเรื่องปกติ จนผู้คนเริ่มทำเป็นเหมือนว่าไม่เคยเกิดขึ้น
การเมืองของการไม่มี Accountability
พรรคการเมืองใหญ่ ๆ โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กวักมือเรียกร้องให้เกิดรัฐประหารหลายครั้ง แต่ไม่เคยมีการยอมรับผิด ไม่มีการขอโทษต่อประชาชน การเมืองแบบไทย ๆ คือการพูดเอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น ในขณะที่คนตาย คนเจ็บ และผู้ที่สูญเสียชีวิตปกติสุขในครอบครัวกลับไม่ได้รับการเยียวยาอย่างแท้จริง
ดาราและสื่อ: จากผู้ผลักดันการแตกแยก สู่ภาพจำใหม่ที่ขาวสะอาด
ในช่วงวิกฤติการเมือง เสื้อเหลือง เสื้อแดง กปปส. และอื่น ๆ เราเห็นคนดัง ดารา พิธีกร สื่อ ออกมาหนุนข้างใดข้างหนึ่ง บางคนขึ้นเวที บางคนเหยียดคนจน บางคนใช้วาทะที่ผลักให้การปราบปรามเกิดขึ้นง่ายขึ้น แต่วันนี้ พวกเขากลับยืนออกสื่อ ยิ้มแย้มในฐานะนักแสดง นักธุรกิจ หรือ influencer เหมือนไม่เคยมีอดีตที่เปื้อนเลือด
นี่คือสิ่งที่ทำให้ผู้คนจำนวนหนึ่งรู้สึกขมขื่น เพราะการไม่มี accountability ในสังคมไทย ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเมือง แต่ขยายไปถึงคนดังและผู้มีอิทธิพลทางสังคมด้วย
ความย้อนแย้งของฝั่งที่เคยอ้างประชาธิปไตย
สิ่งที่ขมขื่นไม่แพ้กัน คือแม้แต่ฝั่งนักการเมืองเสื้อแดงหรือทักษิณเอง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย พอวันหนึ่งกลับเข้าสู่อำนาจ ก็กลายเป็นกลุ่มที่เห็นแก่ประโยชน์ตนเอง ทำอะไรก็ไร้ผลงาน และลืมคนที่เคยลุกขึ้นสู้ให้พวกเขา
-
มวลชนที่เคยเสี่ยงชีวิต ถูกลดทอนให้เป็นเพียง “เครื่องมือ” กดดันเพื่อการต่อรองทางการเมือง
-
ข้อตกลงและการดีลกับชนชั้นนำ ทำให้การกลับมาของผู้นำบางคนไม่ใช่ชัยชนะของประชาชน แต่เป็นผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม
-
ระบบการเมืองไม่ได้ถูกซ่อมแซมจริง แต่กลับเดินซ้ำรอยเดิม
นี่ทำให้ประชาชนที่เคยทุ่มเทความศรัทธา รู้สึกเหมือนถูกหักหลัง และตอกย้ำว่าประชาธิปไตยไทยยังถูกใช้เป็นเพียง “เครื่องมือ” ของผู้เล่นในเกมอำนาจ
ความทรงจำที่ถูกกลบ และการ rewrite ประวัติศาสตร์
สิ่งที่น่ากลัวไม่แพ้กัน คือความพยายาม “ทำให้ลืม”
-
กระทู้รายชื่อคนดังที่เคยสนับสนุน กปปส. ใน Pantip หายไปทีละกระทู้
-
เนื้อหาที่กล่าวถึงการเมืองช่วงนั้นถูกกดลง archive
-
คนรุ่นใหม่ถูกเล่าให้ฟังแค่เพียงว่า “สังคมไทยเคยแตกแยก” โดยไม่บอกว่าใครเป็นผู้ก่อ ใครได้ประโยชน์ และใครต้องเจ็บปวด
นี่คือการลบความทรงจำทางการเมือง (political memory erasure) ที่ทำให้บาดแผลถูกซุกไว้ใต้พรม และสังคมก็เดินหน้าต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทำไมบางคนถึงลืมไม่ได้
เพราะมันไม่ใช่แค่ความต่างทางความคิด แต่มันคือชีวิตจริงของผู้คน
-
มีคนถูกยิงตาย มีบ้านถูกเผา มีครอบครัวแตกสลาย
-
มีคนจนถูกตราหน้าว่า “โง่ ซื้อเสียง” ทั้งที่เขาแค่เลือกในสิ่งที่ตอบโจทย์ชีวิต
-
มีผู้ชุมนุมถูกผลักดันให้กลายเป็น “ผู้ร้าย” ของชาติ
คนที่ผ่านสิ่งเหล่านี้มา จึงไม่อาจทำใจให้ลืมได้ง่าย ๆ และเมื่อเห็นผู้ที่เคยเป็นต้นเหตุยังคงยืนออกสื่ออย่างไม่สะทกสะท้าน มันก็ยิ่งตอกย้ำความอยุติธรรมในสังคมไทย
บทสรุป
สังคมไทยกำลังอยู่ในสภาวะที่ accountability หายไปจากระบบ ความจริงถูกบิดเบือน ความทรงจำถูกบังคับให้เลือนหาย ดาราและสื่อที่เคยผลักดันการแตกแยกกลับมายืนอยู่แถวหน้าเหมือนไม่เคยทำอะไรผิด และนักการเมืองที่เคยอ้างประชาธิปไตยก็กลับใช้มวลชนเป็นเพียงเครื่องมือไม่ต่างกัน
คนที่เจ็บปวดจึงยังคงอัดอั้น ไม่ใช่เพราะเกลียดชังอย่างไร้เหตุผล แต่เพราะสังคมนี้ไม่เคยทำให้ความจริงปรากฏ และไม่เคยทำให้คนที่ก่อเรื่องต้องรับผิดชอบอย่างแท้จริง.