วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2568

"ศาสนา: การกลืนความเชื่อ หรือการสร้างรากฐานร่วม?"

 

"ศาสนา: การกลืนความเชื่อ หรือการสร้างรากฐานร่วม?"
(เมื่อธรรมชาติมนุษย์ยอมรับสันติเพียงเมื่อมีการกดขี่)


บทนำ
ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติมีความเชื่อมโยงกับศาสนาอย่างแยกไม่ออก ศาสนาเป็นทั้งแหล่งกำเนิดของศีลธรรม แนวคิดเกี่ยวกับความหมายของชีวิต และเครื่องมือรวมกลุ่มผู้คน แต่ในขณะเดียวกัน ศาสนาก็เป็นแหล่งกำเนิดของความขัดแย้ง สงคราม และการกดขี่ ในบทความนี้ เราจะสำรวจแนวคิดเกี่ยวกับการ "กลืน" ศาสนา และตั้งคำถามว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้นสะท้อนถึงธรรมชาติของมนุษย์อย่างไร


ศาสนาและการ "กลืน" ความเชื่อ

หนึ่งในข้อถกเถียงที่สำคัญคือ ศาสนายิว คริสต์ และอิสลาม ซึ่งเป็นศาสนาหลักที่เรียกรวมว่า Abrahamic religions ล้วนยืนยันว่าพระเจ้า (God, Yahweh, Allah) คือองค์เดียวกัน แต่ทำไมถึงมีความแตกต่างและความขัดแย้งอย่างรุนแรง? หรือสิ่งนี้เป็นความพยายาม "กลืน" ศาสนาเดิมเพื่อสร้างความชอบธรรมของศาสนาใหม่?

  1. การอ้างรากฐานร่วม: การกลืนหรือการต่อยอด?
    ศาสนาคริสต์ถือกำเนิดจากศาสนายูดาย โดยนำพันธสัญญาเดิม (Old Testament) มาใช้และเสริมด้วยพันธสัญญาใหม่ (New Testament) ในขณะที่ศาสนาอิสลามเกิดขึ้นภายหลัง โดยอ้างถึงศาสนายูดายและคริสต์ในคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมยืนยันว่าศาสดาของทั้งสองศาสนาเดิมนั้นเป็นผู้ส่งสารของพระเจ้า

    • ในมุมมองของศาสนาเดิม เช่น ยิว อาจมองว่านี่คือการ "แย่ง" แนวคิดพระเจ้าของพวกเขา
    • แต่ในมุมมองของศาสนาใหม่ เช่น คริสต์และอิสลาม การเชื่อมโยงกับศาสนาเก่าเป็นการแสดงถึงความต่อเนื่องและความสมบูรณ์ที่มากขึ้น
  2. เครื่องมือเผยแผ่ศาสนา
    การยอมรับว่าพระเจ้าองค์เดียวกันช่วยลดแรงเสียดทานและทำให้การเผยแผ่ศาสนาในยุคแรกง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น:

    • ศาสนาคริสต์เริ่มต้นในจักรวรรดิโรมัน ซึ่งยอมรับศาสนายูดายในฐานะศาสนาเก่า การอ้างพันธสัญญาเดิมทำให้ศาสนาคริสต์ดูน่าเชื่อถือ
    • ศาสนาอิสลามเชื่อมโยงตัวเองกับอับราฮัมและศาสดาอื่น ๆ เพื่อดึงดูดชาวยิวและคริสต์ให้หันมานับถือ
  3. ความแตกต่างที่ปฏิเสธไม่ได้
    แม้ศาสนาเหล่านี้จะอ้างถึงพระเจ้าองค์เดียวกัน แต่มีความแตกต่างในด้านหลักคำสอนที่สำคัญ เช่น การมองพระเยซูในคริสต์ ศาสดามูฮัมหมัดในอิสลาม หรือบทบาทของพันธสัญญาในยิว ความแตกต่างนี้ทำให้เกิดการแย่งชิงว่า "ใครคือผู้สืบทอดที่แท้จริง"


ธรรมชาติมนุษย์: ความขัดแย้งที่ไม่สิ้นสุด

ประวัติศาสตร์พิสูจน์ว่ามนุษย์มีแนวโน้มที่จะขัดแย้งกัน แม้ในเรื่องที่พวกเขามองว่าเป็น "ความดี" เช่น ศาสนา ความขัดแย้งนี้สะท้อนถึงธรรมชาติที่ลึกซึ้งของมนุษย์:

  1. ความกลัวและความไม่ไว้ใจ
    มนุษย์มีแนวโน้มที่จะหวาดระแวงในสิ่งที่แตกต่าง การพบกับศาสนาใหม่หรือวัฒนธรรมใหม่ มักถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่ออัตลักษณ์ของตน

  2. การสร้างอัตลักษณ์ผ่านความแตกแยก
    ศาสนาและอุดมการณ์มักถูกใช้เพื่อรวมกลุ่มคน แต่การรวมกลุ่มนี้มักเกิดจากการสร้าง "ศัตรู" ตัวอย่างเช่น:

    • ความขัดแย้งระหว่างคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ในยุโรป
    • การปะทะกันระหว่างซุนนีและชีอะห์ในอิสลาม
  3. สันติภาพที่เกิดจากการกดขี่
    ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่า "สันติภาพ" ในระดับสังคมมักไม่ได้เกิดจากความเข้าใจร่วมกัน แต่เกิดจากการที่ฝ่ายหนึ่งมีอำนาจเหนืออีกฝ่าย:

    • สันติภาพในจักรวรรดิโรมันเกิดจากการปราบปรามฝ่ายต่อต้าน
    • ในยุคอาณานิคม ศาสนาและความเชื่อถูกใช้เพื่อควบคุมประชากรท้องถิ่น

สันติภาพที่แท้จริงมีจริงหรือ?

คำถามสำคัญคือ สันติภาพที่แท้จริงในหมู่มนุษย์มีอยู่จริงหรือไม่ หรือมันเป็นเพียงแนวคิดในอุดมคติ?

  1. สันติภาพที่แท้จริงต้องการความเข้าใจ ความเคารพ และความเท่าเทียม ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดกับธรรมชาติของมนุษย์ที่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว
  2. การกดขี่มักถูกใช้เป็น "ทางลัด" สู่สันติภาพ เช่น การปกครองที่เข้มงวดเพื่อควบคุมความขัดแย้ง

บทสรุป
การกล่าวว่าพระเจ้าของศาสนายิว คริสต์ และอิสลามเป็นองค์เดียวกัน อาจมีเจตนาที่ดีในการสร้างรากฐานร่วม แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันมาพร้อมกับความพยายามสร้างอำนาจและชอบธรรมให้ศาสนาใหม่ ในขณะที่มนุษย์มักพูดถึงสันติภาพ ความขัดแย้งและการกดขี่ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่ยากจะหลีกเลี่ยง บางทีคำถามที่แท้จริงอาจไม่ใช่ว่า "ศาสนากลืนกันหรือไม่" แต่คือ "มนุษย์พร้อมจะยอมรับความแตกต่างหรือไม่?"

Ars longa, Vita brevis: จากศาสตร์การแพทย์สู่ปรัชญาแห่งศิลปะ

หากเอ่ยถึงวลี "Ars longa, Vita brevis" หลายคนคงนึกถึงแนวคิดที่ว่า "ศิลปะยืนยาว แต่ชีวิตมนุษย์นั้นสั้น" เป็นการสื่อถึงคว...