วันอังคาร, ตุลาคม 09, 2555

หวยอิชิตัน 2555...

กลับมาอีกครั้ง กับหวยอิชิตัน แจกทอง 1 ล้าน ประจำปี 2555

ผมลองซื้อสลากขวดอิชิตันเอาฝาขวดแล้วเทน้ำทิ้ง
ล้อเล่น กินแหละ เสียดายเงิน...

พบว่า หวยอิชิตันรอบนี้ ใช้ตัวเลข 10 หลัก
มากยิ่งกว่าสลากกินแบ่งรัฐบาลที่มีแค่ 6 หลัก

ลองคิดดูความน่าจะเป็น ตามวิชาที่ลืมไปแล้ว
เลข 10 หลัก คิดง่ายๆ ก็คือ โอกาสถูกอยู่ที่ 1 ใน 10,000,000,000-1
คิดคร่าวๆ อ่านง่ายๆ คือ 1 ใน 1 หมื่นล้าน

เขาแจกกัน 60 รางวัล นั่นคือโอกาส 60 ใน 1 หมื่นล้าน

แต่เลขที่คุณได้ เกิดจากการสุ่ม เลือกเองไม่ได้เหมือนหวย
ดังนั้น โอกาสที่จะได้ อาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงเป็นอนันต์ ที่ผมตอบไม่ได้

คิดเป็น % ที่มีโอกาสถูก คือ 6.0 × 10-7 % หรือ 0.0000006% นั่นเอง...

ไม่รู้จะอุทานคำว่าอะไร...

เอาเป็นว่า ซื้อขำๆ ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ช่าง
ลงทุนไป ก็ไม่เพิ่มโอกาสอย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างไร

ก้มหน้าทำงานเก็บเงินกันต่อไป...

ใครจะรวยเท่าไร ก็ปล่อยให้รวยเสียให้เข็ด...



วันพุธ, กรกฎาคม 18, 2555

วันอาทิตย์, มิถุนายน 03, 2555

ผงในตา...

บางทีปัญหาที่เราสอบผ่านได้ยากที่สุด ก็มาจากสิ่งที่เราเคยชินกับมันมาตั้งแต่เกิด
ความที่มันหมักหมม สั่งสมมาทั้งชีวิต ทำให้ยากที่จะมองเห็นว่ามันเป็นปัญหา
อาจต้องการใครสักคนที่มองเห็น และชี้ให้เราเห็น "นี่ไง"

และวินาทีนั้น มันเหมือน ความมืดมันระเบิดออกเลย โพล่งเลย
รู้เลยตอนนั้นว่า นี่แหละ ปมนิดเดียวที่เราแก้ไม่ออก ตัดไม่ขาดมันคืออะไร

สำหรับผม วันนี้ผมได้คนที่มาชี้บอกแล้ว
เข้าใจเลยว่า วินาทีนั้นมันเป็นยังไง

เหมือนผงที่อยู่ในตาเรา โดนคนมาบอกว่า นี่ไง ผงมันอยู่ตรงนี้ไง
ถึงจะยังเขี่ยมันไม่ออก แต่ก็ทำให้สว่างขึ้นว่า อ๋อ นี่ไงปัญหา เราเห็นมันแล้ว

ต่อไปคือ เราจะจัดการกับมันอย่างไร...

ขอบคุณเหลือเกิน...

วันอังคาร, เมษายน 10, 2555

เรื่องนี้ถึงครูอังคณาแน่...

ประโยค meme ที่เกิดจากอินเตอร์เน็ตคำนี้ คงจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว
ก็คงไม่พูดถึงให้เสียเวลา...

แต่มันทำให้นึกถึงประสบการณ์ในวัยเด็กของตัวเองได้ดีเหมือนกันครับ

ตอนเด็ก เหมือนว่าผมจะถูกสอนมาว่าโลกนี้มีแค่ขาวกับดำ
ทุกอย่างมีเส้นแบ่งชัดเจน คือ ถูก-ผิด คนดี-คนชั่ว อะไรทำนองนั้น

พอพ้นจากอกพ่อแม่ เด็กต้องเข้าไปเรียนหนังสือในโรงเรียน
สิ่งที่เขาพอจะพึ่งพิงในฐานะอำนาจเหนือฝ่ายดีได้ ก็คงเป็นคุณครู

พ่อแม่มักสอนว่า ถ้ามีเรื่องอะไรให้ไปบอกครู
โดนเพื่อนแกล้ง ของหาย หรือมีปัญหาอะไร ให้ไปบอกครู

ถ้าเด็กๆ ด้วยกัน ก็จะเรียกว่าฟ้องครู คนฟ้องก็ถูกเรียกว่าไอ้ขี้ฟ้อง ตามสูตร

เสร็จแล้วครูก็จะมาถามว่า ใครผิด?
ตัดสินกับแบบ ขาว-ดำ

ทำให้ผมคิดว่า คนร่วมยุคร่วมสมัยกับผม น่าจะถูกหล่อหลอมมาแบบนี้เหมือนกันหลายคน
คือจะต้องอิงอาศัยอำนาจเหนือ อะไรสักอย่าง เพื่อตัดสินสิ่งตรงหน้าแบบ ขาว-ดำ

ไม่มีตรงกลาง ไม่มีเทาๆ แทบไม่มีคำว่า ถูกทั้งคู่
เพราะมันมีแค่ใครผิด กับผิดทั้งคู่ และถูกตีทั้งคู่ไปตามระเบียบ... -_-

พอโตขึ้นสักหน่อย ผมพบว่า อำนาจเหนือที่จะให้เราพึ่งพิงได้เริ่มน้อยลงเรื่อยๆ

เราเลิกฟ้องครู เลิกฟ้องพ่อแม่ แต่ตัดสินด้วยหัวโจก
ใครแข็งแรงที่สุด นั่นแหละ ผู้มีอำนาจเหนือ

จบชีวิตการศึกษา ออกมาทำงาน ก็วนมาฟ้องหัวหน้า ฟ้องเจ้านาย

นอกชีวิตทำงาน ฟ้องใคร ฟ้องตำรวจ ฟ้องผู้มีอิทธิพล

หลายครั้งที่รู้สึกว่าไม่อยากจะพึ่งพิงใคร ไม่อยากอยู่ใต้อำนาจเหนือของใคร
กลับทำให้กลายเป็นคนไร้อำนาจสิ้นเชิง

ก็โดนไอ้พวกขี้ฟ้องพวกนี้แหละ ใช้อำนาจเหนือมาเอารัดเอาเปรียบ
ซึ่งโดนในรูปแบบไหน คงไม่ต้องสาธยายให้มากความ

กลายเป็นว่า การอยากเป็นปัจเจกบุคคลซึ่งมีสิทธิเสรีภาพเต็มเท่าเทียมกันหมด
กลับเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก หรือเป็นไปไม่ได้เลย

เพราะเราก็อยู่ในระบบแบบนี้กันมา และก็อยู่แบบนี้กันไป มาตลอด ไม่เคยเปลี่ยน

สุดท้าย ถ้าอยากอยู่อย่างปลอดภัย
ก็จะพบว่าตัวเองกำลังวิ่งเข้าหาอำนาจเหนืออะไรสักอย่าง เพื่อเอาไว้คุ้มกะลาหัว

ถึงจะอยากหรือไม่อยาก รู้หรือไม่รู้

เราทุกคนก็ทำมันอยู่... หรือไม่จริง?

วันพุธ, มีนาคม 28, 2555

ไม่มีปาฏิหาริย์จากความว่างเปล่า....

ผมเชื่อในกฎของความมีเหตุผล...

กฎเดียวกับในพุทธศาสนาที่กล่าวว่า ทุกอย่างต้องมีเหตุ

ใช่ครับ ทุกอย่างในโลกมีที่มา
ไม่มีสิ่งใดไม่มีที่มา ไม่มีสิ่งใดเกิดโดยไร้เหตุผล

ถ้าเราอยากได้อะไร ก็แลกด้วยอะไรบางอย่างที่มีค่าเท่ากัน
เราอยากกินน้ำ ต้องเดินไปเทน้ำใส่แก้ว แล้วยกขึ้นดื่ม 
อะไรประมาณนั้น...

เวลาทำงาน ถ้าหวังให้ลูกน้องมีผลงาน
ผู้มีอำนาจเหนือก็ต้องลงทุนใส่ input บางอย่าง
เช่นอุปกรณ์ที่จำเป็น เวลาที่ต้องให้ ค่าตอบแทนที่ควรได้รับ

เวลาอยากให้ลูกฉลาด ให้โตเป็นคนดี
พ่อแม่ก็ควรจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้เห็นแต่เด็ก
พาเด็กไปเรียนรู้ หรือหาความรู้มาให้เด็กศึกษา
ให้ความรักและสภาพจิตที่ดีให้เด็ก

การคาดหวังว่าใครคนหนึ่งจะสามารถเสกทองจากอากาศ
สร้างฐานะได้จากความไม่มีอะไรเลยแม้แต่โอกาส

จึงเป็นเรื่องอันเป็นไปไม่ได้..

ไม่มีใครสร้างอะไรจากศูนย์

เขามีอะไรบางอย่างอยู่แล้ว จากน้อยๆ ค่อยๆสร้างให้มากๆ
เช่นมีความมานะพยายาม มีความฉลาดรู้ในบางอย่าง
มีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรบางอย่างที่คนอื่นไม่เข้าถึง

อะไรบางอย่างที่คนอย่างเราไม่มีเหมือนกัน
เราจึงมีชีวิตและอะไรๆ ที่ต่างกัน

บางครั้ง เราอาจรอให้บางอย่างสุกงอม ถึงเวลาออกผลของมัน
เวลา ความรู้ เงินทุน เพื่อนดีๆ หรืออะไรสักอย่างที่เรียกว่าโอกาส...

บางทีเราก็ไปเร่งมะม่วงให้สุกก่อนเวลาจะอร่อยไม่ได้...

ก็เพราะมันไม่มีปาฏิหาริย์จากความว่างเปล่า....

วันจันทร์, กุมภาพันธ์ 06, 2555

น้อยใจพ่อ! หนุ่มลูกร้านทอง รับฉีกเงินล้านทิ้งถังขยะ... [news]


น้อยใจพ่อ! หนุ่มลูกร้านทอง รับฉีกเงินล้านทิ้งถังขยะ

ปิดคดีฉีกเงินล้านทิ้งถังขยะชลบุรี "หนุ่มลูกร้านทอง" รับเป็นคนทำอ้างปมน้อยใจพ่อ ด้าน ผบช.ภ. 2 ระบุเป็นปัญหาครอบครัว และเงินดังกล่าวไม่ใช่เงินจากยาเสพติด ผู้ฉีกจึงไม่มีความผิดเนื่องจากเป็นเงินของบิดาซึ่งเหมือนเป็นเงินของตัวเอง...
เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 6 ก.พ. ที่ห้องประชุม บก.ภ.จว.ชลบุรี พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผบช.ภ.2, พล.ต.ต.จำนงค์ รัตนกุล ผบก.ภ.จว.ชลบุรี ร่วมกันแถลงข่าวกรณีฉีกธนบัตรว่า เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 55 พ.ต.ท.ปิยะวัฒน์ นามดุ้ง พนักงานสอบสวน สภ.คลองกิ่ว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่าพบเศษชิ้นส่วนธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท ถูกฉีกทำลายนำมาทิ้งไว้ในถังเก็บขยะของเทศบาลตำบลหัวกุญแจ ที่ตั้งอยู่ริมถนนสายเทศบาลสาย 3 หมู่ 1 ต.คลองกิ่ว จึงพร้อมกับ พ.ต.อ.ชีวิน เนื่องจำนงค์ ผกก.สภ.คลองกิ่ว เดินทางไปตรวจสอบพบธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท ถูกตัดและฉีกเป็นชิ้นๆ อยู่ก้นถัง น้ำหนักรวมประมาณ 1.3 กิโลกรัม และสายรัดธนบัตรสีขาวของ ธ.กสิกรไทย หมายเลข 9924014 ชนิด 1,000 บาท คิดเป็นเงิน 1.3 ล้านบาท เบื้องต้นยังไม่ทราบว่าเป็นของใคร
ต่อมานายวรพงศ์ หรือ หยู๋ โรจน์สัตตรัตน์ อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 191/12 หมู่ 1 ต.คลองกิ่ว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี เจ้าของร้านทอง ห้างทองรุ่งเจริญ ตั้งอยู่ในตลาดหัวกุญแจ ต.คลองกิ่ว ได้พา นายวรพันธ์ หรือ เบิร์ด โรจน์สัตตรัตน์ อายุ 30 ปี บุตรชาย เข้าพบ พล.ต.ต.จำนงค์ รัตนกุล ผบก.ภ.จว.ชลบุรี แจ้งว่าธนบัตรที่ถูกฉีกแล้วนำไปทิ้งถังขยะนั้นเป็นของตนเอง และผู้ที่ฉีกธนบัตรนั้นคือ นายวรพันธ์ บุตรชายคนที่ 2 ของตน ส่วนสาเหตุที่นายวรพันธ์ ทำลายธนบัตรเกิดจากเมื่อ 2 ปีก่อนตนไปเปิดร้านทองอีกแห่งที่พัทยาให้บุตรชายคนโตดูแล และนำเงินไปลงทุนจำนวนมาก ทำให้นายวรพันธ์ เกิดน้อยใจจึงแอบเก็บเงินที่ขายทองได้ซุกซ่อนไว้ กระทั่งก่อนเกิดเหตุกลัวตนจะรู้ว่าแอบเก็บเงินที่ขายทองได้ไว้เป็นจำนวนมาก เลยเอาไปทำลายทิ้งเพื่อจะปกปิดความผิดของตัวเอง

พล.ต.ต.จำนงค์ ผบก.ภ.จว.ชลบุรี กล่าวว่า นายวรพันธ์ ยอมรับว่า เป็นผู้ฉีกทำลายธนบัตรดังกล่าวโดยใช้กรรไกรตัดและใช้ไฟเผาเงินบางส่วน แล้วนำเศษชิ้นส่วนธนบัตรใส่ถุงกระดาษไปทิ้งในถังขยะของเทศบาลตำบลหัวกุญแจ ห่างจากบ้านพักตัวเองประมาณ 30 เมตร สาเหตุเกิดจากเกิดความเครียด น้อยใจ และไม่พอใจที่ผู้เป็นพ่อซึ่งมีบุตรรวม 3 คน แบ่งเงินให้ลูกไปลงทุนเปิดร้านทองไม่เท่าเทียมกัน จึงแอบขโมยเงินครั้งละ 20,000-30,000 บาท สะสมแอบเก็บไว้เรื่อยๆ เป็นเวลาประมาณ 2 ปี จนวันเกิดเหตุไม่สบายใจ เกรงว่าบิดาจะตรวจพบเงินและจับได้ ประกอบกับน้อยเนื้อต่ำใจจึงทำลายธนบัตรทิ้ง
นายวรพันธ์ กล่าวว่า หลังจากทำลายเงิน เพราะกลัวบิดารู้แล้ว ก็มีข่าวว่าตำรวจจะนำลายนิ้วมือที่ติดธนบัตรไปพิสูจน์ เลยเกิดความกลัวจึงยอมเล่าให้บิดาฟัง ก่อนที่บิดาจะพาเข้าพบและเล่าสาเหตุให้ พล.ต.ต.จำนงค์ ผบก.ภ.จว.ชลบุรี ทราบอย่างละเอียด ทั้งนี้ ขอฝากบอกกับทุกคนว่า ก่อนจะทำอะไรที่ไม่สบายใจหรือน้อยใจก็อย่าได้วู่วามหรือคิดสั้น

พล.ต.ท. ปัญญา ผบช.ภ. 2 กล่าวว่า ขั้นตอนการทำลายเงินด้วยการใช้กรรไกร, จุดไฟเผาเป็นบางส่วน และฉีกทั้งหมดเป็นปัญหาครอบครัวไม่ใช่เงินยาเสพติด และผู้ฉีกก็ไม่มีความผิดเนื่องจากเป็นเงินของบิดาซึ่งเหมือนเป็นเงินของตัวเอง.


...

ด้วยความเคารพ... เริ่มทำตอนอายุ 28 ตอนนี้อายุ 30

ไม่ทราบว่าเลี้ยงลูกด้วยอะไรครับ
และคุณลูก... ใช้อะไรคิดครับ...

ไม่มีอะไรจะพูดแล้วครับ... 

วันจันทร์, มกราคม 30, 2555

Stilnox (Zolpidem) Love and Other Drugs... [video]

จากที่ผมเคยเขียนไว้เมื่อปี 2009
ยาที่ทำให้เจ้าชายนิทรา กลับตื่นขึ้นได้...

ล่าสุด ปี 2011 มีเรื่องราวน่าประทับใจของ Sam และ Sally
http://sixtyminutes.ninemsn.com.au/stories/8351188/the-awakening

Sam และ Sally เป็นคู่รักที่กำลังจะแต่งงานกันอยู่แล้ว
แต่ Sam ประสบอุบัติเหตุระหว่างการเล่นฟุตบอล ต้องเข้า ICU 
และถูกวินิจฉัยว่าสมองเสียหาย เกือบกลายเป็นมนุษย์ผัก

แต่ด้วยความรักจากครอบครัวและคู่หมั้นของเขา Sally ที่พยายามหาทุกวิถีทางที่จะรักษา
จนได้ทดลองให้ยา Stilnox ซึ่งทำให้เกิดปาฏิหาริย์

Sam สามารถหลุดออกจากการถูกคุมขังในร่างกายตัวเอง และพูดคุยได้อีกครั้ง...

ขอเชิญรับชม จะดีกว่าให้ผมอธิบายมากครับ...

...

ยังคงมีความพยายามพัฒนาตัวยานี้ต่อไป เพื่อลดผลของการทำให้หลับ
เพื่อให้ได้ผลต่อการรักษาอาการทางสมองนี้ดียิ่งขึ้น

และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในอีกไม่นาน
จะมีวิธีรักษาบรรเทา ผู้ป่วยที่มีอาการแบบนี้ ให้ดียิ่งๆขึ้นไป

...

เราทุกคนต้องการความรักไม่ใช่หรือ?

วันอาทิตย์, มกราคม 29, 2555

เจอคนทักว่าดวงดี...

วันนี้ไป central world ตอนเข้าห้องน้ำ กำลังจะล้างมือ
อยู่ดีๆ ก็มีชาวซิกข์ท่านหนึ่ง ยิ้มให้ เอานิ้วแตะหน้าผากตัวเอง แล้วยกนิ้วโป้ง

ผมก็ยิ้มให้ ด้วยว่าไม่เข้าใจ
สักพัก เขาก็ทำท่าเดิมอีก แล้วพูดว่า "ดวงดี"

แล้วก็พูดต่อว่า "คุณน่ะดวงดีนะ ดีมาสองสามปีแล้ว แต่กรรมเก่ายังชดใช้ไม่หมด ปีหน้าก็สบายแล้ว"

ผมทำหน้างงๆ เขาเลยพูดต่อว่า "อาจารย์วันนี้ไม่ได้ทำงาน เลยไม่ได้นั่งสมาธิ ออกมาเดินเที่ยว"

แล้วเขาก็เดินจากไป...

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ราวๆ 1 นาที เท่านั้น...

ผมพยายามคิดว่า เป็นเรื่องดี
ถ้าเป็นอย่างเขาว่าจริงๆ ก็หวังว่าจะได้พบเจอกับเขาอีก

แต่ถ้าไม่จริง ก็ไม่เสียอะไร เพราะผมไม่ได้เสียอะไร นอกจากได้คำอวยพร...

แปลกไหม? ผมว่าเป็นวันที่โคตรแปลกวันนึงของผมเลย...

วันอาทิตย์, มกราคม 22, 2555

ลองเปลี่ยน template เล่นๆ...

ลองเปลี่ยน template เล่นๆ... แก้เบื่อ

ว่าแต่ ทำไมช่อง comment มันหายไปไหน

วันเสาร์, มกราคม 14, 2555

สุขของสองวัยในวันเด็ก...

วันเด็กวนมาอีกครั้ง จำง่ายดี
เสาร์ที่สองของเดือนมกราคม ปีนี้ตรงกับวันที่ 14 มกราคม 2555

ใครคิดให้วันเด็กเป็นวันนี้ก็ไม่รู้
รู้แต่ว่า เป็นช่วงผู้ใหญ่กำลังจนกรอบหลังจากเอาเงินไปฉลองปีใหม่มาหมาดๆ

เด็กเลยต้องฉลองกันแบบกรอบๆ ยกเว้นพ่อแม่ใครมีเงินก็สบายหน่อย
แต่ช่างเถอะ พี่ไทยชอบงานฉลอง ยังไงก็หาวิธีสนุกกับมันจนได้

คิดไปคิดมา วันเด็กสำหรับคนสองวัย คือผู้ใหญ่กับเด็ก จะสนุกคนละแบบ

ในวันเด็ก เด็กจะสนุกแบบ Active แต่ผู้ใหญ่จะสนุกแบบ Passive
คือเด็กได้ไปเที่ยว สนุกโดยตรง แต่ผู้ใหญ่จะสนุกที่ได้เห็นเด็กๆ มีความสุขอีกทอด

ผู้ใหญ่มีโอกาสได้เห็นเด็กๆ เล่นสิ่งที่ตัวเองเคยเล่น สนุกในสิ่งที่ตัวเองเคยสนุก
อาจเป็นการได้หวนรำลึก ให้อารมณ์แบบ nostalgia ไปกลายๆ

อย่าว่างั้นงี้เลย ผู้ใหญ่เองก็โหยหาความเป็นเด็ก ความสนุกแบบง่ายๆ และอิสระแบบเด็กๆ อยู่เสมอนั่นแหละ เพียงแต่ไม่ได้พูดออกมา

คิดว่า มีวันเด็กก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยจิตใจของผู้ใหญ่ ก็มีโอกาสได้กลับเป็นเด็กบ้างสักปีละครั้ง...

วันเสาร์, มกราคม 07, 2555

ทำกาแฟแบบ Turkish Coffee...

วันนี้ ฤกษ์งามยามดี มีพัสดุส่งมาจากอียิปต์
จำได้ว่าสั่งของมาจาก ebay

02v8BX

เลยนึกขึ้นมาได้ว่า สั่งหม้อต้มกาแฟแบบ Turkish ไปตั้งแต่ก่อนปีใหม่
ของมาแล้ว...

0HosRn

ขนาดเล็กกว่าที่่คาดไปเยอะ เป็นขนาดสำหรับทำแก้วเดียว
มาได้จังหวะพอดี เลยทำกาแฟยามบ่ายกินเสียเลย

วิธีทำกาแฟแบบ Turkish ไม่ยากครับ ตามคลิปนี้เลย

สรุปง่ายๆคือ

  1. บดกาแฟให้ละเอียดที่สุด ซื้อแบบที่ให้เขาบดให้ก็ได้ บอกเขาว่าเอาละเอียดสุด
  2. ตักผงกาแฟใส่หม้อ แก้วละช้อน ทำแก้วเดียว ก็ใส่ช้อนเดียว
  3. ใส่น้ำตาลให้หวานหน่อยก็ดี ผมใส่ราวครึ่งช้อนโต๊ะไม่พูน
  4. ใส่น้ำในแก้ว เพื่อตวงให้พอดี แล้วค่อยเทให้หม้อ ใช้แก้วเล็กๆนะ
  5. ต้มไฟอ่อนๆ ไปเรื่อยๆ คนเล็กน้อยในช่วงแรกๆ พอ
  6. พอมันเริ่มเดือด จะมีฟองโฟมขึ้นมา ยกหนีไฟหน่อย แล้วเอาไปต้มต่อ สักสองที
  7. อย่าต้มนานไป โฟมกาแฟจะหดหายหมด ผมพลาดไปแล้ว
  8. เทใส่แก้วช้าๆ กากกาแฟส่วนใหญ่จะกองอยู่ก้นหม้อ แต่ก็มีลงไปในกาแฟบ้าง
  9. ดื่มช้าๆ...

ของผมออกมาแบบนี้

08kcTf

ออกมานิดเดียวแหละ ไม่แน่ใจว่าถ้าใส่น้ำร้อนเติมทีหลังจะเสียรสไหม

แต่ผมก็ดื่มแบบนี้เลย... ผลคือ

ประทับใจ มาก...

เข้าใจเลยว่า คำว่า "Black as hell, Sweet as love" มันคืออะไร

กาแฟหอมมาก มากๆ และรสจะเนียนไปกับความหวานแบบบรรยายไม่ถูก ต้องลองเอง
ความหอมนี่ เหนือกว่าวิธีชงอื่นๆ น่าจะไปคล้ายกับ espresso นู่นเลย
และก็จะหอมต่างจาก Moka Pot ด้วย ผมว่ามันเนียนกว่า โดยใช้กาแฟเหมือนๆกัน

แต่เราไม่ต้องซื้อเครื่องทำ espresso แพงๆ หลักหลายหมื่นไง
ผมสั่งกาจาก ebay มาแค่ 380 บาท ก็ทำกาแฟโคตรหอมได้แล้ว

ถ้าใครจะลองสั่งกามา ผมว่าลองหาแบบที่ขนาดใหญ่กว่านี้จะทำง่ายกว่า
แต่ผมไม่แน่ใจราคา ว่าจะได้ราคากันสักเท่าไหร่นะครับ

ถ้ามีโอกาส แนะนำให้ลองครับ...

ขอให้มีความสุขกับการดื่มกาแฟกันทุกท่านครับ... :)

วันศุกร์, มกราคม 06, 2555

สิ่งที่ได้รู้ หลังจากไปเที่ยวเชียงใหม่ช่วงปีใหม่...

 

ช่วงปีใหม่ 2555 ได้ไปเที่ยวเชียงใหม่มาครับ...

เป็นการขึ้นภาคเหนือครั้งแรกของผมเลยล่ะ
ปกติเคยไปแต่ทางตะวันออก ตก ใต้ตอนบน

เลยขอมาบันทึกสิ่งที่ประทับใจจากเชียงใหม่ไว้สักหน่อย...

  • ใครว่าเชียงใหม่หนาว ร้อนเหมือนกรุงเทพแหละ
  • เชียงใหม่ไม่หนาว แต่ขาวมากๆ...
  • เชียงใหม่คือการเอาร้านดังๆ จากกรุงเทพ ไปยัดรวมกันในบริเวณแคบๆ มีร้านที่แจ๊งจากกรุงเทพหลายยี่ห้อ หรือแม้แต่ห้างพันธุ์ทิพย์ขายคอม
  • ในตัวเมืองเชียงใหม่ ก็แออัดเหมือนเมืองกรุง มองจากหน้าต่าง ไม่เห็นอะไรสวยๆงามๆเลย
  • รถติดบรรลัยยิ่งกว่าเมืองกรุงตอนเลิกงาน ไฟแดงถี่มาก มีทุกแยก
  • ค่าที่พักถูกดี ถ้าเทียบกับจังหวัดแถบชายทะเล หรือภูเขาเมืองกาญจน์
  • น้ำประปาในที่พักแรงสะใจทุกที่ ฉีดก้นทีเนื้อแทบหลุดตามไปด้วย
  • ผับบาร์แถวถนนนิมมานเหมินทร์เยอะ ตอนหัวค่ำ เหมือนเดินสีลมผสม RCA
  • ยังไม่มีโอกาสได้เดินถนนคนเดินตรงช้างคลาน กับไนท์บาซาร์ แต่เท่าที่เห็น ฝรั่งเพียบ
  • คนแถวนั้น นอนดึก ตื่นสาย บ่ายเดินเล่น เย็นเข้าผับ กลับบ้านเกือบสว่าง
  • อาหารการกินไม่ถูก ราคาใกล้เคียงย่านออฟฟิศสุขุมวิท
  • ถนนขึ้นดอยส่วนใหญ่โหดมาก ควรจอดรถไว้ตีนดอย แล้วจ้างรถขึ้นไป สองข้างถนนบางจุดมีแต่เหว ทั้งชัน ทั้งแคบ ยกเว้นว่าอยากจะพังรถตัวเองก็ตามใจ
  • ค่าขึ้นดอยแต่ละที่ไม่เท่ากัน แต่รถจะเป็นพวกสองแถวเหลืองเสียมาก ราคาก็มีทั้งหัวละ 200 หรือเหมาทั้งคัน 1,500 อะไรทำนองนั้น แล้วแต่ที่
  • ถ้าเป็นรถแบบคิดรายหัว พยายามนั่งรถที่ไปไม่เกิน 10 คน จะนั่งสบาย คนเยอะไป รถจะขึ้นไม่ไหวก็มี ต้องลงเดิน ซึ่งเมื่อยมาก ผมต้องเดินแค่ 500 เมตร แต่แทบตาย เหนื่อยสุดๆ
  • รถจอดเสียบนดอยเยอะมาก ค่าลากลง 3,000 ค่าซ่อมต่างหาก
  • มีบริการเปลี่ยนคลัชถึงบนดอย
  • 1584 มีอำนาจครอบคลุมไปยันรถสองแถวขึ้นดอยอินทนนท์
  • บนดอยอินทนนท์ เย็นกว่าข้างล่างราวเกือบ 10c บ่ายๆ ยังเย็นอยู่เลย
  • บนดอยมีขายของไม่กี่อย่าง มันปิ้ง ข้าวโพดปิ้ง ซาละเปา ข้าวต้ม มาม่า กาแฟ ใบชา ถั่วแดง เกาลัด สตรอเบอรี่ ไวน์ผลไม้ เหล้าท้องถิ่น อโวคาโด
  • ไปสี่วัน แทบไม่เจอคนอู้คำเมืองเลย เจอแต่พูดภาษากลางทั้งนั้น อยากเจอสาวอู้คำเมือง ผมว่าน่ารักดี
  • วัดแถวนั้นสวยดี ประตูทางเข้ามีสิงห์อยู่สองข้างแทนซุ้มแบบภาคกลาง และมีภาษาน่าจะมอญมั๊ง เขียนกำกับแทบทุกวัด
  • แต่วัดจะไม่ค่อยใหญ่ เป็นวัดเล็กๆเสียมาก
  • ถ้าเห็นบ้านสวยๆ แต่งระแนงฉลุ นั่นไม่ใช่บ้านอยู่อาศัย ส่วนใหญ่เป็นร้านค้าขายงานศิลปะแพงๆ บ้านคนทั่วไป เหมือนบ้านภาคกลางหมดแล้ว
  • ไม่ได้ขึ้นสองแถวแดง เลยไม่ได้สัมผัสว่าเขาคิดเงินกันยังไง
  • อาหารเหนือ? แทบไม่ได้แตะ ทำไมเจอแต่ร้านก๋วยเตี๋ยวธรรมดา ข้างแกงแบบภาคกลาง หรือร้านมียี่ห้อแบบในห้างสรรพสินค้า แล้วร้านอาหารเหนือหายไปไหนหมด?
  • งานพืชสวนโลก... ไม่ต้องไปก็ได้ ไม่มีอะไรให้ต้องเสียดายถ้าไม่ได้ไป มีแต่จัดดอกไม้วางๆ ไว้ แค่นั้น ไม่มีความรู้อะไรประดับสมองเลย
  • เที่ยงคืนขึ้นปีใหม่ ยิงพลุกันระห่ำแตกมากๆ เหมือนสงครามกลางเมือง โคมลอยมีประปราย

ถ้าถามผมว่า จะไปเที่ยวเชียงใหม่ ถ้าไปเที่ยวในเมือง ผมว่าไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากคุณชอบเที่ยวผับ หรือเดินกลางคืน ไปเที่ยวตามดอยไปเลยจะดีกว่ามาก ได้เห็นธรรมชาติ และชาวบ้านบนเขา สนุกกว่าเยอะ

แต่อย่างว่า ถ้าเป็นวัยรุ่นไปเป็นกลุ่ม อาจชอบเที่ยวในเมืองมากกว่า เดินเหล่สาว กินเหล้า เมายา ว่าไป

ส่วนตัวผมคิดว่า มีความรู้สึกว่าต้องไปอีกให้ได้ไหม ผมเฉยๆนะ เชียงใหม่ไม่ได้มีมนต์สเน่ห์อะไรขนาดนั้น ไปอีกก็ดี ไม่ได้ก็ไปจังหวัดอื่น เดี๋ยวนี้จังหวัดทางตะวันตก หรืออีสานก็มีเขาสูงๆ มีขายของคล้ายๆ กัน และธรรมชาติก็ยังดูดีกว่าอีกหลายที่

แต่ถ้ามีโอกาส ก็คงไปอีก... สักสองสามที คงพอ...

อายุขัยของมนุษย์ในบริบทสมมุติ: 40 ปีถึง 100,000 ปี

การเพิ่มหรือลดอายุขัยของมนุษย์ส่งผลต่อทุกแง่มุมของชีวิต ตั้งแต่ความคิดส่วนบุคคลไปจนถึงวิวัฒนาการของสังคม วัฒนธรรม และเทคโนโลยี ต่อไปนี้คือภา...