วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2567

15 ตัวอย่างการตลาดที่ผิดพลาดของแบรนด์ใหญ่

1. Hoover: โปรโมชั่น "บินฟรี" ที่ล้มเหลว (1992)

  • ที่มา:
    Hoover ต้องการกระตุ้นยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ตกต่ำในยุโรป จึงเสนอโปรโมชั่น "ซื้อสินค้า 100 ปอนด์ รับตั๋วเครื่องบินฟรีไปยุโรปหรือสหรัฐฯ" โดยหวังว่าลูกค้าจะซื้อสินค้าราคาสูง
  • ใครได้รับผลกระทบ:
    ลูกค้าหลายหมื่นคนเรียกร้องตั๋ว แต่ Hoover ไม่สามารถจัดการได้ทัน ส่งผลให้เกิดการฟ้องร้องจำนวนมาก
  • การตอบสนอง:
    Hoover พยายามเลื่อนการส่งมอบตั๋วและเปลี่ยนเงื่อนไข แต่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้
  • ผลลัพธ์:
    Hoover เสียเงินกว่า 50 ล้านปอนด์ และต้องขายกิจการให้ Maytag ในปี 1995
  • สรุป:
    โปรโมชั่นที่ไม่ได้คำนวณต้นทุนอย่างละเอียดทำให้บริษัทที่เคยเป็นตำนานต้องล่มสลาย

2. Pepsi: แคมเปญ "Number Fever" (1992)

  • ที่มา:
    Pepsi ในฟิลิปปินส์แจกเงินรางวัลใหญ่ 1 ล้านเปโซแก่ผู้ที่มีหมายเลขบนฝาขวดตรงกับที่ประกาศ แต่หมายเลข "349" ถูกพิมพ์ซ้ำถึง 800,000 ฝา
  • ใครได้รับผลกระทบ:
    ลูกค้าหลายพันคนออกมาเรียกร้องรางวัล Pepsi ปฏิเสธการจ่าย ทำให้เกิดความไม่พอใจ
  • การตอบสนอง:
    Pepsi ประกาศว่าฝาพิมพ์ผิดและเสนอเงินชดเชยเล็กน้อยแทน แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ
  • ผลลัพธ์:
    การฟ้องร้องหลายพันคดี การประท้วงและจลาจลรุนแรง ส่งผลให้ Pepsi สูญเสียตลาดในฟิลิปปินส์
  • สรุป:
    การจัดการแคมเปญผิดพลาดในระดับใหญ่ทำให้แบรนด์เสียหายอย่างร้ายแรง

3. Coca-Cola: ความล้มเหลวของ "New Coke" (1985)

  • ที่มา:
    Coca-Cola เปลี่ยนสูตรเป็น "New Coke" หลังพบว่า Pepsi เริ่มแย่งส่วนแบ่งตลาด แต่ไม่ได้สำรวจว่าลูกค้าผูกพันกับรสชาติดั้งเดิม
  • ใครได้รับผลกระทบ:
    ลูกค้าประท้วงอย่างรุนแรงและวิพากษ์วิจารณ์แบรนด์
  • การตอบสนอง:
    Coca-Cola นำสูตรเดิมกลับมาในชื่อ "Coca-Cola Classic"
  • ผลลัพธ์:
    แม้บริษัทกู้ชื่อเสียงได้ในระยะยาว แต่เหตุการณ์นี้ทำให้เสียเงินและทรัพยากรจำนวนมาก
  • สรุป:
    การไม่เข้าใจความสัมพันธ์เชิงอารมณ์ของลูกค้ากับแบรนด์อาจทำให้แคมเปญที่ดูเหมือนดีล้มเหลว

4. McDonald's: โปรโมชั่นโอลิมปิก (1984)

  • ที่มา:
    McDonald’s แจกอาหารฟรีเมื่อทีมสหรัฐฯ ได้เหรียญทอง แต่ทีมสหรัฐฯ ได้เหรียญมากกว่าที่คาดเนื่องจากสหภาพโซเวียตคว่ำบาตร
  • ใครได้รับผลกระทบ:
    McDonald's ต้องแบกรับต้นทุนอาหารฟรีจำนวนมาก
  • การตอบสนอง:
    บริษัทไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแคมเปญได้กลางทาง และต้องแบกรับผลกระทบ
  • ผลลัพธ์:
    การขาดทุนจากโปรโมชั่นมหาศาล แม้จะไม่กระทบชื่อเสียงในระยะยาว
  • สรุป:
    การประเมินปัจจัยภายนอกผิดพลาดทำให้แคมเปญที่ดีต้องกลายเป็นหายนะ

5. Ford Pinto: การละเลยความปลอดภัย (1970s)

  • ที่มา:
    Ford ตัดสินใจไม่แก้ไขปัญหาถังน้ำมันที่อาจระเบิดเมื่อถูกชนท้าย เพื่อประหยัดต้นทุน $11 ต่อลูก
  • ใครได้รับผลกระทบ:
    ผู้ใช้หลายรายเสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ
  • การตอบสนอง:
    Ford ถูกฟ้องร้องหลายคดี และในที่สุดต้องปรับปรุงถังน้ำมัน
  • ผลลัพธ์:
    Ford เสียเงินค่าชดเชยหลายสิบล้านดอลลาร์ และชื่อเสียงเสียหาย
  • สรุป:
    การละเลยความปลอดภัยเพื่อประหยัดต้นทุนอาจนำไปสู่ความเสียหายทางชื่อเสียงและกฎหมาย

6. Gap: โลโก้ใหม่ที่ล้มเหลว (2010)

  • ที่มา:
    Gap เปลี่ยนโลโก้ใหม่เพื่อปรับภาพลักษณ์ แต่ลูกค้าวิจารณ์ว่าโลโก้ไม่มีเอกลักษณ์
  • ใครได้รับผลกระทบ:
    ลูกค้าและแฟนคลับแบรนด์ไม่พอใจ
  • การตอบสนอง:
    Gap ยกเลิกโลโก้ใหม่ภายใน 1 สัปดาห์
  • ผลลัพธ์:
    บริษัทเสียเงินและเวลาจำนวนมากโดยไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี
  • สรุป:
    การเปลี่ยนแปลงแบรนด์ต้องพิจารณาความรู้สึกและความผูกพันของลูกค้า

7. Starbucks: แคมเปญ #RaceTogether (2015)

  • ที่มา:
    Starbucks พยายามกระตุ้นการพูดคุยเรื่องเชื้อชาติผ่านข้อความบนถ้วยกาแฟ แต่ลูกค้ากลับมองว่าไม่เหมาะสม
  • ใครได้รับผลกระทบ:
    พนักงานที่ถูกกดดันให้พูดคุยประเด็นอ่อนไหว และชื่อเสียงแบรนด์
  • การตอบสนอง:
    Starbucks ยกเลิกแคมเปญและออกมาขอโทษ
  • ผลลัพธ์:
    ถูกวิจารณ์อย่างหนัก แม้จะไม่ได้กระทบยอดขายในระยะยาว
  • สรุป:
    การใช้ประเด็นอ่อนไหวในแคมเปญต้องทำอย่างละเอียดอ่อน

8. Pepsi: โฆษณา Kendall Jenner (2017)

  • ที่มา:
    โฆษณาที่ให้ Kendall Jenner ยุติการประท้วงด้วย Pepsi ถูกมองว่าไม่เหมาะสม
  • ใครได้รับผลกระทบ:
    Pepsi ถูกวิจารณ์หนักว่าล้อเลียนปัญหาสังคม
  • การตอบสนอง:
    โฆษณาถูกถอนในไม่กี่วัน และบริษัทออกมาขอโทษ
  • ผลลัพธ์:
    เสียชื่อเสียงในวงกว้าง แม้ยอดขายไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
  • สรุป:
    การไม่เข้าใจบริบททางสังคมอาจทำให้แคมเปญดี ๆ กลายเป็นความล้มเหลว

9. Nokia: การล้มเหลวในการแข่งขันสมาร์ทโฟน (2000s)

  • ที่มา:
    Nokia ซึ่งเคยเป็นผู้นำในตลาดมือถือไม่ปรับตัวให้เข้ากับยุคสมาร์ทโฟน โดยยังคงใช้ระบบปฏิบัติการ Symbian ที่ล้าสมัยและไม่ทันต่อการแข่งขันจาก iPhone และ Android
  • ใครได้รับผลกระทบ:
    Nokia สูญเสียส่วนแบ่งตลาดจำนวนมหาศาล และลูกค้าเปลี่ยนไปใช้สมาร์ทโฟนที่ทันสมัยกว่า
  • การตอบสนอง:
    Nokia พยายามเปิดตัวระบบปฏิบัติการใหม่ (MeeGo) และร่วมมือกับ Microsoft เพื่อสร้าง Windows Phone แต่ล้มเหลว
  • ผลลัพธ์:
    บริษัทสูญเสียตำแหน่งในตลาดโลก ถูกขายให้ Microsoft ในปี 2014
  • สรุป:
    การปรับตัวล่าช้าในตลาดที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วอาจทำให้บริษัทผู้นำกลายเป็นผู้ตามหรือสูญหายไปจากตลาด

10. Adidas: แคมเปญ "Survivors" (2017)

  • ที่มา:
    Adidas ส่งอีเมลแสดงความยินดีแก่ผู้ร่วมวิ่ง Boston Marathon โดยใช้ข้อความว่า "Congrats, you survived the Boston Marathon!" ซึ่งไม่เหมาะสมเพราะเคยเกิดเหตุระเบิดในงานวิ่งนี้เมื่อปี 2013
  • ใครได้รับผลกระทบ:
    ผู้ที่ได้รับอีเมลโดยเฉพาะครอบครัวของเหยื่อที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ระเบิด
  • การตอบสนอง:
    Adidas ออกมาขอโทษในทันที และยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดร้ายแรงในการสื่อสาร
  • ผลลัพธ์:
    ชื่อเสียงของแบรนด์ได้รับผลกระทบ แต่การตอบสนองอย่างรวดเร็วช่วยลดความเสียหาย
  • สรุป:
    การใช้ข้อความสื่อสารต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความอ่อนไหวทางสังคม

11. Burger King: แคมเปญ "Women belong in the kitchen" (2021)

  • ที่มา:
    Burger King ทวีตข้อความว่า "Women belong in the kitchen" เพื่อโปรโมชันทุนการศึกษาด้านการทำอาหารสำหรับผู้หญิง แต่ข้อความถูกตีความว่าเป็นการเหยียดเพศ
  • ใครได้รับผลกระทบ:
    แบรนด์ถูกวิจารณ์อย่างรุนแรงบนโซเชียลมีเดีย
  • การตอบสนอง:
    Burger King ลบทวีตและออกมาขอโทษในไม่กี่ชั่วโมง
  • ผลลัพธ์:
    เสียชื่อเสียงในระยะสั้น แม้จะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อยอดขายมากนัก
  • สรุป:
    การเล่นคำหรือแคมเปญที่ตั้งใจให้ดึงดูดความสนใจ อาจกลายเป็นดาบสองคม

12. H&M: เสื้อ "Coolest Monkey in the Jungle" (2018)

  • ที่มา:
    H&M โพสต์ภาพเด็กผิวดำสวมเสื้อที่มีข้อความ "Coolest Monkey in the Jungle" ซึ่งถูกมองว่าเหยียดเชื้อชาติ
  • ใครได้รับผลกระทบ:
    แบรนด์ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะในประเทศแอฟริกาใต้ที่เกิดการประท้วงรุนแรง
  • การตอบสนอง:
    H&M ถอนสินค้าออกจากตลาดและออกแถลงการณ์ขอโทษ
  • ผลลัพธ์:
    แบรนด์สูญเสียความไว้วางใจจากลูกค้าบางกลุ่ม และต้องพยายามฟื้นฟูชื่อเสียง
  • สรุป:
    การสื่อสารหรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่ละเอียดอ่อนต่อวัฒนธรรมและเชื้อชาติอาจสร้างความเสียหายใหญ่หลวง

13. Audi: โฆษณารถแต่งงาน (2017)

  • ที่มา:
    Audi ในประเทศจีนเผยโฆษณาที่เปรียบการเลือกซื้อรถเหมือนการตรวจดูเจ้าสาวในวันแต่งงาน ซึ่งถูกมองว่าเหยียดเพศและไม่เหมาะสม
  • ใครได้รับผลกระทบ:
    แบรนด์ Audi ถูกวิจารณ์อย่างหนักในจีน ซึ่งเป็นตลาดสำคัญ
  • การตอบสนอง:
    Audi ลบโฆษณาและออกแถลงการณ์ขอโทษ
  • ผลลัพธ์:
    แม้ยอดขายไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่ชื่อเสียงแบรนด์ในด้านการเคารพเพศหญิงถูกตั้งคำถาม
  • สรุป:
    การสร้างโฆษณาต้องระวังเรื่องวัฒนธรรมและความละเอียดอ่อนในบริบทของตลาด

14. American Airlines: ตั๋ว First Class ตลอดชีพ (1981)

  • ที่มา:
    American Airlines ขายตั๋ว First Class แบบไม่จำกัดเที่ยวบินตลอดชีพในราคา $250,000 แต่ลูกค้าบางคนใช้งานอย่างหนักจนทำให้เกิดต้นทุนมหาศาล
  • ใครได้รับผลกระทบ:
    สายการบินต้องแบกรับต้นทุนมหาศาล และพยายามยกเลิกสิทธิ์ของลูกค้าบางราย
  • การตอบสนอง:
    American Airlines ระงับโปรแกรมและเสนอการคืนเงิน
  • ผลลัพธ์:
    สูญเสียเงินจำนวนมหาศาล และเกิดความไม่พอใจในกลุ่มลูกค้าที่เสียสิทธิ์
  • สรุป:
    การวางแผนโปรโมชั่นที่ไม่คำนึงถึงการใช้งานจริงอาจทำให้บริษัทเสียหาย

15. Netflix: การเพิ่มราคาค่าบริการและแยกบริการ (2011)

  • ที่มา:
    Netflix แยกบริการสตรีมมิ่งและเช่าวิดีโอเป็นสองแพลตฟอร์ม และเพิ่มค่าบริการขึ้น 60% โดยไม่แจ้งล่วงหน้า
  • ใครได้รับผลกระทบ:
    ลูกค้าไม่พอใจและยกเลิกบริการกว่า 800,000 รายในไม่กี่เดือน
  • การตอบสนอง:
    Netflix ยกเลิกแผนแยกบริการและพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์กับลูกค้า
  • ผลลัพธ์:
    ราคาหุ้น Netflix ร่วงลงกว่า 77% ในปีนั้น ก่อนจะฟื้นตัวในอีกหลายปีถัดมา
  • สรุป:
    การเปลี่ยนแปลงที่ขาดการสื่อสารที่ดีและกระทบลูกค้าโดยตรง อาจสร้างความเสียหายมหาศาล

15 ตัวอย่างการตลาดที่ผิดพลาดของแบรนด์ใหญ่

1. Hoover: โปรโมชั่น "บินฟรี" ที่ล้มเหลว (1992) ที่มา: Hoover ต้องการกระตุ้นยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ตกต่ำในยุโรป จึงเสนอโปรโมชั่น ...