ความสามารถมีแค่นี้ล่ะครับ
วันเสาร์, ตุลาคม 19, 2556
วันพุธ, ตุลาคม 16, 2556
ครบรอบ 5 ปี notebook ส่วนตัว...
ไม่มีอะไรพิเศษหรอกครับ...
พอดีผมชอบจดบันทึกว่าซื้อของใหญ่ๆ แพงๆ มาวันไหน ลงไปใน address book
พอครบปี มันจะขึ้นมาเตือนว่า ซื้อมาครบกี่ปีแล้ว
วันนี้ถึงคิวของ notebook Asus F80S ครบรอบ 5 ปีครับ
spec ก็ตามยุคตามสมัยครับ Core2Duo 2.0 GHz
ผ่านการลง OS มาแล้วไม่รู้กี่รอบ นับไม่ถ้วน
ประกัน 2 ปี ขึ้นปีที่ 2 DVD drive พัง อ่านเขียนไม่ค่อยได้ ก็เคลมไป
ใกล้หมดประกัน keyboard บางปุ่มไม่ตอบสนอง ก็เคลมทิ้งทวนไป
เข้าปีที่ 4-5 แทบไม่มีปัญหาอะไรเลย นอกจากปุ่ม power เริ่มจม กดยาก
กับปัญหาพัดลมใบหัก เพราะไปทำความสะอาดกระแทกมันแรงไปเอง
HDD ปกติ ไม่มี bad sector มากวนใจ ทั้งที่ format ถี่โหดมาก
ถอดเล่นจนเกือบจะครบหมดทุกชิ้นส่วนแล้ว...
ถ้าไม่นับเรื่องจอสีไม่สดเท่าไหร่ นอกนั้นผมว่าผมประทับใจนะ
ไม่รู้เครื่องรุ่นใหม่สมัยนี้เป็นยังไงบ้างแล้ว
แต่ถ้ามีคนมาถามความเห็น ผมก็ยังเชียร์ยี่ห้อนี้ได้อยู่
ใจก็อยากซื้อใหม่ล่ะครับ เพราะเครื่องสมัยนี้เร็วกว่าเยอะมากๆ
แต่ก็เสียดายเงิน ถ้าไม่พังคามือ ก็คงใช้ไปเรื่อยๆ ก่อน
สุขสันต์วันเกิด เจ้า notebook ที่ไม่มีชื่อ...
วันจันทร์, ตุลาคม 14, 2556
เปลี่ยนพัดลม cpu ของ notebook Asus F80S...
ถ้ายังจำกันได้...
notebook ที่ผมใช้เป็น PC ส่วนตัวมาร่วม 4-5 ปีมานี้คือ Asus F80S
ซึ่งปีสองปีที่ผ่านมา ผมรู้สึกว่าเสียงพัดลมมันดังมาก
แต่ก็ทนใช้ไปงั้นแหละ ไม่ได้เดือดร้อนอะไร
จนมาพักหลัง เริ่มซื้อของทาง ebay เลยนึกขึ้นได้ว่า น่าจะลองเปลี่ยนพัดลมดู
ค้นหาไม่ยาก ก็ได้พัดลมมา ราคาราวๆ 350 บาท บินลัดฟ้ามาจากฮ่องกง
ปัญหาต่อมาคือ จะแกะตัวเก่าออกมายังไง...
เรื่องนี้ไม่ยาก สมัยนี้เราสามารถหา tutorial ใน Youtube แทบจะทุกสิ่ง
หาแป๊บเดียว ก็เจอคลิปนี้...
คือมันไม่ได้สอนเปลี่ยนพัดลมโดยตรงหรอกนะ
แต่ที่อยากรู้ ก็แค่วิธีถอดเอาชุดพัดลมออกนั่นแหละครับ
พอดีคลิปนี้ทำให้เห็นว่าถอดออกมายังไง บางทีชีวิตมันก็ต้องมี improvise กันบ้าง
ถอดน๊อต งัดโป๊ะ... หลุด...
แล้วก็ประจักษ์ว่า... เอ่อ... ไม่มีซิลิโคนนำความร้อนที่เขาเอาไว้ทา CPU ตามคลิปอะ
พอแกะออก มันก็หลุดออกมาเลย เป็นวงโบ๋... -_-"
ซึ่งถ้าไม่ทาและติดใหม่ มันจะทำให้ความร้อนไม่วิ่งเข้าสู่ heat sink ได้ดีตามเดิม
แต่ทำไงได้... บางทีชีวิตก็ต้องมี improvise บ้างใช่ไหมล่ะ... /ยักไหล่
ก็จัดการไขน๊อตเล็กๆ ถอดเอาพัดลมเก่าออก
ทีนี้ก็เลยได้เห็นต้นตอแห่งอาการเสียงดัง...
ขอบพัดลมมันหัก อย่างที่เห็น
เวลาหมุนมันก็เลยแกว่งๆ เสียงมันก็เลยดัง
เปลี่ยนตัวใหม่ใส่เข้าไป ประกอบกลับให้เรียบร้อย
จุดสำคัญคือ จำให้ได้ว่า ตอนถอดถอดตรงไหน น๊อตมาจากไหน
แล้วก็ใส่กลับให้ได้เหมือนเดิมเท่านั้นแหละ...
ปิดฝาให้เรียบร้อย แล้วลองเปิด...
ok ทำงานได้ตามปกติ
เสียงพัดลมก็นุ่มนวลเหมือนเดิม
แต่ก็ด้วยความว่ามันรุ่นเก่าล่ะนะ Core2Duo 2.0 MHz
CPU temp ปาไป 64 ขึ้นตลอด
ร้อนมากถ้าเทียบกับ CPU รุ่นใหม่ๆ สมัยนี้
แต่ก็ใช้ไปเรื่อยๆ ล่ะครับ จนกว่ามันจะพังกันไปข้าง
พอแก่แล้วเริ่มไม่สนุกกับการซื้อของมากอง ทั้งที่อันเก่ายังไม่พังอีกแล้ว...
ใช้ Windows 8 ไม่ไหว Driver ไม่รองรับ จนต้องหนีมาใช้ Linux Ubuntu
ปรับนู่นซ่อมนี่ เดี๋ยวมันก็ใช้ต่อไปได้...
จนกว่ามันจะพังพินาศ... #ชนแก้ว
notebook ที่ผมใช้เป็น PC ส่วนตัวมาร่วม 4-5 ปีมานี้คือ Asus F80S
ซึ่งปีสองปีที่ผ่านมา ผมรู้สึกว่าเสียงพัดลมมันดังมาก
แต่ก็ทนใช้ไปงั้นแหละ ไม่ได้เดือดร้อนอะไร
จนมาพักหลัง เริ่มซื้อของทาง ebay เลยนึกขึ้นได้ว่า น่าจะลองเปลี่ยนพัดลมดู
ค้นหาไม่ยาก ก็ได้พัดลมมา ราคาราวๆ 350 บาท บินลัดฟ้ามาจากฮ่องกง
ปัญหาต่อมาคือ จะแกะตัวเก่าออกมายังไง...
เรื่องนี้ไม่ยาก สมัยนี้เราสามารถหา tutorial ใน Youtube แทบจะทุกสิ่ง
หาแป๊บเดียว ก็เจอคลิปนี้...
คือมันไม่ได้สอนเปลี่ยนพัดลมโดยตรงหรอกนะ
แต่ที่อยากรู้ ก็แค่วิธีถอดเอาชุดพัดลมออกนั่นแหละครับ
พอดีคลิปนี้ทำให้เห็นว่าถอดออกมายังไง บางทีชีวิตมันก็ต้องมี improvise กันบ้าง
ถอดน๊อต งัดโป๊ะ... หลุด...
แล้วก็ประจักษ์ว่า... เอ่อ... ไม่มีซิลิโคนนำความร้อนที่เขาเอาไว้ทา CPU ตามคลิปอะ
พอแกะออก มันก็หลุดออกมาเลย เป็นวงโบ๋... -_-"
ซึ่งถ้าไม่ทาและติดใหม่ มันจะทำให้ความร้อนไม่วิ่งเข้าสู่ heat sink ได้ดีตามเดิม
แต่ทำไงได้... บางทีชีวิตก็ต้องมี improvise บ้างใช่ไหมล่ะ... /ยักไหล่
ก็จัดการไขน๊อตเล็กๆ ถอดเอาพัดลมเก่าออก
ทีนี้ก็เลยได้เห็นต้นตอแห่งอาการเสียงดัง...
ขอบพัดลมมันหัก อย่างที่เห็น
เวลาหมุนมันก็เลยแกว่งๆ เสียงมันก็เลยดัง
เปลี่ยนตัวใหม่ใส่เข้าไป ประกอบกลับให้เรียบร้อย
จุดสำคัญคือ จำให้ได้ว่า ตอนถอดถอดตรงไหน น๊อตมาจากไหน
แล้วก็ใส่กลับให้ได้เหมือนเดิมเท่านั้นแหละ...
ปิดฝาให้เรียบร้อย แล้วลองเปิด...
ok ทำงานได้ตามปกติ
เสียงพัดลมก็นุ่มนวลเหมือนเดิม
แต่ก็ด้วยความว่ามันรุ่นเก่าล่ะนะ Core2Duo 2.0 MHz
CPU temp ปาไป 64 ขึ้นตลอด
ร้อนมากถ้าเทียบกับ CPU รุ่นใหม่ๆ สมัยนี้
แต่ก็ใช้ไปเรื่อยๆ ล่ะครับ จนกว่ามันจะพังกันไปข้าง
พอแก่แล้วเริ่มไม่สนุกกับการซื้อของมากอง ทั้งที่อันเก่ายังไม่พังอีกแล้ว...
ใช้ Windows 8 ไม่ไหว Driver ไม่รองรับ จนต้องหนีมาใช้ Linux Ubuntu
ปรับนู่นซ่อมนี่ เดี๋ยวมันก็ใช้ต่อไปได้...
จนกว่ามันจะพังพินาศ... #ชนแก้ว
วันศุกร์, กันยายน 27, 2556
ถึงเวลา exteen ผลัดใบ...
ขอยก quote ใน blog ของมาสเตอร์แชมป์มาก่อนเลยนะครับ
ประกาศความเปลี่ยนแปลงของทีมงาน
posted on 27 Sep 2013 15:36 by champcpeสวัสดีครับ
วันนี้มีข่าวมาแจ้งสมาชิก exteen ครับผม
หลังจากวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556 ด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้ผม และทีมงาน exteen ชุดเดิมทั้งหมด ตัดสินใจที่จะส่งต่อหน้าที่ให้กับทีมพัฒนา และทีมดูแลชุดใหม่ เข้ามาบริหารงานต่อครับ
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะไม่ส่งผลต่อสมาชิกอย่างฉับพลัน อย่างไรก็ตามอำนาจหน้าที่การตัดสินใจต่างๆ จะเป็นสิทธิ์ขาดของผู้บริหารงานชุดใหม่ต่อไปในระยะยาวครับ
การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ได้เป็นได้โดยง่าย แต่ในระยะยาวแล้วคิดว่าน่าจะดีที่สุดสำหรับสมาชิกและทีมงานครับ
จึงเรียนมาเพื่อทราบ ด้วยความเคารพ
ทีมงาน exteen (ชุดเก่า)
http://champcpe.exteen.com/20130927/entryทีมงาน Exteen เดิมยุติบทบาท ส่งไม้ต่อให้ทีมงานชุดใหม่ via blognone
...
เพิ่งบ่นไปเมื่อวันก่อนแท้ๆ
แต่ทุกงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา
จริงๆ ก็เห็นแววมาสักพักใหญ่แล้วล่ะครับ
เพราะ webmaster สองท่าน ก็ต่างเริ่มมีทำงานในสิ่งที่ตัวเองสนใจ
การพัฒนาระบบและอื่นๆ ของทางเว็บก็เริ่มเนือยๆ ไป
การพัฒนาระบบและอื่นๆ ของทางเว็บก็เริ่มเนือยๆ ไป
อันนี้เป็นเรื่องของการเติบโตครับ ไม่แปลกสำหรับธุรกิจ
ก็ขอให้ exteen หลังผลัดใบไปได้ดี
ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจะดีเท่ายุครุ่งเรืองช่วงปี 2006-2009 ได้หรือเปล่า
ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจะดีเท่ายุครุ่งเรืองช่วงปี 2006-2009 ได้หรือเปล่า
ก็คงจะติดตามผลงานของอดีต webmaster ทั้งสองท่านกันต่อไป
และผมก็คงเขียนเปะเขียนปะไปตาม blog ที่นี่ที่นั่นต่อไป
ไม่เสียใจ ไม่เสียดาย อะไรครับ...
แค่คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ที่เคยสนุกที่ exteen ครับ...
วันพฤหัสบดี, กันยายน 26, 2556
8 anniversary of my blog at Exteen.com
วันนี้ 26/9/2556 เป็นวันครบรอบ 8 ปี ที่ผมสมัครใช้บริการเขียน blog ที่ exteen ครับ
ช่วงปีกว่าที่ผ่านมา ผมเรียกได้ว่าเลิกเขียนไปเลย
ซึ่งคงไม่ต้องแก้ตัวหรือให้เหตุผลอะไรอีก เพราะเคยบ่นมาแล้ว
แต่รู้สึกพักหลัง exteen จะต้อนรับผู้ใช้ด้วยรหัส 502 bad gateway บ่อยมากๆ
ที่ว่ามากนี่คือ มากจริงๆ เกิน 90% ที่เข้าไป จะได้เจอเลย
พักหลัง จะเห็นคนที่เขียน blog รุ่นเดียวกันมา แล้วยังไม่เลิกเขียนสนิท
วนเวียนไปสถิตที่เว็บส่วนตัวบ้าง ไปใช้บริการ wordpress, blogspot หรือ facebook เป็นต้น
ก็ไม่แปลกอะไร ในแง่เพื่อต้องการพัฒนาฝีมือ หรือได้ลองเล่นปรับแต่งระบบเว็บด้านหลังมากกว่าเดิม
เพียงแต่แค่ผมรู้สึกว่า ชีวิตมันไม่น่าสนุกเท่าไหร่
ไม่สนุกพอจะเล่าให้คนอื่นฟังเหมือนแต่ก่อน
ก็เท่านั้น
สรุปแล้ว เขียน blog diary มากี่ปีแล้ว
ก็ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย...
เขียนแล้วเลิก แล้วเขียน แล้วเลิก...
ราว 10 กว่าปีมัง...
ได้รู้จักคน ได้ทำโน่นนี่นั่น...
ยังเป็น nobody เหมือนเดิม LOL
ช่วงปีกว่าที่ผ่านมา ผมเรียกได้ว่าเลิกเขียนไปเลย
ซึ่งคงไม่ต้องแก้ตัวหรือให้เหตุผลอะไรอีก เพราะเคยบ่นมาแล้ว
แต่รู้สึกพักหลัง exteen จะต้อนรับผู้ใช้ด้วยรหัส 502 bad gateway บ่อยมากๆ
ที่ว่ามากนี่คือ มากจริงๆ เกิน 90% ที่เข้าไป จะได้เจอเลย
พักหลัง จะเห็นคนที่เขียน blog รุ่นเดียวกันมา แล้วยังไม่เลิกเขียนสนิท
วนเวียนไปสถิตที่เว็บส่วนตัวบ้าง ไปใช้บริการ wordpress, blogspot หรือ facebook เป็นต้น
ก็ไม่แปลกอะไร ในแง่เพื่อต้องการพัฒนาฝีมือ หรือได้ลองเล่นปรับแต่งระบบเว็บด้านหลังมากกว่าเดิม
เพียงแต่แค่ผมรู้สึกว่า ชีวิตมันไม่น่าสนุกเท่าไหร่
ไม่สนุกพอจะเล่าให้คนอื่นฟังเหมือนแต่ก่อน
ก็เท่านั้น
สรุปแล้ว เขียน blog diary มากี่ปีแล้ว
ก็ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย...
เขียนแล้วเลิก แล้วเขียน แล้วเลิก...
ราว 10 กว่าปีมัง...
ได้รู้จักคน ได้ทำโน่นนี่นั่น...
ยังเป็น nobody เหมือนเดิม LOL
วันศุกร์, เมษายน 12, 2556
เจ้าบราวน์จะตายไปอีกตัว
อยู่ดีๆ เจ้าบราวน์ หมาพุดเดิ้ลที่อยู่กันมาสิบกว่าปี ก็เกิดอาการเหมือนจะตายขึ้นมาอีกตัว หายใจลำบากขึ้นเรื่อยๆ จนลิ้นม่วงจนดำ หลายชั่วโมงเข้าก็มีสำลักน้ำปนเลือดออกมาจากปอด แล้วก็เฮือกกลับมาหายใจลำบากต่อ ตอนนี้นอนร่อแร่ ตอบไม่ได้ว่าจะอยู่ถึงเช้าไหม สงสารมัน
วันเสาร์, เมษายน 06, 2556
ทำไมจึงหยุดเขียน?...
ก็อย่างที่เห็นนะครับ ว่า blog ผมมันร้างไปนานแสนนานมากแล้ว
ลองแวะเข้าไปหา blog ต่างๆ ที่ผมได้ favourite เอาไว้หลายๆ ที่ ก็มีสภาพไม่ต่างกันมากนัก
คือส่วนใหญ่ จะร้าง เลิกเขียนกันไปนาน บางท่านก็หายไปหลายปีแล้วด้วยซ้ำ
คือส่วนใหญ่ จะร้าง เลิกเขียนกันไปนาน บางท่านก็หายไปหลายปีแล้วด้วยซ้ำ
แน่นอนล่ะครับว่า แต่ละคนก็ย่อมมีเหตุผลของตนเอง ที่จะทำหรือไม่ทำในสิ่งต่างๆ
รวมถึงการเขียน blog นี้ก็เช่นกัน คนจะเลิกเขียน ย่อมมีเหตุผล
รวมถึงการเขียน blog นี้ก็เช่นกัน คนจะเลิกเขียน ย่อมมีเหตุผล
ถ้าให้เดาของท่านอื่น บางท่านก็แต่งงานมีครอบครัว ก็อาจมีเวลาน้อยลง
บางท่านก็อาจจะเติบโตในการงาน จนกระทั่งงานอดิเรกเช่นนี้ดูจะเป็นส่วนเกิน
สำหรับตัวผม ไม่มีอะไรมาก นอกจากคำว่า ไม่พอ และไม่ถึง...
ครับ ผมรู้สึกมาตลอดว่า อยากเขียนให้ดี เขียนให้ถึง ถึงจุดที่เรียกว่ามันดี
ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ผมก็ตอบไม่ได้ว่าตกลงที่ว่าดี ตรงไหนมันถึงจะดี
ถ้าดูแบบ life cycle ของ blogger แบบพื้นฐานคือ
เขียนดี -> ดัง -> ได้ออกหนังสือ หรือได้ทำงานอื่นที่มีรายได้จากความสามารถในการเขียน
แต่สำหรับตัวผม แค่คำว่าเขียนดี ผมยังไม่แน่ใจ ดังนี่น่าจะนับว่าห่างไกล
และแน่นอน เป้าหมายว่ามันจะสร้างรายได้ให้ ยิ่งห่างใหญ่
ใช่ครับ ผมไม่ใช่นักเขียนที่รักการเขียนแบบเข้าเส้น
จะเรียกว่า ผมเป็นแค่ blogger แบบ wanna be ก็ได้
จะเรียกว่า ผมเป็นแค่ blogger แบบ wanna be ก็ได้
ถ้าจะให้เขียนสนุกไปเรื่อยๆ ก็ทำได้ครับ แต่ด้วยธรรมชาติที่เบื่อง่ายเกินไปของผม
ก็ทำให้ ผมรู้สึกว่า ไม่อยากทำผลงานที่มันซ้ำ ย่ำอยู่กับที่นานๆ ขนาดนี้
ก็ทำให้ ผมรู้สึกว่า ไม่อยากทำผลงานที่มันซ้ำ ย่ำอยู่กับที่นานๆ ขนาดนี้
อยากจะทำให้มันดีขึ้นไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ และเรื่อยๆ
จนในที่สุด ผมก็พบว่า เฮ้.. ผมถึงทางตันแล้วว่ะ
เหมือนว่า ผมมาไกลได้เท่านี้ ไปไกลกว่านี้มันต้องเหนื่อยไปถึงคนอื่นด้วยแน่ๆ
ผมเคยได้รับโอกาสนะครับ เคยได้เขียนอะไรเพื่อหาเงิน
เดาได้ไม่ยากครับ ว่าผมทำมันได้ไม่ดีนัก
เพราะถ้ามันดี ผมคงจะไปทางสายนั้นไปนานแล้ว
ต้องขอโทษพี่ๆ ที่เคยพยายามยื่นโอกาสให้ผมในตอนนั้น...
ผมไม่รู้ว่า เวลาที่ผ่านไป ทำให้ผมเติบโตขึ้นทางการคิดหรือยัง
โลกผมกว้างขึ้นไหม ผมพร้อมจะเขียนอะไรที่มันน่าสนใจหรือเปล่า
เพราะต้องยอมรับในจุดหนึ่งว่า ความรู้ผมน้อยเกินไป ทางเชิงกว้างและเชิงลึก
ผมให้เวลากับการอ่านหนังสือน้อยเกินไป
ทดสอบตัวเองด้วยการเขียนน้อยเกินไป
หรือจริงๆ แล้วคือ ผมไม่เคยพยายามทำอะไรจริงๆ เลยก็เป็นได้ #ทำเสียงแบบคนอวดผีไปด้วยนะ
แต่ด้วยความไม่พอใจในตัวเอง และความดันทุรังที่ไม่พอ
ย่อมส่งผลให้ blog ของตัวผมเอง ร้างไปอย่างที่เห็น
และที่เขียนมาทั้งหมดนี้ ต้องการจะบอกอะไร หรือต้องการอะไร
ไม่รู้ครับ... ไม่รู้จริงๆ
แค่อยากจะเขี่ยนอะไรแบบไม่เรียบเรียง พิมพ์ไปเรื่อยๆ ตามที่คิด
และไม่รู้ว่า ต่อไปข้างหน้า จะได้เขียนอะไรต่อ ก็ไม่รู้อีกเช่นกันครับ
เพราะผมใช้ชีวิตแบบไม่มีแผนมาตลอด...
ชีวิตคนเรามันยากนะครับ ถ้าต้องวางแผนเอง ไม่มีปัจจัยภายนอกมาช่วยเลย
ผมเห็นชีวิตบางคนราบรื่นและง่ายอย่างประหลาด
ทำงานก็มีคนชวนไป ทำไปก็ย้ายไปตามคนชวน
ทำงานก็มีคนชวนไป ทำไปก็ย้ายไปตามคนชวน
สุดท้าย ก็มีบ้านมีรถ เลี้ยงลูกเลี้ยงเมียได้ไปซะเฉยๆ...
ชีวิตเป็นเรื่องประหลาดนัก...
ถ้าผมจะเขียนต่อ อาจจะยิ่งหม่นไปกว่านี้ครับ
ถ้าจะจัดประเภทการเขียน... ผมคงเป็น blogger แนวมืดหม่นปนหัวเราะฝืนๆ ล่ะมังครับ
ผมก็ยังอยากหัวเราะให้กับชีวิตได้นะครับ
และยังคงยิ้มให้กับมันในเวลาที่ทำได้เสมอ
จบยังไงดีล่ะครับ...
ถ้าไม่ตัดจบ คงจะพล่ามต่อไปอีก...
จบนะครับ...
สวัสดีครับ...
วันอังคาร, มกราคม 15, 2556
Enigma Machine กับชีวิต Analog...
พอดีไปเจอ video เกี่ยวกับ Enigma Machine
มันคือเครื่องมือสำหรับเข้ารหัสข้อความ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ของเยอรมัน
สนใจก็ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมดูครับ ยาวและเยอะและยาก
คลิปที่ว่า คือคลิปอธิบายการทำงานของมัน และอีกคลิปบอกว่าทำไมมันถึงถูกถอดรหัสได้
ดูอยู่นาน เหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี...
ซาบซึ้งแล้วว่า ทำไมถึงไม่เรียนทาง pure math
เพราะข้าพเจ้าโง่ทางเลขเป็นอย่างมาก -_-"
ตอนเรียนมหาวิทยาลัย แค่แคลคูลัสสองสามตัวก็แทบตายแล้ว
บอกตัวเองว่าคิดถูกแล้วที่ไม่เรียนสายที่ต้องคำนวนมากๆ
ไม่งั้นชีวิตคงเป็นทุกข์กว่านี้เยอะ... ปล่อยให้คนที่เขาชอบเรียนไปเถอะ -_-
...........
เห็น Enigma Machine แล้วทำให้นึกถึงยุคที่ยังไม่มี microchip เลยครับ
สมัยนั้น ทุกอย่างดูจะเป็น analog ไม่ใช่ digital แบบทุกวันนี้
มีฟันเฟือง มีสายไฟระโยงระยางเต็มไปหมด
ถ้าโลกเราไม่เจอจุดหักเหให้เจอซิลิคอน ไม่สามารถผลิตชิปคอมพิวเตอร์
โฉมหน้าสิ่งของเครื่องใช้ทุกวันนี้ ก็คงไม่ใช่แบบนี้แน่ๆ ครับ
อาจจะไปเหมือนในการ์ตูนที่เป็นแนว steampunk ซึ่งคงเท่ดีไปอีกแบบ
คงไม่มีโทรศัพท์มือถือเล็กๆ ไม่มี tablet หรือ iPhone ให้จิ้มกันแบบนี้
นึกไม่ออกจริงๆ ว่าเราจะก้าวหน้าฉีกไปแนวไหน
เพราะโลกทุกวันนี้ ทุกอย่างกลายเป็น digital content
อะไรๆ ก็อยู่ในคอมพิวเตอร์ เป็นของเสมือนที่จับต้องไม่ได้แทบทั้งหมดแล้ว
ผมชอบอะไรที่มัน analog นะ... มันดูมีชีวิต มีการเคลื่อนไหวดี...
มันคือเครื่องมือสำหรับเข้ารหัสข้อความ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ของเยอรมัน
สนใจก็ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมดูครับ ยาวและเยอะและยาก
คลิปที่ว่า คือคลิปอธิบายการทำงานของมัน และอีกคลิปบอกว่าทำไมมันถึงถูกถอดรหัสได้
ดูอยู่นาน เหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี...
ซาบซึ้งแล้วว่า ทำไมถึงไม่เรียนทาง pure math
เพราะข้าพเจ้าโง่ทางเลขเป็นอย่างมาก -_-"
ตอนเรียนมหาวิทยาลัย แค่แคลคูลัสสองสามตัวก็แทบตายแล้ว
บอกตัวเองว่าคิดถูกแล้วที่ไม่เรียนสายที่ต้องคำนวนมากๆ
ไม่งั้นชีวิตคงเป็นทุกข์กว่านี้เยอะ... ปล่อยให้คนที่เขาชอบเรียนไปเถอะ -_-
...........
เห็น Enigma Machine แล้วทำให้นึกถึงยุคที่ยังไม่มี microchip เลยครับ
สมัยนั้น ทุกอย่างดูจะเป็น analog ไม่ใช่ digital แบบทุกวันนี้
มีฟันเฟือง มีสายไฟระโยงระยางเต็มไปหมด
ถ้าโลกเราไม่เจอจุดหักเหให้เจอซิลิคอน ไม่สามารถผลิตชิปคอมพิวเตอร์
โฉมหน้าสิ่งของเครื่องใช้ทุกวันนี้ ก็คงไม่ใช่แบบนี้แน่ๆ ครับ
อาจจะไปเหมือนในการ์ตูนที่เป็นแนว steampunk ซึ่งคงเท่ดีไปอีกแบบ
คงไม่มีโทรศัพท์มือถือเล็กๆ ไม่มี tablet หรือ iPhone ให้จิ้มกันแบบนี้
นึกไม่ออกจริงๆ ว่าเราจะก้าวหน้าฉีกไปแนวไหน
เพราะโลกทุกวันนี้ ทุกอย่างกลายเป็น digital content
อะไรๆ ก็อยู่ในคอมพิวเตอร์ เป็นของเสมือนที่จับต้องไม่ได้แทบทั้งหมดแล้ว
ผมชอบอะไรที่มัน analog นะ... มันดูมีชีวิต มีการเคลื่อนไหวดี...
ฉันขาดการออกกำลังกายอย่างมาก...
ครึ้มใจเปิดคลิป IU ดูครับ...
ครึ้มใจกว่านั้น... ลุกขึ้นเต้นตามเลยครับ...
หลังจากครึ้มไป 3 ท่า... ค้นพบเลยครับ...
ตัวเองขาดการออกกำลังกายอย่างมากครับ
การเคลื่อนไหวติดขัดมาก ขยับร่างกายไม่ได้อย่างที่ต้องการ
และที่สำคัญ... เหนื่อย ครับ...
ขยับไม่ถึงนาที เหนื่อยครับ....
เชวี่ยมากครับ...
นี่หรือร่างกายเรา...
ถ้าไม่ลืม จะขยับร่างกายให้มากกว่านี้ครับ...
ให้มันแข็งแรงกว่านี้หน่อย...
วันจันทร์, มกราคม 14, 2556
อ่าน The Hunger Games จบละ...
วันนี้เพิ่งจะอ่านหนังสือนวนิยายเรื่อง The Hunger Games จบครับ
เลยขอเอามาเล่าความรู้สึกนิดๆ หน่อยๆ ตามประสา...
ถ้าคุณติดตามนิดหน่อย จะทราบว่านวนิยายชุดนี้มี 3 เล่ม
คือ The Hunger Games, Catching Fire และ Mockingjay
ที่ผมอ่าน ก็เพราะได้ดูหนังครับ หนังที่ทำจากหนังสือเรื่องนี้นั่นแหละ
ก็เลยอยากรู้ว่า หนังกับหนังสือ จะต่างกันขนาดไหน จนต้องหามาอ่าน
เนื่องจากดูหนังก่อน ตอนอ่านหนังสือ ผมเลยมีภาพประกอบชัดเจนพอดู
จนอ่านจบ ก็สรุปได้ว่า เป็นเรื่องหนึ่งที่หนัง ทำออกมาได้ดีกว่าหนังสือครับ
ในขณะที่หนังสือจะเล่าเรื่องออกมาได้คร่าวๆ ลงรายละเอียดน้อย
และประเด็นที่ควรจะเป็นแก่นของเรื่องอย่างเรื่องการเมือง ก็เบาบาง
ซึ่งในหนัง ประเด็นการเมืองถูกขับออกมาให้โดดเด่น แบบไม่ยัดเยียด
ในเรื่องความไม่เท่าเทียม และอารมณ์ความรู้สึกของแต่ละตัวละคร
แน่นอนว่ามีการดัดแปลงรายละเอียดในเรื่องไปเยอะพอสมควร
เรียกว่าหนังแทบจะเรียกว่าเป็นบทภาพยนตร์ดัดแปลงจากนวนิยายได้เลย
ถ้าเทียบกับเรื่องที่ผมเคยอ่าน ผลงานของ Dan Brown
อย่าง The Da Vinci Code, Angels and Demons, The Lost Symbol
ที่ให้รายละเอียดทุกอย่างชัดจนจนแทบจะเอาเอามาทำหนังได้โดยไม่ต้องเขียนเพิ่ม
ก็ต้องนับว่า The Hunger Games ยังลงรายละเอียดได้ไม่ดีเท่าครับ
แน่นอนว่า ถ้าผมได้อ่านหนังสือก่อน ผมอาจไม่ชอบมันเท่านี้
นี่ก็ยังติดไม่ได้อ่านอีกหลายเรื่องครับ Harry Potter, Lords of the ring ก็ยังไม่ได้อ่าน
เห็นความหนาแล้วก็ท้อใจไปก่อนทุกที แต่ก็คิดว่าอยากจะหาเวลาอ่านให้ได้
ก็เขียนไปเท่าที่รู้สึกล่ะครับ ผมก็ไม่ใช่นักอ่าน hardcore ขนาดนั้น
แต่คงจะหาอ่านนวนิยายชุด The Hunger Games จนครับแหละครับ
เพราะติดใจสภาพแวดล้อมของเรื่องพอสมควร
ไว้วันไหนได้อ่าน ซึ่งไม่แน่อาจจะรอให้หนังออกด้วย
อาจจะได้เอามาคุยกันอีกครับ...
เลยขอเอามาเล่าความรู้สึกนิดๆ หน่อยๆ ตามประสา...
ถ้าคุณติดตามนิดหน่อย จะทราบว่านวนิยายชุดนี้มี 3 เล่ม
คือ The Hunger Games, Catching Fire และ Mockingjay
ที่ผมอ่าน ก็เพราะได้ดูหนังครับ หนังที่ทำจากหนังสือเรื่องนี้นั่นแหละ
ก็เลยอยากรู้ว่า หนังกับหนังสือ จะต่างกันขนาดไหน จนต้องหามาอ่าน
เนื่องจากดูหนังก่อน ตอนอ่านหนังสือ ผมเลยมีภาพประกอบชัดเจนพอดู
จนอ่านจบ ก็สรุปได้ว่า เป็นเรื่องหนึ่งที่หนัง ทำออกมาได้ดีกว่าหนังสือครับ
ในขณะที่หนังสือจะเล่าเรื่องออกมาได้คร่าวๆ ลงรายละเอียดน้อย
และประเด็นที่ควรจะเป็นแก่นของเรื่องอย่างเรื่องการเมือง ก็เบาบาง
ซึ่งในหนัง ประเด็นการเมืองถูกขับออกมาให้โดดเด่น แบบไม่ยัดเยียด
ในเรื่องความไม่เท่าเทียม และอารมณ์ความรู้สึกของแต่ละตัวละคร
แน่นอนว่ามีการดัดแปลงรายละเอียดในเรื่องไปเยอะพอสมควร
เรียกว่าหนังแทบจะเรียกว่าเป็นบทภาพยนตร์ดัดแปลงจากนวนิยายได้เลย
ถ้าเทียบกับเรื่องที่ผมเคยอ่าน ผลงานของ Dan Brown
อย่าง The Da Vinci Code, Angels and Demons, The Lost Symbol
ที่ให้รายละเอียดทุกอย่างชัดจนจนแทบจะเอาเอามาทำหนังได้โดยไม่ต้องเขียนเพิ่ม
ก็ต้องนับว่า The Hunger Games ยังลงรายละเอียดได้ไม่ดีเท่าครับ
แน่นอนว่า ถ้าผมได้อ่านหนังสือก่อน ผมอาจไม่ชอบมันเท่านี้
นี่ก็ยังติดไม่ได้อ่านอีกหลายเรื่องครับ Harry Potter, Lords of the ring ก็ยังไม่ได้อ่าน
เห็นความหนาแล้วก็ท้อใจไปก่อนทุกที แต่ก็คิดว่าอยากจะหาเวลาอ่านให้ได้
ก็เขียนไปเท่าที่รู้สึกล่ะครับ ผมก็ไม่ใช่นักอ่าน hardcore ขนาดนั้น
แต่คงจะหาอ่านนวนิยายชุด The Hunger Games จนครับแหละครับ
เพราะติดใจสภาพแวดล้อมของเรื่องพอสมควร
ไว้วันไหนได้อ่าน ซึ่งไม่แน่อาจจะรอให้หนังออกด้วย
อาจจะได้เอามาคุยกันอีกครับ...
วันศุกร์, มกราคม 11, 2556
วันเด็ก 2556...
เด็กในวันนี้ คือผู้ใหญ่ในวันหน้า...
ได้ยินประโยคนี้มานานจนลืมจะนึกว่า ใครเป็นคนคิด
รู้แต่ว่า รู้ตัวอีกที ฉันก็พ้นวัยเด็ก กลายเป็นผู้ใหญ่ของวันหน้าที่ว่านั่นไปแล้ว...
เขาว่าคนเรามันหนีกรรมไปไม่พ้น...
ใช่... ทุกวันนี้ ก็ต้องกลายมาเป็นผู้ใหญ่ ที่รำคาญเด็ก แบบที่ตัวเองเคยเป็นเมื่อหลายปีก่อน
โหวกเหวกโวยวาย เสียงดัง ไม่นั่งนิ่งๆ กินเปลือง แถมไม่เกรงอกเกรงใจเสียอีก...
คิดไปคิดมา หลายอย่างนั่น... ฉันก็เคยทำ...
คิดได้ดังนั้น บางทีก็ต้องทำตัวเหมือนผู้ใหญ่ใจดี ไม่รำคาญเด็กๆ หัวขนที่วิ่งเปะปะไปมา
ถ้าเป้นลูกหลานตัวเอง ก็อาจจะให้อารมณ์อีกแบบ... แต่นี่ไม่ใช่...
พอดีว่า จนบัดนี้ก็ยังไม่มีลูกเมียเป็นของตัวเอง
ยังทำตัวเป็นคนแก่เนิร์ดๆ ไปวันๆ เหมือนกับโลกนี้จะไม่มีวันดับสูญ...
คิดเล่นๆ ดู... ถ้าคนเรามีอายุยืนยาวสักสามแสนปี เราคงไม่คิดไม่ทำอะไรแบบนี้กัน
คนเราอาจจะเห็นแก่ตัวนอยกว่านี้มากก็ได้
เพราะเห็นแก่ตัวไป สุดท้ายทุกคนก็แทบจะมีทุกอย่างเท่ากันอยู่ดี
เนื่องด้วยเวลาที่ยาวนานมาก ย่อมปรับทุกอย่างให้เข้าสู่สมดุลไปดังนั้น...
คนคงเห็นทุกข์เห็นโทษของชีวิตน้อยลง เพราะอยู่นานจนเบื่อแล้วเบื่ออีกก็ยังไม่ตาย
เสพสุขมาแล้วทุกอย่างในโลก ไปมาแล้วทุกประเทศ มันก็ยังไม่ตาย...
แต่ทำไงได้ อายุขัยคนเรามันมีจำกัดเท่านี้ ถึง 100 ปีก็นับว่าโอเวอร์แล้ว
ก็ไม่แปลกที่คนเราจะเห็นแก่ตว และแบ่งแยกวัยเด็ก วัยผู้ใหญ่
วัยเด็กมีกำลัง ผู้ใหญ่มีเงินทอง ชรามีเวลา
ทั้งสามส่วน ล้วนปรับสมดุลของกันและกัน
ถ้าคนใดไม่สามารถทำให้มันสมดุลได้ ย่อมมีความทุกข์...
ยิ่งอายุมากขึ้น เราก็ยิ่งใกล้หมดเวลามากขึ้น
จากเคยอายุมากเร็วๆ ก็อยากจะอายุเพิ่มช้าๆ...
วันเด็ก อาจมีไว้ให้เด็กรู้ว่าตัวเองเป็นใคร
และผู้ใหญ่ ก็ได้รู้ว่า เวลามีค่าขนาดไหน...
สุขสันต์วันเด็ก 2556 ครับทุกท่าน...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
อายุขัยของมนุษย์ในบริบทสมมุติ: 40 ปีถึง 100,000 ปี
การเพิ่มหรือลดอายุขัยของมนุษย์ส่งผลต่อทุกแง่มุมของชีวิต ตั้งแต่ความคิดส่วนบุคคลไปจนถึงวิวัฒนาการของสังคม วัฒนธรรม และเทคโนโลยี ต่อไปนี้คือภา...
-
ค้นพบวิธีอุ่นทาร์ตไข่ KFC ที่กินไม่หมดแล้วเอาไปแช่เย็นแล้ว… ซื้อมาหลายชิ้น กินตอนร้อนก็อร่อยดี แต่พอเย็นแล้วเนี่ยสิ ทั้งเหนียว ทั้งชืด ...
-
อ้าว... เฮ้ย... วันเกิดตัวเองนี่นา... เกือบลืมไปเลยนะเนี่ย ดีว่าสี่ทุ่มกว่ายังมีคนเตือน... พรุ่งนี้เช้า ก็จะแก่ขึ้นอีกปี... งดเหล้าเ...
-
แต่ก่อนเพลงนี้อย่างดัง เปิดอย่างบ่อยครับ ผมเพิ่งจะเคยดู video อันนี้ เอาเนื้อมาให้ดูด้วยประกอบความฮา... . Natalie Imbruglia - Thorn I though...