วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ช้างสันทวไมตรีของไทย: มิตรภาพที่แปรเป็นบทเรียน

ในหน้าประวัติศาสตร์ทางการทูตของไทย “ช้าง” เคยเป็นสัญลักษณ์ของความมิตรไมตรีระหว่างประเทศ ด้วยความเชื่อว่าช้างคือสัตว์คู่บ้านคู่เมือง เป็นตัวแทนของความสง่างาม อำนาจ และความอ่อนโยน ไทยเคยส่งช้างไปมอบให้หลายประเทศทั่วโลกเพื่อสานสัมพันธ์ แต่กรณีของช้างที่ถูกส่งไปศรีลังกา กลับกลายเป็นบทเรียนสำคัญด้านสวัสดิภาพสัตว์ที่กำลังได้รับความสนใจจากทั้งไทยและนานาชาติ


ยุคแห่งมิตรภาพ: จุดเริ่มต้นของช้างไทยในศรีลังกา

ปี พ.ศ. 2523 ไทยมอบช้างเชือกแรกให้ศรีลังกาในฐานะของขวัญทางการทูตชื่อ พลายประตูผา เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพระหว่างสองประเทศพุทธเถรวาท ช้างถูกนำไปอยู่ที่วัด Sudu Humpola Raja Maha Vihara เมืองแคนดี้ และได้รับการแต่งตั้งให้มีส่วนร่วมในงานแห่พระบรมสารีริกธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวศรีลังกา

ต่อมาในปี พ.ศ. 2544 ไทยส่งช้างอีกสองเชือก ได้แก่ พลายศักดิ์สุรินทร์ และ พลายศรีณรงค์ เพื่อใช้ในกิจกรรมทางศาสนาและงานวัด ทั้งคู่ถูกมอบให้วัดต่าง ๆ ในศรีลังกาดูแล โดยมีความตั้งใจให้เป็น “ทูตแห่งศรัทธา” มากกว่าสัตว์ทำงาน


รายการสัตว์จากไทยที่เคยถูกส่งไปในฐานะทูตสันถวไมตรี

นอกจากศรีลังกา ไทยยังเคยส่งสัตว์ไปมอบให้ประเทศต่าง ๆ เพื่อเป็นของขวัญทางการทูต สะท้อนความสัมพันธ์และวัฒนธรรมแห่งมิตรภาพ เช่น

ประเทศ ปี (พ.ศ.) สัตว์/ชื่อ หมายเหตุ
ศรีลังกา 2523, 2544 พลายประตูผา, พลายศักดิ์สุรินทร์, พลายศรีณรงค์ พลายศักดิ์สุรินทร์กลับไทยปี 2566
เดนมาร์ก 2505, 2544 เชียงใหม่, บัวฮะ, ต้นศักดิ์, กุ้งเรา มอบแก่ราชวงศ์เดนมาร์ก
ญี่ปุ่น 2492 ฮานาโกะ ของขวัญมิตรภาพหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
สวีเดน 2540s–2550s ต้นศักดิ์, บัว, เสาน้อย อยู่ในสวนสัตว์ Kolmården
อิสราเอล ประมาณ 2548 ทามาร์ และช้างไทยอีก 3 ตัว มอบให้สวนสัตว์เยรูซาเล็ม
ออสเตรเลีย ไม่ระบุ ช้างเอเชียไม่ระบุชื่อ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม

รวมแล้วมี อย่างน้อย 21 เชือก ที่ไทยเคยส่งออกไปในช่วงปี 1949–2016 ซึ่งส่วนใหญ่เป็น “ช้างไทย” ทั้งหมด ไทยประกาศยุติการส่งสัตว์เพื่อการทูตตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา เพื่อป้องกันปัญหาด้านสวัสดิภาพสัตว์ซ้ำรอยเดิม


ความจริงที่เจ็บปวด: ชีวิตหลังม่านศรัทธา

กาลเวลาผ่านไปกว่าสองทศวรรษ ความเป็นจริงที่ปรากฏคือช้างเหล่านี้ไม่ได้รับการดูแลอย่างที่ควร หลายเชือกถูกนำไปใช้ในงานแห่และลากของเป็นประจำ โดยเฉพาะในเทศกาล Perahera ซึ่งช้างต้องเดินแบกของหนักและอยู่กลางแสงไฟร้อนหลายชั่วโมง

รายงานจากกลุ่มอนุรักษ์และสื่อศรีลังกาหลายแห่งระบุว่า ช้างบางเชือกมีบาดแผลและภาวะอ่อนแรง เพราะถูกล่ามไว้ตลอดเวลาและขาดการตรวจสุขภาพ ขณะที่ระบบกฎหมายศรีลังกายังไม่สามารถเข้าไปควบคุมได้เต็มที่ เนื่องจากช้างเหล่านี้ถือเป็น “ทรัพย์ของวัด”

ด้านไทยเองแม้จะมอบช้างด้วยเจตนาดี แต่สิทธิ์ความเป็นเจ้าของหลังส่งมอบได้ตกไปอยู่กับประเทศปลายทางทันที ทำให้ไม่สามารถเข้าไปดูแลโดยตรงได้ นี่จึงกลายเป็นจุดอ่อนของ “การทูตด้วยชีวิต” ที่แท้จริง


พลายศักดิ์สุรินทร์: เสียงเตือนจากความทุกข์

กรณีของ พลายศักดิ์สุรินทร์ คือเหตุการณ์ที่ทำให้สังคมไทยเริ่มตื่นตัว ภาพของช้างไทยเชือกนี้ในศรีลังกาที่ซูบผอม เดินไม่ไหว และมีบาดแผลหลายแห่งถูกเผยแพร่ทั่วโลกออนไลน์ในปี 2566 จนเกิดกระแสเรียกร้องให้รัฐบาลไทยดำเนินการนำกลับประเทศ

หลังจากการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยกับศรีลังกาอย่างยืดเยื้อ ในที่สุด พลายศักดิ์สุรินทร์ก็ได้ถูกส่งกลับไทยในเดือนกรกฎาคม 2566 พร้อมทีมสัตวแพทย์จากกรมอุทยานฯ มารับอย่างเป็นทางการ เขาได้รับการรักษาและพักฟื้นที่ศูนย์อนุรักษ์ช้างแห่งชาติ ลำปาง ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของความร่วมมือครั้งใหม่ระหว่างสองประเทศ — จากมิตรภาพเชิงสัญลักษณ์ สู่มิตรภาพที่ใส่ใจในชีวิตจริง


กระแสสังคมและการทวงคืนช้างไทยรอบใหม่

เมื่อถึงปี 2568 ข่าวของช้างไทยอีกสองเชือกที่ยังอยู่ศรีลังกา — พลายประตูผา (อยู่ที่เมืองแคนดี้) และ พลายศรีณรงค์ (อยู่ที่วัด Kelaniya) — ได้จุดกระแสอีกครั้ง หลังมีคลิปเผยแพร่ในโซเชียลแสดงภาพช้างที่ถูกใช้งานหนักและมีอาการอ่อนแรง จนเกิดแฮชแท็ก #ทวงคืนช้างไทย แพร่ไปทั่วประเทศ

ประชาชนจำนวนมากแสดงความไม่พอใจว่า “ช้างทำเพื่อมนุษย์มามากพอแล้ว” ขณะที่สื่อหลายสำนักเริ่มตรวจสอบและพบว่าคลิปบางส่วนอาจไม่ใช่ช้างไทยจริง แต่กระแสสังคมก็แรงพอที่จะผลักให้ภาครัฐต้องขยับ

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย นายสุชาติ ชมกลิ่น ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล ให้เร่งประสานกับรัฐบาลศรีลังกาเพื่อขอตรวจสุขภาพช้างทั้งสองเชือก และหากพบว่ามีสภาพไม่เหมาะสม ก็จะดำเนินการนำกลับประเทศไทยทันที การประชุมหารือกับสถานทูตศรีลังกาในไทยถูกจัดขึ้นในปลายเดือนตุลาคม 2568 เพื่อเดินหน้ากระบวนการนี้


ทำไมช้างจึงถูกละเลยในต่างแดน

เบื้องหลังปัญหาเหล่านี้มีหลายปัจจัย

  • วัฒนธรรมศาสนา: ศรีลังกามองช้างเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ใช้ในพิธีกรรมสำคัญของพระพุทธศาสนา แต่การยกให้เป็นสัตว์แห่งศรัทธาไม่ได้หมายความว่าจะได้รับการดูแลที่เหมาะสมเสมอไป เพราะวัดต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองและบางแห่งขาดความรู้ด้านสัตวแพทย์

  • กฎหมายครอบครอง: เมื่อช้างถูกมอบเป็นของขวัญทางการทูต ความเป็นเจ้าของตกอยู่กับประเทศผู้รับ ไทยไม่สามารถสั่งการหรือเข้าไปดูแลได้โดยตรง ต้องใช้วิธีเจรจาระหว่างรัฐบาลเท่านั้น

  • การใช้งานเกินกำลัง: ช้างไทยคุ้นชินกับระบบเลี้ยงในพื้นที่ร่ม มีอาหารและน้ำเพียงพอ แต่เมื่ออยู่ต่างสภาพภูมิอากาศ ถูกใช้งานในขบวนหรือเดินบนถนนร้อน ๆ ก็ทำให้สุขภาพทรุดอย่างรวดเร็ว


เสียงจากสังคมไทย: จากความภาคภูมิใจสู่ความห่วงใย

จากเดิมที่การมอบช้างถือเป็น “เกียรติแห่งชาติ” วันนี้เสียงของสังคมกลับเปลี่ยนไป คนไทยจำนวนมากเรียกร้องให้รัฐ ยุติการส่งช้างไปต่างประเทศ และจัดระบบดูแลอย่างมีมนุษยธรรมแทน

ภายใต้แรงกดดันจากสาธารณะ รัฐบาลไทยประกาศว่าจะไม่ส่งช้างเป็นของขวัญทางการทูตอีก และจะเร่งติดตามช้างที่ถูกส่งออกไปก่อนหน้านี้ให้ครบทั้งหมด รวมถึงเตรียมมาตรฐานใหม่สำหรับการดูแลช้างในต่างแดนร่วมกับประเทศคู่มิตร


บทเรียนจากมิตรภาพที่เปลี่ยนแปลง

กรณีช้างสันทวไมตรีในศรีลังกา ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของสัตว์สองเชือก แต่มันสะท้อนแนวคิดทางการทูตของมนุษย์ในยุคใหม่ — ว่ามิตรภาพไม่ควรถูกสร้างด้วยชีวิตของสิ่งมีชีวิตอื่น

จาก พลายประตูผา ผู้เดินทางไปศรีลังกาเมื่อ 45 ปีก่อน ถึง พลายศักดิ์สุรินทร์ ผู้กลับบ้านอย่างผู้รอดชีวิต และ พลายศรีณรงค์ ที่ยังรอการตรวจสุขภาพในวันนี้ — เรื่องราวเหล่านี้ได้เปลี่ยนความหมายของคำว่า “ของขวัญแห่งมิตรภาพ” ไปตลอดกาล


บทสรุป

“ช้างไม่ได้พูด แต่โลกได้ยินเสียงของมันผ่านบาดแผลที่เราเป็นคนสร้าง”

จากสัตว์ทูตแห่งศรัทธา กลายเป็นเสียงเตือนแห่งความรับผิดชอบทางศีลธรรม ไทยและศรีลังกาอาจเริ่มจากมิตรภาพทางศาสนา แต่สิ่งที่จะยืนยันว่าความสัมพันธ์นี้ยังคงงดงาม คือการที่ทั้งสองประเทศยืนอยู่ข้างชีวิต — ไม่ใช่เพียงข้างสัญลักษณ์.

ช้างสันทวไมตรีของไทย: มิตรภาพที่แปรเป็นบทเรียน

ในหน้าประวัติศาสตร์ทางการทูตของไทย “ช้าง” เคยเป็นสัญลักษณ์ของความมิตรไมตรีระหว่างประเทศ ด้วยความเชื่อว่าช้างคือสัตว์คู่บ้านคู่เมือง เป็นตัว...