ในหน้าประวัติศาสตร์ทางการทูตของไทย “ช้าง” เคยเป็นสัญลักษณ์ของความมิตรไมตรีระหว่างประเทศ ด้วยความเชื่อว่าช้างคือสัตว์คู่บ้านคู่เมือง เป็นตัวแทนของความสง่างาม อำนาจ และความอ่อนโยน ไทยเคยส่งช้างไปมอบให้หลายประเทศทั่วโลกเพื่อสานสัมพันธ์ แต่กรณีของช้างที่ถูกส่งไปศรีลังกา กลับกลายเป็นบทเรียนสำคัญด้านสวัสดิภาพสัตว์ที่กำลังได้รับความสนใจจากทั้งไทยและนานาชาติ
ยุคแห่งมิตรภาพ: จุดเริ่มต้นของช้างไทยในศรีลังกา
ปี พ.ศ. 2523 ไทยมอบช้างเชือกแรกให้ศรีลังกาในฐานะของขวัญทางการทูตชื่อ พลายประตูผา เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพระหว่างสองประเทศพุทธเถรวาท ช้างถูกนำไปอยู่ที่วัด Sudu Humpola Raja Maha Vihara เมืองแคนดี้ และได้รับการแต่งตั้งให้มีส่วนร่วมในงานแห่พระบรมสารีริกธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวศรีลังกา
ต่อมาในปี พ.ศ. 2544 ไทยส่งช้างอีกสองเชือก ได้แก่ พลายศักดิ์สุรินทร์ และ พลายศรีณรงค์ เพื่อใช้ในกิจกรรมทางศาสนาและงานวัด ทั้งคู่ถูกมอบให้วัดต่าง ๆ ในศรีลังกาดูแล โดยมีความตั้งใจให้เป็น “ทูตแห่งศรัทธา” มากกว่าสัตว์ทำงาน
รายการสัตว์จากไทยที่เคยถูกส่งไปในฐานะทูตสันถวไมตรี
นอกจากศรีลังกา ไทยยังเคยส่งสัตว์ไปมอบให้ประเทศต่าง ๆ เพื่อเป็นของขวัญทางการทูต สะท้อนความสัมพันธ์และวัฒนธรรมแห่งมิตรภาพ เช่น
| ประเทศ | ปี (พ.ศ.) | สัตว์/ชื่อ | หมายเหตุ | 
|---|---|---|---|
| ศรีลังกา | 2523, 2544 | พลายประตูผา, พลายศักดิ์สุรินทร์, พลายศรีณรงค์ | พลายศักดิ์สุรินทร์กลับไทยปี 2566 | 
| เดนมาร์ก | 2505, 2544 | เชียงใหม่, บัวฮะ, ต้นศักดิ์, กุ้งเรา | มอบแก่ราชวงศ์เดนมาร์ก | 
| ญี่ปุ่น | 2492 | ฮานาโกะ | ของขวัญมิตรภาพหลังสงครามโลกครั้งที่สอง | 
| สวีเดน | 2540s–2550s | ต้นศักดิ์, บัว, เสาน้อย | อยู่ในสวนสัตว์ Kolmården | 
| อิสราเอล | ประมาณ 2548 | ทามาร์ และช้างไทยอีก 3 ตัว | มอบให้สวนสัตว์เยรูซาเล็ม | 
| ออสเตรเลีย | ไม่ระบุ | ช้างเอเชียไม่ระบุชื่อ | เป็นส่วนหนึ่งของโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม | 
รวมแล้วมี อย่างน้อย 21 เชือก ที่ไทยเคยส่งออกไปในช่วงปี 1949–2016 ซึ่งส่วนใหญ่เป็น “ช้างไทย” ทั้งหมด ไทยประกาศยุติการส่งสัตว์เพื่อการทูตตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา เพื่อป้องกันปัญหาด้านสวัสดิภาพสัตว์ซ้ำรอยเดิม
ความจริงที่เจ็บปวด: ชีวิตหลังม่านศรัทธา
กาลเวลาผ่านไปกว่าสองทศวรรษ ความเป็นจริงที่ปรากฏคือช้างเหล่านี้ไม่ได้รับการดูแลอย่างที่ควร หลายเชือกถูกนำไปใช้ในงานแห่และลากของเป็นประจำ โดยเฉพาะในเทศกาล Perahera ซึ่งช้างต้องเดินแบกของหนักและอยู่กลางแสงไฟร้อนหลายชั่วโมง
รายงานจากกลุ่มอนุรักษ์และสื่อศรีลังกาหลายแห่งระบุว่า ช้างบางเชือกมีบาดแผลและภาวะอ่อนแรง เพราะถูกล่ามไว้ตลอดเวลาและขาดการตรวจสุขภาพ ขณะที่ระบบกฎหมายศรีลังกายังไม่สามารถเข้าไปควบคุมได้เต็มที่ เนื่องจากช้างเหล่านี้ถือเป็น “ทรัพย์ของวัด”
ด้านไทยเองแม้จะมอบช้างด้วยเจตนาดี แต่สิทธิ์ความเป็นเจ้าของหลังส่งมอบได้ตกไปอยู่กับประเทศปลายทางทันที ทำให้ไม่สามารถเข้าไปดูแลโดยตรงได้ นี่จึงกลายเป็นจุดอ่อนของ “การทูตด้วยชีวิต” ที่แท้จริง
พลายศักดิ์สุรินทร์: เสียงเตือนจากความทุกข์
กรณีของ พลายศักดิ์สุรินทร์ คือเหตุการณ์ที่ทำให้สังคมไทยเริ่มตื่นตัว ภาพของช้างไทยเชือกนี้ในศรีลังกาที่ซูบผอม เดินไม่ไหว และมีบาดแผลหลายแห่งถูกเผยแพร่ทั่วโลกออนไลน์ในปี 2566 จนเกิดกระแสเรียกร้องให้รัฐบาลไทยดำเนินการนำกลับประเทศ
หลังจากการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยกับศรีลังกาอย่างยืดเยื้อ ในที่สุด พลายศักดิ์สุรินทร์ก็ได้ถูกส่งกลับไทยในเดือนกรกฎาคม 2566 พร้อมทีมสัตวแพทย์จากกรมอุทยานฯ มารับอย่างเป็นทางการ เขาได้รับการรักษาและพักฟื้นที่ศูนย์อนุรักษ์ช้างแห่งชาติ ลำปาง ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของความร่วมมือครั้งใหม่ระหว่างสองประเทศ — จากมิตรภาพเชิงสัญลักษณ์ สู่มิตรภาพที่ใส่ใจในชีวิตจริง
กระแสสังคมและการทวงคืนช้างไทยรอบใหม่
เมื่อถึงปี 2568 ข่าวของช้างไทยอีกสองเชือกที่ยังอยู่ศรีลังกา — พลายประตูผา (อยู่ที่เมืองแคนดี้) และ พลายศรีณรงค์ (อยู่ที่วัด Kelaniya) — ได้จุดกระแสอีกครั้ง หลังมีคลิปเผยแพร่ในโซเชียลแสดงภาพช้างที่ถูกใช้งานหนักและมีอาการอ่อนแรง จนเกิดแฮชแท็ก #ทวงคืนช้างไทย แพร่ไปทั่วประเทศ
ประชาชนจำนวนมากแสดงความไม่พอใจว่า “ช้างทำเพื่อมนุษย์มามากพอแล้ว” ขณะที่สื่อหลายสำนักเริ่มตรวจสอบและพบว่าคลิปบางส่วนอาจไม่ใช่ช้างไทยจริง แต่กระแสสังคมก็แรงพอที่จะผลักให้ภาครัฐต้องขยับ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย นายสุชาติ ชมกลิ่น ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล ให้เร่งประสานกับรัฐบาลศรีลังกาเพื่อขอตรวจสุขภาพช้างทั้งสองเชือก และหากพบว่ามีสภาพไม่เหมาะสม ก็จะดำเนินการนำกลับประเทศไทยทันที การประชุมหารือกับสถานทูตศรีลังกาในไทยถูกจัดขึ้นในปลายเดือนตุลาคม 2568 เพื่อเดินหน้ากระบวนการนี้
ทำไมช้างจึงถูกละเลยในต่างแดน
เบื้องหลังปัญหาเหล่านี้มีหลายปัจจัย
- 
วัฒนธรรมศาสนา: ศรีลังกามองช้างเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ใช้ในพิธีกรรมสำคัญของพระพุทธศาสนา แต่การยกให้เป็นสัตว์แห่งศรัทธาไม่ได้หมายความว่าจะได้รับการดูแลที่เหมาะสมเสมอไป เพราะวัดต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองและบางแห่งขาดความรู้ด้านสัตวแพทย์ 
- 
กฎหมายครอบครอง: เมื่อช้างถูกมอบเป็นของขวัญทางการทูต ความเป็นเจ้าของตกอยู่กับประเทศผู้รับ ไทยไม่สามารถสั่งการหรือเข้าไปดูแลได้โดยตรง ต้องใช้วิธีเจรจาระหว่างรัฐบาลเท่านั้น 
- 
การใช้งานเกินกำลัง: ช้างไทยคุ้นชินกับระบบเลี้ยงในพื้นที่ร่ม มีอาหารและน้ำเพียงพอ แต่เมื่ออยู่ต่างสภาพภูมิอากาศ ถูกใช้งานในขบวนหรือเดินบนถนนร้อน ๆ ก็ทำให้สุขภาพทรุดอย่างรวดเร็ว 
เสียงจากสังคมไทย: จากความภาคภูมิใจสู่ความห่วงใย
จากเดิมที่การมอบช้างถือเป็น “เกียรติแห่งชาติ” วันนี้เสียงของสังคมกลับเปลี่ยนไป คนไทยจำนวนมากเรียกร้องให้รัฐ ยุติการส่งช้างไปต่างประเทศ และจัดระบบดูแลอย่างมีมนุษยธรรมแทน
ภายใต้แรงกดดันจากสาธารณะ รัฐบาลไทยประกาศว่าจะไม่ส่งช้างเป็นของขวัญทางการทูตอีก และจะเร่งติดตามช้างที่ถูกส่งออกไปก่อนหน้านี้ให้ครบทั้งหมด รวมถึงเตรียมมาตรฐานใหม่สำหรับการดูแลช้างในต่างแดนร่วมกับประเทศคู่มิตร
บทเรียนจากมิตรภาพที่เปลี่ยนแปลง
กรณีช้างสันทวไมตรีในศรีลังกา ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของสัตว์สองเชือก แต่มันสะท้อนแนวคิดทางการทูตของมนุษย์ในยุคใหม่ — ว่ามิตรภาพไม่ควรถูกสร้างด้วยชีวิตของสิ่งมีชีวิตอื่น
จาก พลายประตูผา ผู้เดินทางไปศรีลังกาเมื่อ 45 ปีก่อน ถึง พลายศักดิ์สุรินทร์ ผู้กลับบ้านอย่างผู้รอดชีวิต และ พลายศรีณรงค์ ที่ยังรอการตรวจสุขภาพในวันนี้ — เรื่องราวเหล่านี้ได้เปลี่ยนความหมายของคำว่า “ของขวัญแห่งมิตรภาพ” ไปตลอดกาล
บทสรุป
“ช้างไม่ได้พูด แต่โลกได้ยินเสียงของมันผ่านบาดแผลที่เราเป็นคนสร้าง”
จากสัตว์ทูตแห่งศรัทธา กลายเป็นเสียงเตือนแห่งความรับผิดชอบทางศีลธรรม ไทยและศรีลังกาอาจเริ่มจากมิตรภาพทางศาสนา แต่สิ่งที่จะยืนยันว่าความสัมพันธ์นี้ยังคงงดงาม คือการที่ทั้งสองประเทศยืนอยู่ข้างชีวิต — ไม่ใช่เพียงข้างสัญลักษณ์.