ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 จีนกำลังอยู่ในภาวะเสื่อมถอยทางอำนาจหลังพ่ายแพ้สงครามฝิ่นและสงครามกับญี่ปุ่น ราชวงศ์ชิงต้องลงนามสนธิสัญญาที่เสียเปรียบครั้งแล้วครั้งเล่า เปิดเมืองท่าให้ต่างชาติค้าเสรี และยอมให้กองกำลังตะวันตกเข้ามาตั้งเขตเช่าภายในประเทศ ความอับอายและความรู้สึกว่าชาติถูกเหยียบย่ำ ทำให้ประชาชนจำนวนมากเริ่มหันกลับมาหาศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และอภินิหาร
กลุ่มที่เรียกตนเองว่า “อี้เหอถวน (義和團)” หรือพวกนักมวยแห่งความชอบธรรมและความสามัคคี ถือกำเนิดจากชาวบ้านในภาคเหนือของจีน พวกเขาผสมผสานศิลปะการต่อสู้ พิธีกรรม และความเชื่อว่าตนคงกระพันชาตรี ปืนฝรั่งยิงไม่เข้า จุดมุ่งหมายคือขับไล่ชาวต่างชาติและศาสนาคริสต์ออกจากแผ่นดินจีนที่กำลังถูกแทรกแซงทุกหย่อมหญ้า
จุดระเบิดของความโกรธ
ในปี ค.ศ. 1900 การลุกฮือของนักมวยเริ่มลุกลามไปทั่วมณฑล เหตุการณ์ความรุนแรงต่อชาวคริสต์และชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซูสีไทเฮา ผู้สำเร็จราชการของราชวงศ์ชิง มองเห็นโอกาสที่จะใช้กระแสนี้เป็นพลังชาตินิยม จึงเลือกที่จะ หนุนหลังขบวนการนักมวย โดยประกาศสงครามกับพันธมิตรต่างชาติ 8 ชาติพร้อมกัน
การตัดสินใจนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของยุทธศาสตร์ แต่เป็นปฏิกิริยาแบบอารมณ์ทางการเมือง — ยึดกระแสชาตินิยมเพื่อกลบความเสื่อมของอำนาจราชสำนัก แต่ผลคือหายนะ เพราะกองทัพพันธมิตรต่างชาติบุกเข้าปักกิ่งอย่างรวดเร็ว เมืองหลวงถูกยึด ซูสีไทเฮาและฮ่องเต้กวางสูหนีไปซีอาน ปล่อยให้ประชาชนรับเคราะห์
เมื่อวีรบุรุษกลายเป็นกบฏ
พอนักมวยพ่ายแพ้ ซูสีไทเฮากลับลำทันที ประกาศว่าพวกเขาคือกบฏ ไม่ใช่วีรชน มีการจับกุม ตัดหัว เผาเสื้อผ้า และประจานกลางเมืองต่อหน้าต่างชาติ
ชาวจีนฆ่าชาวจีนเอง เพื่อรักษาหน้าราชสำนักที่ก่อนหน้านี้เพิ่งหนีเอาตัวรอด ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่สะท้อนว่า ผู้มีอำนาจพร้อมขายใครก็ได้เพื่อความอยู่รอดของตนเอง แม้จะเป็นผู้ที่ตนเองเคยปลุกปั่นให้ต่อสู้ก็ตาม
มุมมองจากโลกภายนอก
ในสายตาของชาติตะวันตก นี่คือ “Boxer Rebellion” — กลุ่มต่อต้านอารยธรรมโลกสมัยใหม่อย่างป่าเถื่อน หนังสือพิมพ์ฝรั่งตีพิมพ์ภาพล้อ เหยียดชาวจีน และใช้เหตุการณ์นี้สร้างความชอบธรรมให้การแทรกแซงจีนต่อเนื่อง
ในทางกลับกัน ชาวจีนรุ่นหลังบางส่วนกลับมองว่านักมวยเป็น “วีรชนที่ถูกหักหลัง” พวกเขาอาจเชื่อผิด แต่ก็เป็นคนกลุ่มเดียวในเวลานั้นที่กล้าลุกขึ้นท้าทายจักรวรรดินิยมด้วยแรงศรัทธา แม้จะไม่รู้ว่าจะชนะได้อย่างไร
ปัจจัยแวดล้อมที่ขับดันวิกฤต
1. ความแตกแยกภายในราชสำนัก
-
กลุ่มหัวเก่าอนุรักษ์นิยม นำโดยซูสีไทเฮา ต่อต้านการปฏิรูป หวาดระแวงตะวันตก
-
กลุ่มหัวก้าวหน้า นำโดยจักรพรรดิกวางสู พยายามปฏิรูปประเทศ (การศึกษา เศรษฐกิจ ราชการ) แต่ถูกซูสีไทเฮาทำรัฐประหารขังไว้
2. พันธมิตร 8 ชาติ: เมื่อโลกมองจีนเป็นของฟรี
-
อังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, รัสเซีย, ญี่ปุ่น, สหรัฐฯ, อิตาลี, ออสเตรีย-ฮังการี ล้วนมีเขตเช่าและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในจีน
-
ทุกชาติร่วมมือกันปราบนักมวยเพื่อรักษาเส้นทางการค้าและผลประโยชน์ของตนเอง
3. ประชาชนไม่ได้เป็นก้อนเดียวกัน
-
ชาวคริสต์จีนถูกมองว่า “เป็นพวกฝรั่ง” จึงตกเป็นเป้า
-
คนในเมืองกับคนชนบทมองโลกไม่เหมือนกัน คนเมืองเริ่มเห็นโลกกว้าง คนชนบทยังถูกขังในศรัทธาเก่า
-
ชนชั้นกลางใหม่ นักหนังสือพิมพ์ ปัญญาชน เริ่มตั้งคำถามกับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะนักมวยหรือราชสำนัก
-
กลุ่มอาชญากรก็แฝงตัวในนักมวย ใช้ความโกลาหลกอบโกยผลประโยชน์
4. เศรษฐกิจและภัยพิบัติ
-
ภัยแล้งรุนแรงในตอนเหนือของจีน (1899–1900) ทำให้เกิดความอดอยากและโทษว่าเป็นเพราะ "ต่างชาตินำความโชคร้ายมา"
-
เงินต่างประเทศทำให้ระบบเงินตราเดิมปั่นป่วน ข้าวของแพง ชาวบ้านเดือดร้อน
-
ระบบราชการท้องถิ่นอ่อนแอจนไร้ความสามารถในการป้องกันความเดือดร้อน
5. การโฆษณาชวนเชื่อของทุกฝ่าย
-
นักมวยสร้างความเชื่อว่าตน "คงกระพัน ปืนยิงไม่เข้า" มีการทำพิธีกรรม ป้ายยันต์ สะกดจิต
-
ซูสีไทเฮาสนับสนุนข่าวปลอมเพื่อยกระดับขวัญ
-
ฝ่ายตะวันตกโฆษณาว่าจีนคือบ้านป่าเมืองเถื่อน สมควรถูกจัดระเบียบด้วยอารยธรรมฝรั่ง
บทเรียนจากปลายราชวงศ์ชิง
นี่ไม่ใช่แค่ความล้มเหลวของการลุกฮือด้วยศรัทธา แต่มันคือ ภาพรวมของประเทศที่ไม่มีใครซื่อสัตย์กับใครเลย
-
ราชสำนักใช้ศรัทธาเพื่อปลุกระดม แต่หักหลังทันทีที่ตัวเองจะเสียเปรียบ
-
ประชาชนบางส่วนเชื่อโดยไร้เหตุผล และถูกใช้เป็นเครื่องมือ
-
ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงโดยใช้ข้ออ้างเรื่อง “อารยธรรม” แต่เป้าหมายคือผลประโยชน์
และที่สุดแล้ว จีนก็เข้าสู่จุดจบของราชวงศ์ในเวลาเพียง 11 ปีถัดมา (1911) ด้วยการปฏิวัติซินไฮ่ — หลังผู้คนทั่วประเทศตาสว่างว่า ราชวงศ์ที่ไม่เห็นหัวประชาชน ไม่สมควรปกครองใครอีกต่อไป
มองอย่างคนนอก
กบฏนักมวยไม่ได้มี “คนผิด” หรือ “คนถูก” อย่างเด็ดขาด แต่ทุกฝ่ายต่างเป็นผลผลิตของโลกที่สับสนและเปราะบาง
-
ฝรั่งมีอำนาจ แต่หยิ่งผยองและไม่เคารพวัฒนธรรมผู้อื่น
-
นักมวยมีใจรักชาติ แต่ไร้ยุทธศาสตร์และถูกใช้
-
ราชสำนักมีอำนาจ แต่ไร้สัจจะและศีลธรรม
นี่ไม่ใช่แค่บทเรียนของจีนในศตวรรษที่ 20 แต่คือ บทเรียนของทุกประเทศที่ผู้มีอำนาจเลือกจะรักษาอำนาจของตน ด้วยการโยนประชาชนลงไปใต้รถไฟ แล้วบอกว่าตัวเองกำลังปกป้องชาติ