การเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 ถูกมองว่าเป็นหมุดหมายสำคัญของประชาธิปไตยไทย เพราะเป็นครั้งแรกที่พรรคก้าวไกลสามารถกวาดที่นั่งได้มากที่สุด และเสนอพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ขึ้นเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แต่ด้วยโครงสร้างการเมืองและบทบาทของวุฒิสภาที่แต่งตั้งโดย คสช. ทำให้เพื่อไทยพลิกเกมร่วมมือกับฝ่ายเดิม จัดตั้งรัฐบาลและแย่งเก้าอี้นายกฯ ได้สำเร็จ เหตุการณ์นี้ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของรัฐบาลที่เต็มไปด้วย วิบากกรรม ความล้มเหลว และข้อครหาความชอบธรรม ที่ตามมาจนถึงปัจจุบัน
14 พฤษภาคม 2566: เลือกตั้งที่ก้าวไกลชนะ แต่เพื่อไทยกลับได้อำนาจ
-
ก้าวไกล: 151 ที่นั่ง (อันดับ 1)
-
เพื่อไทย: 141 ที่นั่ง (อันดับ 2)
-
ดีลการเมือง: เพื่อไทยจับมือกับพรรคสาย คสช. และพรรคอนุรักษ์นิยมอื่น ๆ เพื่อปิดทางก้าวไกล
-
ประชาชนจำนวนมากรู้สึกว่าถูกปล้นชัยชนะ เพราะพรรคที่ชนะอันดับหนึ่งกลับถูกกันออกจากการจัดตั้งรัฐบาล
-
ความรู้สึกนี้ฝังลึก และเป็นต้นตอความไม่เชื่อมั่นในรัฐบาลใหม่ตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำงาน
22 สิงหาคม 2566: เศรษฐา ทวีสิน ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30
-
เศรษฐา นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากแสนสิริ ได้รับเสียงโหวต 482 เสียงจากรัฐสภา
-
ถูกมองว่าเป็น “นายกฯ โควตานายทุน” ของตระกูลชินวัตร ไม่ได้มีฐานทางการเมืองของตัวเอง
-
จุดอ่อนชัดเจนตั้งแต่วันแรก: ขาดความ正当 (legitimacy) ทั้งในสายตาประชาชนและฝ่ายการเมืองอื่น ๆ
ความสำเร็จและการบริหารของเศรษฐา
-
มีการพยายามสร้างความเชื่อมั่นต่อต่างประเทศ โดยเดินทางเยือนหลายประเทศเพื่อเชื่อมโยงการลงทุน
-
ผลักดันแนวคิดเศรษฐกิจดิจิทัลและ Green Economy แต่ไม่สามารถทำให้เกิดผลรูปธรรม
-
สามารถรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทในช่วงต้น แต่ขาดมาตรการระยะยาว
ความล้มเหลวและปัญหาช่วงเศรษฐา
-
ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท — งบ 5.6 แสนล้าน ติดข้อกฎหมายการคลังและถูกมองว่าเป็นประชานิยมสุดโต่ง → ไม่สามารถเดินหน้าได้จริง
-
ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท/วัน — ประกาศชัดตอนหาเสียง แต่เมื่อถึงเวลาจริงกลับเลื่อนและหลบเลี่ยง
-
เงินเดือนบัณฑิต 25,000 บาท — ไม่เคยถูกนำเข้าสู่การพิจารณาอย่างจริงจัง
-
พักหนี้เกษตรกร 3 ปี — ทำได้บางส่วน มีเงื่อนไขมาก และคนเข้าถึงจริงน้อย
-
Soft Power — จัดอีเวนต์ใหญ่โต เช่น Thai Festival แต่ไม่มีผลเศรษฐกิจชัดเจน ถูกมองว่าเป็นเพียงการประชาสัมพันธ์
แรงกดดันที่บีบเศรษฐา
-
ฝ่ายค้าน: จัดหนักทั้งในสภาและนอกสภา ซัดว่านโยบายเพ้อฝัน ไร้การคำนวณจริง และยื่นตรวจสอบผลประโยชน์ทับซ้อน
-
สังคมและตลาดทุน: นักลงทุนไม่เชื่อมั่น ตลาดหุ้นผันผวน ภาคธุรกิจวิจารณ์ว่ารัฐบาลขาดวิสัยทัศน์
-
ภายในพรรคเพื่อไทย: กลุ่มชินวัตรเริ่มขยับ เตรียมดันแพทองธารขึ้นแทน มองว่าเศรษฐาเป็นเพียงนายกฯ ชั่วคราว
สิงหาคม 2567: การลาออกของเศรษฐา
-
เศรษฐาเผชิญแรงกดดันจากทุกทิศทาง ทั้งฝ่ายค้าน สังคม และภายในพรรคเอง
-
คดีผลประโยชน์ทับซ้อนถูกเตรียมผลักเข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้สถานะสั่นคลอน
-
เพื่อไทยส่งสัญญาณชัดเจนว่าอยากเปลี่ยนผู้นำ โดยดันแพทองธารขึ้นแทน
-
สุดท้ายเศรษฐาตัดสินใจลาออกในเดือนสิงหาคม 2567 กลายเป็น “นายกฯ ขัดตาทัพ” ที่อยู่เพียง 1 ปีเศษ
16 สิงหาคม 2567: แพทองธาร (อุ๊งอิ๊ง) ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31
-
แพทองธาร ชินวัตร ได้รับเลือกขึ้นแทนตามความคาดหมาย
-
สังคมตั้งข้อสงสัยหนักว่าเพื่อไทยใช้เศรษฐาเป็นเพียงสะพาน เพื่อให้คนในตระกูลได้กลับมากุมอำนาจโดยตรง
-
กระแส “รัฐบาลตระกูลชินวัตร” กลับมาชัดเจนอีกครั้ง
การบริหารและความสำเร็จของแพทองธาร
-
มีการสร้างความนิยมจากฐานเสียงคนรุ่นใหม่ในช่วงต้น ด้วยภาพลักษณ์ที่สดใหม่และเป็นผู้หญิงรุ่นใหม่
-
เดินหน้านโยบายด้านสวัสดิการ เช่น ขยายโครงการช่วยเหลือครอบครัวรายได้น้อยและโครงการอาหารกลางวันโรงเรียน
-
พยายามดันนโยบายพลังงานสะอาด แต่ยังอยู่ในระดับแผนงานมากกว่าการปฏิบัติจริง
ความล้มเหลวและข้อครหาของแพทองธาร
-
นโยบายเศรษฐกิจหลักไม่เดินหน้า เช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่ยังค้าง
-
ถูกโจมตีว่าขาดประสบการณ์ทางการเมืองและการบริหาร จนตัดสินใจผิดพลาดหลายครั้ง
-
ปัญหาการแต่งตั้งบุคคลในตำแหน่งสำคัญถูกวิจารณ์ว่ามีการเอื้อคนใกล้ชิดและเครือข่ายตระกูล
-
สุดท้ายเผชิญคดีคุณสมบัติและถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่
1 กรกฎาคม 2568: ศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่
-
ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้แพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีชั่วคราว ระหว่างพิจารณาคดีคุณสมบัติ
-
ประเทศเข้าสู่ภาวะ สุญญากาศทางการเมือง รัฐบาลเป็นเพียงรักษาการ ไม่สามารถเดินหน้านโยบายสำคัญได้
29 สิงหาคม 2568: คำวินิจฉัยชี้ขาดให้อุ๊งอิ๊งพ้นตำแหน่ง
-
ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้แพทองธารพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
-
มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ (1 ก.ค. 68)
-
คณะรัฐมนตรีสิ้นสภาพทันที → ภูมิธรรม เวชยชัย ขึ้นทำหน้าที่รักษาการ
-
ภาพลักษณ์เพื่อไทยเสียหายหนัก ถูกวิจารณ์ว่าดันแคนดิเดตที่ไม่มั่นคงจนประเทศต้องหยุดชะงัก
กันยายน 2568: เกมการเมืองเลือกนายกฯ คนใหม่
-
ตัวเต็ง: อนุทิน ชาญวีรกูล (ภูมิใจไทย) ที่มีพันธมิตรหลายพรรคและเสียงสนับสนุนเพิ่มขึ้น
-
ชื่ออื่นที่ถูกพูดถึง: ชัยเกษม (พท.), พีระพันธุ์, จุรินทร์, พล.อ.ประยุทธ์
-
เกมต่อรองยังเต็มไปด้วย ดีลลับ ผลประโยชน์ และการต่อรองตำแหน่ง มากกว่าการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชน
ภาพรวมความล้มเหลว "รัฐบาลเพื่อไทย 2566–ปัจจุบัน"
-
ได้อำนาจจากการ แย่งชัยชนะของก้าวไกล ที่ประชาชนเลือก
-
นายกฯ เปลี่ยนถึง 2 ครั้งในเวลาเพียง 2 ปีเศษ
-
นโยบายหาเสียง ไม่สำเร็จเลยแม้แต่เรื่องหลัก เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต ค่าแรงขั้นต่ำ และพักหนี้เกษตรกร
-
เต็มไปด้วยข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน และการใช้อำนาจเอื้อครอบครัวการเมืองเดิม
-
ประเทศตกอยู่ในวังวน วิกฤตความชอบธรรม และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจการเมืองอย่างต่อเนื่อง
บทสรุป: วิบากของสภาชุดนี้
สภาชุดนี้ (ก.ค. 66 – ก.ค. 70) ควรเป็นช่วงเวลาสร้างความหวังใหม่ แต่กลับกลายเป็นบันทึกแห่งความผิดหวัง รัฐบาลจัดตั้งช้า นายกฯ เปลี่ยนบ่อย นโยบายหาเสียงไม่สำเร็จ และเต็มไปด้วยข้อครหาเรื่องฉ้อฉลและผลประโยชน์ส่วนตน
นี่คือตัวอย่างชัดเจนของ “การเมืองไทยที่วนลูป” — ประชาชนเลือกอีกอย่าง แต่กลับได้อีกอย่าง สุดท้ายต้องเผชิญผลพวงจากเกมอำนาจแทนการแก้ไขปัญหาของประเทศอย่างแท้จริง.