วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2568

Timeline ความล้มเหลวของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย (2566–ปัจจุบัน)

การเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 ถูกมองว่าเป็นหมุดหมายสำคัญของประชาธิปไตยไทย เพราะเป็นครั้งแรกที่พรรคก้าวไกลสามารถกวาดที่นั่งได้มากที่สุด และเสนอพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ขึ้นเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แต่ด้วยโครงสร้างการเมืองและบทบาทของวุฒิสภาที่แต่งตั้งโดย คสช. ทำให้เพื่อไทยพลิกเกมร่วมมือกับฝ่ายเดิม จัดตั้งรัฐบาลและแย่งเก้าอี้นายกฯ ได้สำเร็จ เหตุการณ์นี้ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของรัฐบาลที่เต็มไปด้วย วิบากกรรม ความล้มเหลว และข้อครหาความชอบธรรม ที่ตามมาจนถึงปัจจุบัน


14 พฤษภาคม 2566: เลือกตั้งที่ก้าวไกลชนะ แต่เพื่อไทยกลับได้อำนาจ

  • ก้าวไกล: 151 ที่นั่ง (อันดับ 1)

  • เพื่อไทย: 141 ที่นั่ง (อันดับ 2)

  • ดีลการเมือง: เพื่อไทยจับมือกับพรรคสาย คสช. และพรรคอนุรักษ์นิยมอื่น ๆ เพื่อปิดทางก้าวไกล

  • ประชาชนจำนวนมากรู้สึกว่าถูกปล้นชัยชนะ เพราะพรรคที่ชนะอันดับหนึ่งกลับถูกกันออกจากการจัดตั้งรัฐบาล

  • ความรู้สึกนี้ฝังลึก และเป็นต้นตอความไม่เชื่อมั่นในรัฐบาลใหม่ตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำงาน


22 สิงหาคม 2566: เศรษฐา ทวีสิน ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30

  • เศรษฐา นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากแสนสิริ ได้รับเสียงโหวต 482 เสียงจากรัฐสภา

  • ถูกมองว่าเป็น “นายกฯ โควตานายทุน” ของตระกูลชินวัตร ไม่ได้มีฐานทางการเมืองของตัวเอง

  • จุดอ่อนชัดเจนตั้งแต่วันแรก: ขาดความ正当 (legitimacy) ทั้งในสายตาประชาชนและฝ่ายการเมืองอื่น ๆ

ความสำเร็จและการบริหารของเศรษฐา

  • มีการพยายามสร้างความเชื่อมั่นต่อต่างประเทศ โดยเดินทางเยือนหลายประเทศเพื่อเชื่อมโยงการลงทุน

  • ผลักดันแนวคิดเศรษฐกิจดิจิทัลและ Green Economy แต่ไม่สามารถทำให้เกิดผลรูปธรรม

  • สามารถรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทในช่วงต้น แต่ขาดมาตรการระยะยาว

ความล้มเหลวและปัญหาช่วงเศรษฐา

  • ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท — งบ 5.6 แสนล้าน ติดข้อกฎหมายการคลังและถูกมองว่าเป็นประชานิยมสุดโต่ง → ไม่สามารถเดินหน้าได้จริง

  • ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท/วัน — ประกาศชัดตอนหาเสียง แต่เมื่อถึงเวลาจริงกลับเลื่อนและหลบเลี่ยง

  • เงินเดือนบัณฑิต 25,000 บาท — ไม่เคยถูกนำเข้าสู่การพิจารณาอย่างจริงจัง

  • พักหนี้เกษตรกร 3 ปี — ทำได้บางส่วน มีเงื่อนไขมาก และคนเข้าถึงจริงน้อย

  • Soft Power — จัดอีเวนต์ใหญ่โต เช่น Thai Festival แต่ไม่มีผลเศรษฐกิจชัดเจน ถูกมองว่าเป็นเพียงการประชาสัมพันธ์

แรงกดดันที่บีบเศรษฐา

  1. ฝ่ายค้าน: จัดหนักทั้งในสภาและนอกสภา ซัดว่านโยบายเพ้อฝัน ไร้การคำนวณจริง และยื่นตรวจสอบผลประโยชน์ทับซ้อน

  2. สังคมและตลาดทุน: นักลงทุนไม่เชื่อมั่น ตลาดหุ้นผันผวน ภาคธุรกิจวิจารณ์ว่ารัฐบาลขาดวิสัยทัศน์

  3. ภายในพรรคเพื่อไทย: กลุ่มชินวัตรเริ่มขยับ เตรียมดันแพทองธารขึ้นแทน มองว่าเศรษฐาเป็นเพียงนายกฯ ชั่วคราว


สิงหาคม 2567: การลาออกของเศรษฐา

  • เศรษฐาเผชิญแรงกดดันจากทุกทิศทาง ทั้งฝ่ายค้าน สังคม และภายในพรรคเอง

  • คดีผลประโยชน์ทับซ้อนถูกเตรียมผลักเข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้สถานะสั่นคลอน

  • เพื่อไทยส่งสัญญาณชัดเจนว่าอยากเปลี่ยนผู้นำ โดยดันแพทองธารขึ้นแทน

  • สุดท้ายเศรษฐาตัดสินใจลาออกในเดือนสิงหาคม 2567 กลายเป็น “นายกฯ ขัดตาทัพ” ที่อยู่เพียง 1 ปีเศษ


16 สิงหาคม 2567: แพทองธาร (อุ๊งอิ๊ง) ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31

  • แพทองธาร ชินวัตร ได้รับเลือกขึ้นแทนตามความคาดหมาย

  • สังคมตั้งข้อสงสัยหนักว่าเพื่อไทยใช้เศรษฐาเป็นเพียงสะพาน เพื่อให้คนในตระกูลได้กลับมากุมอำนาจโดยตรง

  • กระแส “รัฐบาลตระกูลชินวัตร” กลับมาชัดเจนอีกครั้ง

การบริหารและความสำเร็จของแพทองธาร

  • มีการสร้างความนิยมจากฐานเสียงคนรุ่นใหม่ในช่วงต้น ด้วยภาพลักษณ์ที่สดใหม่และเป็นผู้หญิงรุ่นใหม่

  • เดินหน้านโยบายด้านสวัสดิการ เช่น ขยายโครงการช่วยเหลือครอบครัวรายได้น้อยและโครงการอาหารกลางวันโรงเรียน

  • พยายามดันนโยบายพลังงานสะอาด แต่ยังอยู่ในระดับแผนงานมากกว่าการปฏิบัติจริง

ความล้มเหลวและข้อครหาของแพทองธาร

  • นโยบายเศรษฐกิจหลักไม่เดินหน้า เช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่ยังค้าง

  • ถูกโจมตีว่าขาดประสบการณ์ทางการเมืองและการบริหาร จนตัดสินใจผิดพลาดหลายครั้ง

  • ปัญหาการแต่งตั้งบุคคลในตำแหน่งสำคัญถูกวิจารณ์ว่ามีการเอื้อคนใกล้ชิดและเครือข่ายตระกูล

  • สุดท้ายเผชิญคดีคุณสมบัติและถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่


1 กรกฎาคม 2568: ศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่

  • ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้แพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีชั่วคราว ระหว่างพิจารณาคดีคุณสมบัติ

  • ประเทศเข้าสู่ภาวะ สุญญากาศทางการเมือง รัฐบาลเป็นเพียงรักษาการ ไม่สามารถเดินหน้านโยบายสำคัญได้


29 สิงหาคม 2568: คำวินิจฉัยชี้ขาดให้อุ๊งอิ๊งพ้นตำแหน่ง

  • ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้แพทองธารพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

  • มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ (1 ก.ค. 68)

  • คณะรัฐมนตรีสิ้นสภาพทันที → ภูมิธรรม เวชยชัย ขึ้นทำหน้าที่รักษาการ

  • ภาพลักษณ์เพื่อไทยเสียหายหนัก ถูกวิจารณ์ว่าดันแคนดิเดตที่ไม่มั่นคงจนประเทศต้องหยุดชะงัก


กันยายน 2568: เกมการเมืองเลือกนายกฯ คนใหม่

  • ตัวเต็ง: อนุทิน ชาญวีรกูล (ภูมิใจไทย) ที่มีพันธมิตรหลายพรรคและเสียงสนับสนุนเพิ่มขึ้น

  • ชื่ออื่นที่ถูกพูดถึง: ชัยเกษม (พท.), พีระพันธุ์, จุรินทร์, พล.อ.ประยุทธ์

  • เกมต่อรองยังเต็มไปด้วย ดีลลับ ผลประโยชน์ และการต่อรองตำแหน่ง มากกว่าการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชน


ภาพรวมความล้มเหลว "รัฐบาลเพื่อไทย 2566–ปัจจุบัน"

  • ได้อำนาจจากการ แย่งชัยชนะของก้าวไกล ที่ประชาชนเลือก

  • นายกฯ เปลี่ยนถึง 2 ครั้งในเวลาเพียง 2 ปีเศษ

  • นโยบายหาเสียง ไม่สำเร็จเลยแม้แต่เรื่องหลัก เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต ค่าแรงขั้นต่ำ และพักหนี้เกษตรกร

  • เต็มไปด้วยข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน และการใช้อำนาจเอื้อครอบครัวการเมืองเดิม

  • ประเทศตกอยู่ในวังวน วิกฤตความชอบธรรม และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจการเมืองอย่างต่อเนื่อง


บทสรุป: วิบากของสภาชุดนี้

สภาชุดนี้ (ก.ค. 66 – ก.ค. 70) ควรเป็นช่วงเวลาสร้างความหวังใหม่ แต่กลับกลายเป็นบันทึกแห่งความผิดหวัง รัฐบาลจัดตั้งช้า นายกฯ เปลี่ยนบ่อย นโยบายหาเสียงไม่สำเร็จ และเต็มไปด้วยข้อครหาเรื่องฉ้อฉลและผลประโยชน์ส่วนตน

นี่คือตัวอย่างชัดเจนของ “การเมืองไทยที่วนลูป” — ประชาชนเลือกอีกอย่าง แต่กลับได้อีกอย่าง สุดท้ายต้องเผชิญผลพวงจากเกมอำนาจแทนการแก้ไขปัญหาของประเทศอย่างแท้จริง.

เกมการเมืองไทย: จากการเปลี่ยนตัวนายกฯ วันนี้ ถึงอนาคตที่อาจเกิดขึ้น

การเมืองไทยกำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออีกครั้ง เมื่อเกิดกระแสเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี โดยชื่อที่ถูกผลักดันขึ้นมาและแทบจะกลายเป็นความจริงแล...