บางทีสิ่งที่ทำให้ฉันอึดอัดกับคำว่า Net Zero, ESG หรือมาตรฐานสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ไม่ใช่ตัวเป้าหมาย แต่คือวิธีที่มันถูกพูด ถูกอ้าง และถูกใช้
มันเริ่มจากเรื่องที่ฟังดูสมเหตุสมผลมาก โลกร้อนขึ้น สิ่งแวดล้อมพัง เราควรทำอะไรสักอย่าง ไม่มีใครเถียงตรงนี้ ฉันเองก็ไม่เถียง
แต่ปัญหาคือ จากคำถามเชิงเทคนิคว่า เราจะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร มันค่อย ๆ ถูกแปลงร่างเป็นคำถามอีกแบบหนึ่ง คือ คุณเป็นคนดีพอหรือยัง และตั้งแต่ตรงนั้นเป็นต้นมา บทสนทนามันก็ไม่เท่ากันอีกเลย
Net Zero ไม่ใช่กฎหมายโลก
สิ่งที่คนไม่ค่อยพูดกันตรง ๆ คือ Net Zero ไม่ใช่กฎหมายโลก ไม่มีตำรวจสิ่งแวดล้อม ไม่มีใครมาจับใครเข้าคุก สิ่งที่บังคับจริง ๆ คือแรงกดดันที่มากันเป็นชั้น ๆ เช่น
ตลาดและซัพพลายเชนโลก
นักลงทุนและสถาบันการเงิน
ลูกค้ารายใหญ่
ภาพลักษณ์ขององค์กร
ใครอยากขาย ใครอยากกู้ ใครอยากอยู่ในระบบ ก็ต้องเล่นตามเกมนี้ มันไม่ใช่การบังคับแบบตรง ๆ แต่เป็นการบังคับแบบอ้อม ที่หลบยากมาก
โครงสร้างที่คุ้นเคยแบบ ISO 14001
พอคุ้ยลึกลงไป มันยิ่งคุ้น โครงสร้างของ Net Zero และ ESG แทบไม่ต่างจาก ISO 14001 หรือมาตรฐานสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ที่เราเห็นกันมานาน สิ่งที่ระบบเหล่านี้วัด ไม่ใช่ว่าคุณปล่อยของเสียมากแค่ไหน แต่ว่าคุณมีระบบอธิบายตัวเองหรือไม่ เช่น
มีระบบเอกสารหรือเปล่า
มี procedure ไหม
มี audit ไหม
มีคนรับผิดชอบเต็มเวลาหรือไม่
ทั้งหมดนี้ไม่สร้างของ ไม่สร้างรายได้ แต่กินเงิน กินเวลา และกินพลังชีวิตคนทำงานจริง ๆ รายใหญ่ทำได้ เพราะมีทีม มีงบ มีคนทำเป็นอาชีพ รายเล็กทำไม่ได้ เพราะเจ้าของต้องทำทุกอย่างเอง กติกาเดียวกัน แต่แรงกระแทกไม่เท่ากัน
เมื่อเรื่องเทคนิคกลายเป็นเรื่องศีลธรรม
ตรงนี้เองที่มันเริ่มไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่กลายเป็นเรื่องศีลธรรมแบบเงียบ ๆ
ผ่านมาตรฐาน = รับผิดชอบ = คนดี
ไม่ผ่าน = ไม่ใส่ใจ = คนเลว
กรอบแบบนี้ทรงพลังมาก เพราะมันไม่ต้องเถียงรายละเอียด ไม่ต้องถามว่าทำไมไม่ผ่าน ไม่ต้องถามว่าใครแบกต้นทุน แค่ชี้ว่าไม่ผ่านก็พอ และใครพยายามอธิบายว่าทำไม่ไหว ก็มักถูกมองว่าเห็นแก่ตัว หรือไม่เข้าใจโลก
กำแพงการแข่งขันที่สุภาพเกินกว่าจะถูกตั้งคำถาม
สิ่งที่น่าคิดคือ ระบบเหล่านี้ไม่ได้แค่ปกป้องสิ่งแวดล้อม แต่มันทำหน้าที่จัดระเบียบตลาดไปพร้อมกัน มันสร้างกำแพงการแข่งขันอย่างสุภาพ ไม่มีใครห้ามคุณเข้า แต่มีต้นทุนก้อนใหญ่ที่คุณต้องจ่ายก่อน รายใหญ่จ่ายไหว รายเล็กจ่ายไม่ไหว
ผลลัพธ์คือ ตลาดอาจดูสะอาดขึ้น แต่ก็แคบลง เงียบลง และมีคนหายไประหว่างทาง โดยไม่มีใครต้องรับผิดชอบต่อการหายไปนั้น เพราะมันถูกอธิบายว่าเป็นผลลัพธ์ของความดี
คำถามที่ไม่ค่อยมีใครอยากถาม
ฉันไม่คิดว่านี่คือแผนสมคบคิดลับของใคร แต่มันคือระบบที่เอื้อรายใหญ่โดยโครงสร้าง และใช้กรอบศีลธรรมเป็นเกราะคุ้มกันตัวเอง สิ่งที่อันตรายที่สุดอาจไม่ใช่การที่บางคนไม่ทำตามมาตรฐาน แต่คือการที่สังคมหยุดตั้งคำถามกับมาตรฐานนั้น เพียงเพราะมันถูกห่อด้วยคำว่า ความดี
เมื่อความดีไม่ต้องอธิบายตัวเอง มันก็กลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมาก ในการตัดสิน ใบ้เงียบ และคัดคนออก โดยที่ทุกคนยังรู้สึกว่าตัวเองอยู่ฝั่งถูก และไม่ต้องหันกลับมามองคนที่ล้มอยู่ข้างหลังเลย