โยธาชีวสูตร
บทนำ: พระสูตรที่ไม่ปลอบใจ แต่เลี่ยงไม่ได้
โยธาชีวสูตร เป็นพระสูตรที่อ่านแล้วไม่สบายใจ แต่ยิ่งอ่านยิ่งเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันไม่ได้ถามเรื่องสวรรค์ นรก หรือปรัชญาลอย ๆ หากแต่ถามตรงไปที่หัวใจของมนุษย์ว่า เมื่อเราฆ่าคนด้วยความเชื่อว่าทำเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง เรากำลังทำอะไรอยู่กันแน่
พระสูตรนี้ปรากฏในพระไตรปิฎก หมวดสังยุตตนิกาย เป็นบทสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้ากับชายผู้ประกอบอาชีพเป็นนักรบ ซึ่งสังคมในยุคนั้นยกย่องว่าเป็นผู้เสียสละเพื่อแผ่นดิน
ชายผู้เป็นนักรบ และคำถามจากใจจริง
นักรบผู้นี้ไม่ได้มาด้วยท่าทีโอหังหรือท้าทาย เขามาด้วยความลังเลและความไม่แน่ใจ คำถามที่เขาทูลถามไม่ใช่คำถามเชิงทฤษฎี แต่เป็นคำถามของคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับอาวุธ มือเปื้อนเลือด และถูกสอนมาตลอดว่า
การฆ่าในสนามรบไม่ใช่บาป
หากทำเพื่อหน้าที่ ถือว่าเป็นสิ่งสูงส่ง
นักรบที่ตายในสนามรบจะไปสู่ภพภูมิที่ดี
เขาทูลถามว่า
บุรุษผู้เป็นนักรบ ออกรบ ฆ่าศัตรูด้วยความตั้งใจแน่วแน่ เพื่อหน้าที่ เพื่อแผ่นดิน เมื่อตายไปแล้วจะไปเกิดที่ใด
เหตุใดพระพุทธเจ้าจึงไม่ตอบในทันที
สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ พระพุทธเจ้าไม่ได้ตอบคำถามนี้ทันที พระองค์ตรัสให้ชายผู้นั้นอย่าเพิ่งถามคำถามนี้ก่อน เพราะ
คำตอบนั้นรุนแรงต่อความเชื่อทั้งชีวิต
พระพุทธเจ้าไม่ยัดความจริงให้ผู้ที่ยังไม่พร้อมรับ
ธรรมะต้องอาศัยความสมัครใจในการฟัง
เมื่อนักรบทูลถามซ้ำถึงสามครั้ง พร้อมยืนยันว่าต้องการรู้ความจริง ไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าจึงตรัสตอบอย่างตรงไปตรงมา
คำตอบที่ไม่มีข้อยกเว้น
พระพุทธเจ้าตรัสโดยสรุปว่า
นักรบผู้มีจิตคิดฆ่า
มีเจตนาเบียดเบียน
จิตประกอบด้วยความโกรธและพยาบาท
แม้จะอ้างหน้าที่ อุดมการณ์ หรือความจำเป็นใด ๆ ก็ตาม เมื่อตายไปแล้วย่อมไปเกิดในอบายภูมิ
คำตอบนี้ไม่มีคำว่า
“ถ้าเพื่อชาติ”
“ถ้าเพื่อหน้าที่”
“ถ้าจำเป็น”
เพราะพระพุทธเจ้าพิจารณาเพียง สภาพจิตขณะกระทำ และจิตที่คิดฆ่า ไม่ว่าด้วยเหตุใด ก็เป็นอกุศลจิตโดยตัวมันเอง
ช่วงเวลาที่ความเชื่อทั้งชีวิตพังทลาย
เมื่อได้ฟังดังนั้น นักรบถึงกับร้องไห้ และกล่าวถ้อยคำที่สะเทือนใจอย่างยิ่งว่า
ตนถูกหลอก ถูกสอนผิดมาตลอดชีวิต
คำพูดนี้ไม่ได้เป็นการโทษพระพุทธเจ้า แต่เป็นการตระหนักว่า ระบบความเชื่อ ที่เขาเติบโตมา ได้ทำให้เขาฆ่าคนโดยเข้าใจว่ากำลังทำบุญ
แก่นแท้ของโยธาชีวสูตร
โยธาชีวสูตรไม่ได้ประณามนักรบในฐานะปัจเจก แต่กำลังรื้อถอนตรรกะอันตรายที่สังคมใช้รองรับความรุนแรง ได้แก่
การอ้างอุดมการณ์เพื่อชำระการฆ่า
การยกเจตนาเชิงอุดมการณ์เหนือชีวิตมนุษย์
การใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือให้ความชอบธรรมกับอำนาจ
ความเข้าใจผิดเรื่อง “เจตนาเป็นกรรม”
ในพระพุทธศาสนามีคำสอนว่า เจตนาเป็นกรรม ซึ่งมักถูกยกมาอ้างอย่างผิวเผิน แต่โยธาชีวสูตรทำให้เห็นชัดว่า
เจตนาในพุทธศาสนา คือสภาพจิตที่เกิดขึ้นจริง
ไม่ใช่คำประกาศ อุดมการณ์ หรือป้ายชื่อทางศีลธรรม
จิตที่คิดฆ่า ย่อมประกอบด้วยโทสะและพยาบาท
จึงไม่อาจกลายเป็นกุศลได้ ไม่ว่าจะอ้างเหตุผลใด
โยธาชีวสูตรกับโลกปัจจุบัน
แม้เวลาจะผ่านมากว่าสองพันปี พระสูตรนี้ยังคงร่วมสมัยอย่างยิ่ง ในโลกที่รัฐ อุดมการณ์ หรือความมั่นคง ถูกใช้เป็นเหตุผลให้มนุษย์ฆ่ามนุษย์
โยธาชีวสูตรยังคงตั้งคำถามเดิมว่า
เมื่ออำนาจสั่งให้คุณฆ่า
คุณจะฟังเสียงใคร ระหว่างคำสั่งกับมโนธรรม
ความกล้าหาญที่พระสูตรเสนอ
โยธาชีวสูตรเสนอความกล้าหาญอีกรูปแบบหนึ่ง
ไม่ใช่ความกล้าที่จะฆ่า
แต่คือความกล้าที่จะหยุด
กล้าที่จะตั้งคำถามกับสิ่งที่สังคมยกย่องว่าเป็นหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์
บทส่งท้าย
โยธาชีวสูตรอาจไม่ใช่พระสูตรที่อ่านแล้วสบายใจ แต่มันเป็นพระสูตรที่ซื่อสัตย์กับความจริง และยืนยันอย่างชัดเจนว่า
ไม่มีการฆ่าใดที่บริสุทธิ์
ไม่มีอุดมการณ์ใดล้างเลือดได้
หากมนุษย์กล้ายอมรับความจริงนี้ วงจรความรุนแรงอาจหยุดลงได้ในที่สุด