วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2568

โยธาชีวสูตร: เมื่อชีวิตนักรบถูกถามด้วยคำถามที่ลึกที่สุด

โยธาชีวสูตร

          [๕๙๓] ครั้งนั้นแล นายบ้านนักรบอาชีพเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่
ประทับ ฯลฯ ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้า-
*พระองค์ได้สดับคำของนักรบอาชีพทั้งอาจารย์และปาจารย์ก่อนๆ กล่าวกันอย่างนี้
ว่า นักรบอาชีพคนใดอุตสาหะพยายามในสงคราม คนอื่นฆ่าผู้นั้นซึ่งกำลังอุตสาหะ
พยายามให้ถึงความตาย ผู้นั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดา
เหล่าสรชิต ในข้อนี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่าอย่างไร พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อย่าเลย
นายบ้าน ขอพักข้อนี้เสียเถิด อย่าถามข้อนี้กะเราเลย แม้ครั้งที่ ๒ ฯลฯ แม้
ครั้งที่ ๓ นายบ้านนักรบอาชีพได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์ได้สดับคำของนักรบอาชีพทั้งอาจารย์และปาจารย์ก่อนๆ กล่าวกัน
อย่างนี้ว่า นักรบอาชีพคนใดอุตสาหะพยายามในสงคราม คนอื่นฆ่าผู้นั้นซึ่งกำลัง
อุตสาหะพยายามให้ถึงความตาย ผู้นั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของ
เทวดาเหล่าสรชิต ในข้อนี้พระผู้มีพระภาคจะตรัสว่ากระไร พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรนายบ้าน เราห้ามท่านไม่ได้แล้วว่า อย่าเลยนายบ้าน ของดข้อนี้เสียเถิด
อย่าถามเราถึงข้อนี้เลย แต่เราจักพยากรณ์ให้ท่าน ดูกรนายบ้าน นักรบอาชีพ
คนใดอุตสาหะพยายามในสงคราม ผู้นั้นยึดหน่วงจิตกระทำไว้ไม่ดี ตั้งจิตไว้ไม่ดี
ก่อนว่า สัตว์เหล่านี้จงถูกฆ่า จงถูกแทง จงขาดสูญ จงพินาศ หรือว่าอย่าได้มี
คนอื่นฆ่าผู้นั้นซึ่งกำลังอุตสาหะพยายามให้ถึงความตาย ผู้นั้นเมื่อตายไป ย่อมเกิด
ในนรกชื่อสรชิต ก็ถ้าเขามีความเห็นอย่างนี้ว่า นักรบอาชีพคนใดอุตสาหะพยายาม
ในสงคราม คนอื่นฆ่าผู้นั้นซึ่งกำลังอุตสาหะพยายามให้ถึงความตาย ผู้นั้นเมื่อ
ตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่าสรชิต ดังนี้ไซร้ ความเห็นของ
ผู้นั้นเป็นความเห็นผิด ดูกรนายบ้าน ก็เราย่อมกล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง
คือ นรกหรือกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานของบุคคลผู้มีความเห็นผิด ฯ
          [๕๙๔] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว นายบ้านนักรบอาชีพร้องไห้
สะอื้น น้ำตาไหล พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรนายบ้าน เราได้ห้ามท่านแล้วมิใช่
หรือว่า อย่าเลยนายบ้าน ของดข้อนี้เสียเถิด อย่าถามเราถึงข้อนี้เลย เขาทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่ได้ร้องไห้ถึงข้อที่พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้
กะข้าพระองค์หรอก แต่ว่าข้าพระองค์ถูกนักรบอาชีพทั้งอาจารย์และปาจารย์ก่อนๆ
ล่อลวงให้หลงสิ้นกาลนานว่า นักรบอาชีพคนใดอุตสาหะพยายามในสงคราม
คนอื่นฆ่าผู้นั้นซึ่งกำลังอุตสาหะพยายามให้ถึงความตาย นักรบอาชีพคนนั้นเมื่อตาย
ไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่าสรชิต ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระธรรมเทศนา
ของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระผู้มีพระภาคทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย ดุจ
หงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางให้แก่คนหลงทาง หรือส่องไฟในที่มืด
ด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักได้เห็นรูป ฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอถึง
พระผู้มีพระภาค กับทั้งพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มี-
*พระภาคโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะจนตลอด-
*ชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ
จบสูตรที่ ๓


บทนำ: พระสูตรที่ไม่ปลอบใจ แต่เลี่ยงไม่ได้

โยธาชีวสูตร เป็นพระสูตรที่อ่านแล้วไม่สบายใจ แต่ยิ่งอ่านยิ่งเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันไม่ได้ถามเรื่องสวรรค์ นรก หรือปรัชญาลอย ๆ หากแต่ถามตรงไปที่หัวใจของมนุษย์ว่า เมื่อเราฆ่าคนด้วยความเชื่อว่าทำเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง เรากำลังทำอะไรอยู่กันแน่

พระสูตรนี้ปรากฏในพระไตรปิฎก หมวดสังยุตตนิกาย เป็นบทสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้ากับชายผู้ประกอบอาชีพเป็นนักรบ ซึ่งสังคมในยุคนั้นยกย่องว่าเป็นผู้เสียสละเพื่อแผ่นดิน


ชายผู้เป็นนักรบ และคำถามจากใจจริง

นักรบผู้นี้ไม่ได้มาด้วยท่าทีโอหังหรือท้าทาย เขามาด้วยความลังเลและความไม่แน่ใจ คำถามที่เขาทูลถามไม่ใช่คำถามเชิงทฤษฎี แต่เป็นคำถามของคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับอาวุธ มือเปื้อนเลือด และถูกสอนมาตลอดว่า

  • การฆ่าในสนามรบไม่ใช่บาป

  • หากทำเพื่อหน้าที่ ถือว่าเป็นสิ่งสูงส่ง

  • นักรบที่ตายในสนามรบจะไปสู่ภพภูมิที่ดี

เขาทูลถามว่า

บุรุษผู้เป็นนักรบ ออกรบ ฆ่าศัตรูด้วยความตั้งใจแน่วแน่ เพื่อหน้าที่ เพื่อแผ่นดิน เมื่อตายไปแล้วจะไปเกิดที่ใด


เหตุใดพระพุทธเจ้าจึงไม่ตอบในทันที

สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ พระพุทธเจ้าไม่ได้ตอบคำถามนี้ทันที พระองค์ตรัสให้ชายผู้นั้นอย่าเพิ่งถามคำถามนี้ก่อน เพราะ

  • คำตอบนั้นรุนแรงต่อความเชื่อทั้งชีวิต

  • พระพุทธเจ้าไม่ยัดความจริงให้ผู้ที่ยังไม่พร้อมรับ

  • ธรรมะต้องอาศัยความสมัครใจในการฟัง

เมื่อนักรบทูลถามซ้ำถึงสามครั้ง พร้อมยืนยันว่าต้องการรู้ความจริง ไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าจึงตรัสตอบอย่างตรงไปตรงมา


คำตอบที่ไม่มีข้อยกเว้น

พระพุทธเจ้าตรัสโดยสรุปว่า

  • นักรบผู้มีจิตคิดฆ่า

  • มีเจตนาเบียดเบียน

  • จิตประกอบด้วยความโกรธและพยาบาท

แม้จะอ้างหน้าที่ อุดมการณ์ หรือความจำเป็นใด ๆ ก็ตาม เมื่อตายไปแล้วย่อมไปเกิดในอบายภูมิ

คำตอบนี้ไม่มีคำว่า

  • “ถ้าเพื่อชาติ”

  • “ถ้าเพื่อหน้าที่”

  • “ถ้าจำเป็น”

เพราะพระพุทธเจ้าพิจารณาเพียง สภาพจิตขณะกระทำ และจิตที่คิดฆ่า ไม่ว่าด้วยเหตุใด ก็เป็นอกุศลจิตโดยตัวมันเอง


ช่วงเวลาที่ความเชื่อทั้งชีวิตพังทลาย

เมื่อได้ฟังดังนั้น นักรบถึงกับร้องไห้ และกล่าวถ้อยคำที่สะเทือนใจอย่างยิ่งว่า

ตนถูกหลอก ถูกสอนผิดมาตลอดชีวิต

คำพูดนี้ไม่ได้เป็นการโทษพระพุทธเจ้า แต่เป็นการตระหนักว่า ระบบความเชื่อ ที่เขาเติบโตมา ได้ทำให้เขาฆ่าคนโดยเข้าใจว่ากำลังทำบุญ


แก่นแท้ของโยธาชีวสูตร

โยธาชีวสูตรไม่ได้ประณามนักรบในฐานะปัจเจก แต่กำลังรื้อถอนตรรกะอันตรายที่สังคมใช้รองรับความรุนแรง ได้แก่

  • การอ้างอุดมการณ์เพื่อชำระการฆ่า

  • การยกเจตนาเชิงอุดมการณ์เหนือชีวิตมนุษย์

  • การใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือให้ความชอบธรรมกับอำนาจ


ความเข้าใจผิดเรื่อง “เจตนาเป็นกรรม”

ในพระพุทธศาสนามีคำสอนว่า เจตนาเป็นกรรม ซึ่งมักถูกยกมาอ้างอย่างผิวเผิน แต่โยธาชีวสูตรทำให้เห็นชัดว่า

  • เจตนาในพุทธศาสนา คือสภาพจิตที่เกิดขึ้นจริง

  • ไม่ใช่คำประกาศ อุดมการณ์ หรือป้ายชื่อทางศีลธรรม

  • จิตที่คิดฆ่า ย่อมประกอบด้วยโทสะและพยาบาท

จึงไม่อาจกลายเป็นกุศลได้ ไม่ว่าจะอ้างเหตุผลใด


โยธาชีวสูตรกับโลกปัจจุบัน

แม้เวลาจะผ่านมากว่าสองพันปี พระสูตรนี้ยังคงร่วมสมัยอย่างยิ่ง ในโลกที่รัฐ อุดมการณ์ หรือความมั่นคง ถูกใช้เป็นเหตุผลให้มนุษย์ฆ่ามนุษย์

โยธาชีวสูตรยังคงตั้งคำถามเดิมว่า

  • เมื่ออำนาจสั่งให้คุณฆ่า

  • คุณจะฟังเสียงใคร ระหว่างคำสั่งกับมโนธรรม


ความกล้าหาญที่พระสูตรเสนอ

โยธาชีวสูตรเสนอความกล้าหาญอีกรูปแบบหนึ่ง

  • ไม่ใช่ความกล้าที่จะฆ่า

  • แต่คือความกล้าที่จะหยุด

  • กล้าที่จะตั้งคำถามกับสิ่งที่สังคมยกย่องว่าเป็นหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์


บทส่งท้าย

โยธาชีวสูตรอาจไม่ใช่พระสูตรที่อ่านแล้วสบายใจ แต่มันเป็นพระสูตรที่ซื่อสัตย์กับความจริง และยืนยันอย่างชัดเจนว่า

  • ไม่มีการฆ่าใดที่บริสุทธิ์

  • ไม่มีอุดมการณ์ใดล้างเลือดได้

หากมนุษย์กล้ายอมรับความจริงนี้ วงจรความรุนแรงอาจหยุดลงได้ในที่สุด

โยธาชีวสูตร: เมื่อชีวิตนักรบถูกถามด้วยคำถามที่ลึกที่สุด

โยธาชีวสูตร           [๕๙๓] ครั้งนั้นแล นายบ้านนักรบอาชีพเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ ประทับ ฯลฯ ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต...