วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

บทวิเคราะห์: จดหมายจากประธานาธิบดีทรัมป์ถึงนายสุริยะ กับสัญญาณการเปลี่ยนแปลงท่าทีของสหรัฐฯ ต่อประเทศไทย

บริบทของจดหมายและความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์

วันที่ 7 กรกฎาคม 2025 ประธานาธิบดี Donald J. Trump ส่งจดหมายจากทำเนียบขาวถึง "นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ" ในฐานะนายกรัฐมนตรีรักษาการของไทย เนื้อหาภายในดูผิวเผินเหมือนเป็นหนังสือแจ้งเตือนเรื่องภาษีการค้า แต่หากวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งแล้ว จดหมายฉบับนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในความสัมพันธ์ไทย–สหรัฐอเมริกา ที่เคยแน่นแฟ้นยาวนานกว่า 190 ปี และมีนัยยะเชิงยุทธศาสตร์ที่ลึกกว่าที่เห็นภายนอก

สาระสำคัญของจดหมาย

จดหมายมีน้ำเสียงกดดันอย่างชัดเจน โดยระบุว่าสหรัฐฯ จะขึ้นภาษีสินค้าจากประเทศไทยเป็นอัตรา 36% ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2025 โดยให้เหตุผลว่าไทยมีการตั้งกำแพงภาษีและกีดกันการค้าของสหรัฐฯ มาโดยตลอด และการขาดดุลการค้าระหว่างสองประเทศนั้นเป็นภัยต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติสหรัฐอเมริกา การใช้คำว่า "ภัยคุกคามต่อความมั่นคง" ไม่ได้เป็นคำกล่าวลอย ๆ แต่สื่อถึงการจัดลำดับประเทศไทยในเชิงนโยบายความมั่นคง ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในท่าทีทางการทูตสหรัฐฯ ต่อไทยในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา

สหรัฐฯ เปิดช่องทางเดียวที่จะไม่ต้องเสียภาษีนี้ คือ บริษัทไทยต้องย้ายฐานการผลิตเข้าสหรัฐฯ ซึ่งจะได้รับการอนุมัติแบบ "รวดเร็วและเป็นมืออาชีพ" โดยมีการรับประกันว่าเอกสารต่าง ๆ จะได้รับการพิจารณาอย่างรวดเร็ว "ภายในไม่กี่สัปดาห์" หากไทยโต้กลับด้วยการขึ้นภาษี สหรัฐฯ จะเพิ่มภาษีทบเข้าไปทันที ซึ่งเป็นลักษณะของมาตรการตอบโต้เชิงโครงสร้าง

วิเคราะห์ด้านการทูต: มิตรภาพที่แปรเปลี่ยนเป็นการแข่งขัน

จดหมายนี้ไม่มีถ้อยคำแสดงความสัมพันธ์ฉันมิตร ไม่มีการอ้างถึงอดีตแห่งความร่วมมือ ไม่เอ่ยถึงพันธมิตรยุทธศาสตร์ ไม่แม้แต่จะกล่าวถึงความเคารพในอธิปไตยของประเทศไทย กลับเน้นการข่มขู่ทางภาษีและผลประโยชน์ทางธุรกิจล้วน ๆ ซึ่งต่างจากแนวทางการทูตแบบเดิมอย่างสิ้นเชิง

แม้ขึ้นต้นด้วยคำว่า “Dear Mr. Prime Minister” ซึ่งเป็นธรรมเนียมสากล แต่ถ้อยคำอย่าง “You will never be disappointed with The United States of America” หรือ “we will charge Thailand a Tariff of only 36%” กลับสะท้อนถึงวาทกรรมแบบธุรกิจมากกว่าการทูตระหว่างประเทศ มีลักษณะคล้ายโฆษณาเชิงการตลาดมากกว่าคำประกาศทางการทูตจากมหาอำนาจ

นอกจากนี้ การเสนอให้บริษัทไทยย้ายฐานการผลิตเข้าสหรัฐ แลกกับการยกเว้นภาษี ยังถือเป็นการใช้ Soft Blackmail ซึ่งอาจกระทบความสัมพันธ์ระยะยาวได้หากไม่มีการเจรจาอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะหากรัฐบาลไทยแสดงท่าทีอ่อนข้อ อาจทำให้เกิดแรงกดดันจากประชาชนและกลุ่มอุตสาหกรรมภายในประเทศได้เช่นกัน

มิติทางประวัติศาสตร์: เมื่อมิตรเก่าไม่ใช่มิตรแท้เสมอไป

แม้ว่าในประวัติศาสตร์ไทย–สหรัฐอเมริกา จะมีความร่วมมือหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การทหาร ความมั่นคง และวัฒนธรรม แต่จดหมายฉบับนี้ก็แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์เหล่านั้นไม่ได้รับการยกขึ้นมาเป็นข้อพิจารณาในนโยบายการค้าปัจจุบันของสหรัฐฯ อีกต่อไป

ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ลงนามสนธิสัญญาทางการค้ากับสหรัฐฯ คือ "สนธิสัญญาไมตรีและพาณิชย์" (Treaty of Amity and Commerce) ซึ่งลงนามเมื่อปี พ.ศ. 2376 (ค.ศ. 1833) ระหว่างสมัยรัชกาลที่ 3 โดยมีนายเอ็ดมันด์ โรเบิร์ตส์ (Edmund Roberts) เป็นทูตสหรัฐฯ ผู้ลงนามฝ่ายอเมริกัน และยังเป็นพันธมิตรในสงครามเย็น สงครามเกาหลี และสงครามเวียดนาม มีฐานทัพอเมริกันในไทยหลายแห่ง และความร่วมมือในด้านข่าวกรองตลอดศตวรรษที่ 20 ซึ่งส่งผลต่อโครงสร้างอำนาจและภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตัวอย่างเช่น ความร่วมมือด้านการทหารภายใต้การฝึกร่วม "Cobra Gold" ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีตั้งแต่ พ.ศ. 2524 ถือเป็นหนึ่งในการฝึกผสมทางทหารที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นสัญลักษณ์ของพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ไทย–สหรัฐฯ ในระดับภูมิภาค นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือในโครงการด้านการข่าวกรอง การต่อต้านยาเสพติด การบรรเทาภัยพิบัติ การรักษาสันติภาพ และความช่วยเหลือด้านสาธารณสุขในพื้นที่ชายแดนตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ดังกล่าวเริ่มลดลงหลังยุคสงครามเย็น โดยเฉพาะในช่วงหลังปี 2001 ที่สหรัฐฯ หันเหความสนใจไปยังตะวันออกกลางและกลุ่มประเทศพันธมิตรใหม่ในอินโดแปซิฟิก การเปลี่ยนผ่านนโยบายจากรัฐบาลสหรัฐฯ หลายชุด ทำให้ไทยถูกจัดลำดับความสำคัญทางยุทธศาสตร์ลดลง จนกระทั่งในรัฐบาลทรัมป์ซึ่งยึดหลัก “America First” อย่างชัดเจน ความสัมพันธ์ไทย–สหรัฐฯ ถูกลดความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ลง และเน้นเพียงผลประโยชน์ทางการค้าเป็นหลัก หากไทยไม่สามารถแสดงบทบาทเชิงเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ ต้องการได้ ก็จะถูกมองเป็นเพียงคู่ค้าทั่วไป มิใช่พันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์อีกต่อไป จดหมายฉบับนี้อาจสะท้อนการจัดวางประเทศไทยใหม่ในแผนที่ยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ว่าเป็น "คู่ค้าทั่วไป" ไม่ใช่ "พันธมิตรยุทธศาสตร์พิเศษ"

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

  1. ภาคส่งออกของไทยเผชิญแรงกดดันมหาศาล โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และสิ่งทอ ที่พึ่งตลาดสหรัฐในสัดส่วนสูง ความผันผวนของต้นทุนภาษีจะทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการวางแผนการผลิตและกระทบห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ

  2. นักลงทุนต่างชาติอาจชะลอการลงทุนในไทย หากมองว่าไทยจะกลายเป็นเป้าของมาตรการกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะนักลงทุนจากประเทศที่เน้นการส่งออกเข้าสหรัฐ ซึ่งอาจหันไปลงทุนในประเทศอื่นที่ได้รับสิทธิพิเศษจากสหรัฐมากกว่า

  3. เกิดการเร่งเจรจา FTA ไทย–สหรัฐ หรือหันไปพึ่งพาตลาดอื่นมากขึ้น เช่น จีน อินเดีย หรือ EU เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งตลาดเดียว ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว และอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในนโยบายภาษี ศุลกากร และความร่วมมือด้านการเงิน

  4. ผลกระทบทางภูมิรัฐศาสตร์ หากไทยตอบโต้ทางการค้า อาจส่งผลต่อความร่วมมือในระดับความมั่นคง เช่น การฝึก Cobra Gold หรือความร่วมมือด้านเทคโนโลยีขั้นสูง ความไม่พอใจของสหรัฐอาจสะท้อนผ่านการลดบทบาทหรือทรัพยากรในโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศ


ทางออกและทางรอดของไทยในฐานะประเทศขนาดกลาง

แม้ประเทศไทยจะไม่สามารถใช้มาตรการตอบโต้เชิงพลังอำนาจแบบเดียวกับมหาอำนาจได้ แต่ก็ยังมีช่องทางในการรักษาผลประโยชน์ของตนเองผ่านกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดและการทูตแบบพหุภาคี ซึ่งอาจรวมถึง:

  1. การกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ (Diversification) – ไทยควรลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐโดยเร่งเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศและกลุ่มเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น สหภาพยุโรป อินเดีย จีน หรือการเข้าร่วมกลุ่ม CPTPP อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อสร้างเครือข่ายการค้าทดแทน

  2. การเสริมสร้างอำนาจต่อรองในเวทีระหว่างประเทศ – ไทยสามารถใช้องค์กรระดับภูมิภาค เช่น ASEAN, APEC และ WTO เป็นเวทีเจรจาร่วมกับประเทศที่มีสถานะใกล้เคียงกันในการต่อต้านนโยบายกีดกันทางการค้าแบบฝ่ายเดียวของสหรัฐ

  3. การเสริมสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศ – การลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น เทคโนโลยีดิจิทัล พลังงานสะอาด และการแพทย์แผนใหม่ จะช่วยลดความเปราะบางจากการพึ่งพาการส่งออกวัตถุดิบหรือสินค้าราคาต่ำ

  4. การใช้การทูตเชิงสมดุล (Hedging Strategy) – ไทยควรสร้างดุลอำนาจระหว่างมหาอำนาจ โดยรักษาความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ในขณะเดียวกันก็เปิดความร่วมมือกับจีน อินเดีย ญี่ปุ่น และ EU อย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยสิ้นเชิง

  5. การสื่อสารกับประชาคมโลกอย่างชัดเจน – ไทยควรแสดงจุดยืนทางเศรษฐกิจที่ยึดหลักความเป็นธรรม การเคารพในกติกาสากล และความโปร่งใส เพื่อเสริมภาพลักษณ์ของประเทศในสายตานักลงทุนและประชาคมโลก


บทสรุป

จดหมายจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งนี้ไม่ใช่แค่การประกาศนโยบายภาษี แต่คือเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ที่แสดงให้โลกเห็นว่าสหรัฐฯ พร้อมจะกดดันแม้กระทั่งพันธมิตรเก่า หากไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตน การใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจเพื่อจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นแนวโน้มที่เด่นชัดในยุคหลังโควิด และท่าทีเช่นนี้อาจกลายเป็นแบบแผนใหม่ของการทูตโลกในศตวรรษที่ 21

สำหรับประเทศไทย นี่คือสัญญาณเตือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในโลกปัจจุบันไม่ได้ยึดโยงด้วยมิตรภาพเสมอไป แต่คือการต่อรองบนเวทีผลประโยชน์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การทูตไทยจึงต้องยืดหยุ่น มีกลยุทธ์รอบด้าน และเตรียมแผนสำรองไว้อย่างรัดกุม หากไม่อยากเป็น “เบี้ย” บนกระดานของมหาอำนาจ การมีพันธมิตรที่หลากหลาย การลดการพึ่งพาตลาดเดียว และการส่งเสริมขีดความสามารถภายในประเทศจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาอธิปไตยทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ในระยะยาว

วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

บันทึกความระยำของจักรวรรดินิยม: ใครยึดใคร ฝากขี้อะไรไว้ แล้วแม่งลอยนวลได้ไง

ในโลกที่เราคิดว่าเจริญแล้ว มี UN มีสิทธิมนุษยชน มีศาลโลก มีรัฐธรรมนูญ… แต่กลับมีบาดแผลเลือดสาดเป็นร่องลึกในหน้าประวัติศาสตร์มนุษย์ ที่แม่งยังไม่ได้รับการเยียวยาเลย เพราะคนที่ทำมัน “ใหญ่เกินจะโดน” …นี่คือรายชื่อประเทศ “เหี้-มีบารมี” ที่ยึดชาติอื่นเป็นอาณานิคม แล้วฝากขี้เอาไว้ให้ชาติเขาแตกแยก พังพินาศ ฆ่ากันเองจนทุกวันนี้ แต่ตัวเองลอยตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


🇧🇪 เบลเยียม – เล็กพริกขี้หนู พลังฆ่าคนเป็นล้าน

❖ ยึด: คองโก, รวันดา, บุรุนดี (แอฟริกากลาง)

❖ ผู้นำตัวเหี้-:

  • King Leopold II (ครองราชย์ 1865–1909): กษัตริย์เบลเยียมผู้ยึด "Congo Free State" เป็นทรัพย์สินส่วนตัว ฆ่าคนไปกว่า 10 ล้าน สร้างระบบกดขี่แรงงานด้วยการตัดแขนเด็ก-ผู้ใหญ่ที่เก็บยางไม่ครบ ติดสินบนหมู่บ้านผ่านการจับตัวผู้หญิงเป็นตัวประกัน ข่มขืนเด็ก ใช้กองกำลัง Force Publique รีดแรงงานท้องถิ่นแบบไร้มนุษยธรรม

  • หลัง Leopold ตาย รัฐเบลเยียมรับเอาคองโกมาเป็นอาณานิคม แต่ยังคงโครงสร้างกดขี่แบบเดิมไว้จนถึงการปลดปล่อยในปี 1960

  • ในรวันดาและบุรุนดี ช่วงตกเป็นอาณานิคมเบลเยียม (1919–1962): ใช้ระบบวัดกระดูกหน้าผาก จมูก ความสูง เพื่อแบ่งว่าใครเป็นทุตซี ใครเป็นฮูตู สร้างบัตรประชาชนที่ฝังเชื้อชาติลงไปอย่างเป็นระบบในปี 1933 เพื่อวางกลไกให้เกิดชนชั้นแบบฝังลึก

❖ ของฝาก:

  • ระบบบัตรประจำตัวประชาชนที่ระบุเผ่าแบบไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

  • ทุตซีถูกยกให้เป็นชนชั้นนำ ฮูตูถูกกดไว้ข้างล่าง → สะสมความแค้น

  • พอรวันดาได้เอกราช → ฮูตูล้างแค้น → ระเบิดเป็น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ปี 1994 ตายกว่า 800,000 คนใน 100 วัน

❖ ลอยนวลยังไง:

  • ไม่มีการไต่สวน King Leopold II ทั้งที่หลักฐานโหดเหี้-ชัดเจน

  • ปี 2020 กษัตริย์ Philippe แค่เขียนจดหมาย "เสียใจ" ส่งให้ผู้นำคองโก ไม่ได้กล่าวคำขอโทษ ไม่ได้เสนอชดเชย ไม่ได้รับโทษแม้แต่นิดเดียว

  • รัฐบาลเบลเยียมยังไม่ยอมรับเต็มที่ว่าการกระทำในคองโกเป็น “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” หรือ “อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ”


🇬🇧 อังกฤษ – ผู้ดีหัวทอง…แต่เหี้-ทั่วโลก

❖ ยึด: อินเดีย, ปากีสถาน, บังคลาเทศ, พม่า, มาเลเซีย, ไนจีเรีย, เคนยา, อียิปต์, ฮ่องกง, ซูดาน, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, ฯลฯ

❖ ผู้นำ/ผู้รับผิดชอบช่วงเหี้-:

  • Robert Clive: ผู้บุกเบิกการยึดอินเดียให้ British East India Company ตั้งแต่ปี 1757 (Battle of Plassey) → วางระบบรีดภาษี-ปล้นทรัพยากร → ทำให้อินเดียกลายเป็นแหล่งดูดทอง-ฝ้าย-ข้าวที่อังกฤษใช้สะสมทุนปฏิวัติอุตสาหกรรม

  • Winston Churchill (นายกฯ อังกฤษช่วง WWII): ปล่อยให้เกิด Great Bengal Famine ปี 1943 โดยปฏิเสธการส่งข้าวช่วยคนอินเดีย → มีการสั่งเบนเสบียงไปให้กองทัพอังกฤษแทน → ชาวบ้านตายกว่า 3 ล้านคน → Churchill ตอบว่า "มันก็เป็นความผิดของพวกมันเองที่ขยายพันธุ์มากเกินไป"

❖ ความเหี้-:

  • ปล้นทรัพยากรอินเดียจน GDP จากเคยมีสัดส่วน 24% ของโลก เหลือไม่ถึง 4% เมื่ออังกฤษถอนตัว

  • ยัดระบบเจ้าขุนมูลนายแบบอังกฤษเข้าไปทั่วโลก ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำใหม่แทนระบอบดั้งเดิม

  • ก่อ สงครามฝิ่น กับจีน (Opium Wars) เพื่อเปิดตลาดบังคับให้จีนรับฝิ่นจากอังกฤษ

  • ใช้แรงงานทาสอินเดีย/แอฟริกันส่งออกไปยังประเทศอื่น เช่น คาริบเบียน มาเลย์ แอฟริกาใต้

  • ฆ่าล้างและไล่ล่าเผ่าพื้นเมืองในออสเตรเลีย (Aboriginals) และนิวซีแลนด์ (Maori)

❖ ของฝาก:

  • ความเกลียดชังทางศาสนาในอินเดีย–ปากีสถานจากการแบ่งแยกแบบไม่มีแผน

  • ระบอบการปกครองที่ฝังความเหลื่อมล้ำจนกลายเป็นโครงสร้างถาวร

❖ ลอยนวลยังไง:

  • ราชวงศ์อังกฤษสร้างภาพ soft power ด้วยความหรูหราและพิธีกรรมแบบ "ไม่มีพิษภัย"

  • ไม่เคยจ่ายค่าชดเชยแก่ชาติอาณานิคมใดๆ

  • ปั้นภาพประเทศผู้ปกครองด้วยระบอบรัฐธรรมนูญเสรี จนกลบประวัติเหี้-พังพินาศไว้ได้หมด


🇫🇷 ฝรั่งเศส – เสรีภาพภราดรภาพ…แต่กับพวกกูเท่านั้น

❖ ยึด: เวียดนาม, ลาว, กัมพูชา (อินโดจีน), แอลจีเรีย, ตูนิเซีย, โมร็อกโก, มาลี, เซเนกัล, กินี, ฯลฯ

❖ ผู้นำเหี้-:

  • Napoleon III: เริ่มล่าอินโดจีน

  • Paul Doumer: ข้าหลวงใหญ่ในอินโดจีน วางโครงสร้างรีดภาษี-แรงงานจากเวียดนาม

  • Charles de Gaulle: ผู้นำฝรั่งเศสที่ปฏิเสธการปล่อยแอลจีเรีย → ส่งทหารเข้าปราบปรามด้วยความโหดเหี้-

❖ ความเหี้-:

  • ใช้ระบบการศึกษาแบบฝรั่งเศสบังคับให้ชาวพื้นเมือง "ทิ้งวัฒนธรรมตัวเอง"

  • ฝังแนวคิดว่าฝรั่งเศสคือ "ความศิวิไลซ์" ส่วนพวกอาณานิคมคือ "คนป่า"

  • ปราบปรามการลุกฮือในแอลจีเรียอย่างโหดเหี้- ปี 1954–1962 ตายกว่าครึ่งล้าน

  • ทดสอบนิวเคลียร์ในหมู่เกาะ French Polynesia โดยไม่บอกชาวบ้าน → คนป่วย-ลูกพิการ

❖ ของฝาก:

  • เขมรถูกปกครองแบบไร้การเตรียมพร้อม → พอฝรั่งเศสถอนตัว เกิดสุญญากาศ จน Pol Pot ก้าวขึ้นมาฆ่าล้างชาติเอง

  • ความตึงเครียดด้านเชื้อชาติในฝรั่งเศสปัจจุบัน เช่น ปัญหาแอลจีเรีย

❖ ลอยนวลยังไง:

  • ไม่มีศาลโลกหรือการชดใช้

  • มักใช้วาทกรรม "เสรีภาพ" กลบความโหดที่เคยทำ

  • ไม่เคยสอนประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสในเวอร์ชันที่เป็นเหี้-แก่ประชาชนฝรั่งเศสเอง


🇯🇵 ญี่ปุ่น – นักล่าอาณานิคมสายเอเชีย

❖ ยึด: เกาหลี, ไต้หวัน, จีนตะวันออก, ฟิลิปปินส์, พม่า, อินโดนีเซีย, มาเลย์, ฯลฯ

❖ ตัวละครเหี้-:

  • Emperor Hirohito: กษัตริย์ญี่ปุ่นช่วง WWII แม้จะไม่สั่งตรง แต่มีอำนาจเหนือรัฐบาล

  • Hideki Tojo: นายกฯญี่ปุ่นในสงครามโลกที่ 2 สั่งบุกจีน ฟิลิปปินส์ อินโดฯ พม่า

  • Shiro Ishii: ผอ.หน่วย 731 ผู้ทดลองจับมนุษย์จีน รัสเซีย เกาหลีมาผ่าตัดไม่วางยา ปล่อยให้ติดเชื้อ-แข็งตาย มีบันทึกผลวิจัยอย่างเป็นระบบ

❖ ความเหี้-:

  • ลักพาตัวผู้หญิงจากเกาหลี–จีนไปเป็น Comfort Women ประจำค่ายทหาร

  • ฆ่าล้างหมู่ Nanjing ปี 1937 ฆ่าประชาชนจีนกว่า 300,000 คน

  • หน่วย 731 ทดลองกับมนุษย์แบบซาดิสม์

  • ฆ่าล้างหมู่ในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระหว่างยึดครอง

❖ ของฝาก:

  • รอยร้าวทางจิตวิญญาณในเกาหลีและจีน

  • ญี่ปุ่นยังมีนักการเมืองปฏิเสธความผิดแบบออกสื่ออยู่ทุกปี

❖ ลอยนวลยังไง:

  • สหรัฐกัน Hirohito ไม่ให้ถูกดำเนินคดี เพื่อให้ญี่ปุ่นไม่ล่มหลังสงคราม

  • ขอโทษแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่ชัดเจน ไม่จ่ายชดเชยโดยตรง

  • ญี่ปุ่นยังไม่ยอมลงนามยอมรับเขตอำนาจ ICC


🇺🇸 สหรัฐอเมริกา – ไม่เรียกตัวเองว่า “อาณานิคม” แต่แม่งเหมือนที่สุด

❖ ยึดอิทธิพล: ลาตินอเมริกา, ฟิลิปปินส์, เกาหลีใต้, อิรัก, อัฟกานิสถาน, เวียดนาม, ไทย (บางช่วง), ฯลฯ

❖ ตัวแสบ:

  • Theodore Roosevelt: นโยบาย Big Stick → บุกปานามา สร้างคลองเองแม่งเลย

  • Dwight Eisenhower: อนุมัติ CIA ล้มรัฐบาลอิหร่าน (1953) กับกัวเตมาลา (1954)

  • Richard Nixon: สนับสนุนเผด็จการ Pinochet หลังโค่นรัฐบาลประชาธิปไตยของชิลี

  • George W. Bush: บุกอิรักปี 2003 อ้างเรื่องอาวุธชีวภาพ → ไม่มีจริง

❖ ความเหี้-:

  • สนับสนุนรัฐประหารที่ตรงผลประโยชน์ตะวันตก

  • ลอบสังหารผู้นำฝ่ายซ้ายทั่วโลก

  • ปล่อยข่าวปลอม ปั่นความขัดแย้งภายในประเทศเป้าหมาย

  • ยึดทรัพยากรผ่านการครอบงำเศรษฐกิจ-เทคโนโลยี

❖ ของฝาก:

  • ประเทศอย่างอิรัก-ลิเบีย-อัฟกานิสถานพังยับหลังสหรัฐบุก “เพื่อประชาธิปไตย”

  • ผู้นำเผด็จการหลายรายได้ขึ้นสู่อำนาจเพราะอเมริกา เช่น สุฮาร์โต (อินโดนีเซีย)

❖ ลอยนวลยังไง:

  • เป็นผู้ชนะสงครามโลก → คุมระบบ UN และ Bretton Woods System

  • คุมค่าเงินโลก (USD), คุมเทคโนโลยี, คุมโซเชียลมีเดีย

  • ไม่ยอมลงนามรับเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) = ฟ้องไม่ได้

  • ใครค้าน → โดนคว่ำบาตร / ป้ายสีเป็นศัตรูประชาธิปไตย




🇵🇹 โปรตุเกส – ล่าโลกตั้งแต่ยังไม่มีแผนที่

❖ ยึด: บราซิล, โมซัมบิก, แองโกลา, กัว (อินเดีย), ติมอร์ตะวันออก, มาเก๊า

❖ ความเหี้-:

  • ค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกยุคต้น (ศตวรรษที่ 15–16)

  • บังคับขนแรงงานจากแอฟริกาไปบราซิลโดยเรือขนคนแบบทาส

  • ใช้แรงงานทาสในไร่อ้อย กาแฟ เหมือนวัวควาย

  • ล้างเผ่าพื้นเมืองบราซิลเพื่อยึดดินแดน

  • เปลี่ยนศาสนา-วัฒนธรรมท้องถิ่นในอินเดีย (Goa Inquisition)

❖ ของฝาก:

  • บราซิลมีโครงสร้างเชื้อชาติ–ชนชั้นฝังลึกมาจากยุคนี้

  • ติมอร์ตะวันออกกลายเป็นรัฐไร้เสถียรภาพหลังโปรตุเกสถอนตัว

  • แอฟริกาตะวันออกเฉียงใต้ยังมีความปั่นป่วนภายหลังการถอนตัวของโปรตุเกส


🇳🇱 เนเธอร์แลนด์ (ดัตช์) – เล็กแต่ลึก

❖ ยึด: อินโดนีเซีย, ซูรินาเม, แอฟริกาใต้ (ยุคต้น), แคริบเบียน (Aruba, Curaçao, ฯลฯ)

❖ ความเหี้-:

  • บังคับปลูกเครื่องเทศในชวาและหมู่เกาะโมลุกกะ โดยใช้แรงงานบังคับ

  • ฆ่าประชาชนอินโดนีเซียที่ลุกฮือหลายแสน โดยเฉพาะปี 1945–1949

  • สร้างโครงสร้างสังคมแบ่งเชื้อชาติ (ดัตช์–จีน–พื้นเมือง) เพื่อควบคุม

  • ใช้การศึกษา-ศาสนาเปลี่ยนความคิดประชากร

  • ในซูรินาเม ใช้แรงงานผสมหลายชาติพันธุ์แบบไม่ให้สิทธิ์อะไรเลย

❖ ของฝาก:

  • อินโดนีเซียมีชนกลุ่มน้อยหลายเชื้อชาติปะปนและแตกแยกทางอำนาจ

  • ระบบชนชั้นผิว/วรรณะในซูรินาเมและแคริบเบียนยังฝังอยู่จนทุกวันนี้


🇪🇸 สเปน – ฆ่าผืนทวีปทั้งอัน

❖ ยึด: อเมริกาใต้เกือบทั้งหมด, เม็กซิโก, ฟิลิปปินส์, คิวบา, เปอร์โตริโก

❖ ความเหี้-:

  • ส่งกองเรือ Conquistador เช่น Hernán Cortés และ Francisco Pizarro
    → ฆ่า/กวาดล้างอารยธรรม Aztec, Maya, Inca

  • ข่มขืน, ทรมาน, กดขี่, เผาเมือง, บังคับเปลี่ยนศาสนา

  • สร้างระบบ Encomienda: ให้คนขาวสิทธิ์ครอบครองแรงงานพื้นเมืองได้เหมือนทรัพย์สิน

  • ส่งบาทหลวงสเปนมา “ล้างบาป” ด้วยดาบ

❖ ของฝาก:

  • ละตินอเมริกาเปลี่ยนเป็นระบบราชวงศ์-ศาสนาแบบสเปน

  • สังคมแบบ “ผิวขาวปกครอง ผิวเข้มทำงาน”

  • ปัญหา land ownership แบบ feudalist ที่ฝังลึกจนถึงศตวรรษ 21


🇮🇹 อิตาลี – สายเถื่อนยุคปลาย

❖ ยึด: ลิเบีย, เอริเทรีย, เอธิโอเปีย, โซมาเลีย

❖ ความเหี้-:

  • Benito Mussolini สั่งบุกเอธิโอเปียปี 1935
    → ใช้อาวุธเคมีใส่ประชาชน (มัสตาร์ดแก๊ส)

  • ทำลายชุมชน, พิพิธภัณฑ์, มรดกทางวัฒนธรรม

  • จับคนเอธิโอเปียเข้าค่ายกักกัน

  • ไล่ฆ่าเผ่าพื้นเมืองหลายกลุ่ม เช่น Oromo, Tigray

❖ ของฝาก:

  • เอธิโอเปีย–โซมาเลีย–ลิเบีย ไม่เคยฟื้นจากสงครามเชิงโครงสร้าง

  • รัฐไร้ศูนย์กลางอำนาจจนกลายเป็นประเทศล้มเหลว (failed states)


✴️ อิสราเอล – อาณานิคมยุคใหม่ภายใต้โลโก้ “รัฐ”

❖ ยึด: ปาเลสไตน์ (West Bank, Gaza, East Jerusalem)

❖ ความเหี้-:

  • สถาปนารัฐบนดินแดนของผู้อื่นในปี 1948 (Nakba = วันหายนะของชาวปาเลสไตน์)

  • ขับไล่ประชาชน 700,000+ คนออกจากบ้านเกิด

  • สร้างนิคมชาวยิวกลางดินแดนปาเลสไตน์อย่างผิดกฎหมายสากล

  • สังหาร, คุมขัง, จำกัดเสรีภาพ, ล้อมรอบดินแดนปาเลสไตน์ไว้แบบค่ายกักกัน

  • ทำลายโรงเรียน, โรงพยาบาล, ระบบสาธารณูปโภค

❖ ของฝาก:

  • คนรุ่นใหม่ของทั้งสองฝั่งเติบโตกับความเกลียดและการสังหาร

  • ความชอบธรรมทางกฎหมายสากลพังยับ

  • ความยุติธรรมกลายเป็นของเล่นมหาอำนาจ


✴️ รัสเซีย – จักรวรรดิยุคใหม่แบบปากบอก “ต้านจักรวรรดิ”

❖ ยึด: ไครเมีย, ดอนบาส, เชชเนีย, จอร์เจียบางส่วน, ล้มชาติรอบโซเวียต

❖ ความเหี้-:

  • ยึดไครเมียในปี 2014 โดยไม่ผ่านความเห็นชอบของยูเครน

  • บุกยูเครนเต็มรูปแบบในปี 2022 → ยิงมิสไซล์ใส่เมือง, รร., โรงพยาบาล

  • ใช้ Wagner Group ก่ออาชญากรรมในแอฟริกา, ตะวันออกกลาง

  • กดขี่ชนกลุ่มน้อยในไซบีเรีย, คอเคซัส

  • ใช้สงครามข่าวสาร (propaganda) ครอบงำภายในและภายนอกประเทศ

❖ ของฝาก:

  • ยูเครนพังยับ ชาติอดีตโซเวียตไม่มีเสถียรภาพ

  • สงครามเย็นกลับมาในโลกยุคใหม่


🔚 สรุป: โลกนี้แม่งไม่ยุติธรรมตั้งแต่แม่งตั้งโต๊ะ

  • มหาอำนาจตั้งกฎเอง แล้วถือสิทธิยกเว้นให้ตัวเอง

  • คนเล็ก ๆ ชาติเล็ก ๆ ต้องเล่นอยู่ในเกมที่ถูกโกงตั้งแต่ต้น

  • แต่การ “รู้ทัน” คือด่านแรกของการไม่ตกเป็นเหยื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ถ้ามึงยังหลงคิดว่า “ประวัติศาสตร์มันผ่านไปแล้ว อย่ารื้อ” ก็เท่ากับยอมให้ไอ้พวกที่ฝากขี้ไว้ ยังคงเดินสวย ๆ อยู่บนเวทีโลก โดยไม่มีใครถามว่า… "ไอ้เหี้- นี่มันฆ่าคนไว้กี่ล้าน?"

โลกนี้แม่งยังต้องการความจริงอยู่มากกว่าที่คิด และคนที่จะกล้าขุดมันขึ้นมา ก็คือพวกมึงนี่แหละ

 

วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ชีวิตที่โลกไม่เคยอ่อนโยนให้: บันทึกถึง Nagiko Tono


『老けたなー…』 | 遠野なぎこオフィシャルブログ「Nagiko Tono Official Blog」Powered by Ameba     Tono Nagiko (遠野なぎこ) 1979-, Japanese Actress, 遠野凪子 | 遠野, 女優, 大 女優

"ฉันอยากหายดี ฉันอยากรักตัวเองให้ได้สักที" – Nagiko Tono


บทนำ

ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2025 สื่อญี่ปุ่นรายงานว่าเจ้าหน้าที่พบศพหญิงไม่ทราบชื่อในห้องพักแห่งหนึ่งที่โตเกียว — ไม่มีร่องรอยการงัดแงะ ประตูล็อกจากด้านใน โทรทัศน์ยังเปิดอยู่ มือถือวางข้างตัว และร่างเริ่มเน่าเปื่อยแล้วหลายวัน ก่อนที่ภายหลังจะมีการยืนยันว่า ห้องนั้นเป็นของนักแสดงหญิงผู้เคยโลดแล่นในวงการบันเทิงญี่ปุ่น — Nagiko Tono หรือชื่อจริง Akimi Aoki (青木秋美)

เธอจากไปเพียงลำพัง... ไม่มีครอบครัว ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรัก ไม่มีใครเลย

และนี่คือเรื่องราวของเธอ — ผู้หญิงคนหนึ่งที่โลกไม่เคยให้โอกาสได้ยืนอย่างมั่นคง


วัยเด็กที่ขาดรัก

Nagiko เกิดเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 1979 ในจังหวัดคานางาวะ ประเทศญี่ปุ่น
เธอเติบโตมาในครอบครัวที่แตกแยก พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่ยังเด็ก

แม่ของเธอเป็นคนทะเยอทะยานสูง อยากให้ลูกสาวเข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่วัยเยาว์
เธอถูกบังคับให้เรียนการแสดง ถ่ายแบบ และเข้าฉากตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าใจว่า “ความเป็นเด็ก” คืออะไร

เธอเคยพูดว่า “ฉันไม่เคยรู้ว่าความรักในครอบครัวหน้าตาเป็นยังไง”

และมันก็เป็นจุดเริ่มต้นของความว่างเปล่าที่เธอต้องพกพาไปตลอดชีวิต


ชีวิตในวงการ: แสงสว่างจอมปลอม

เธอเริ่มมีชื่อเสียงจากการเล่นละครและภาพยนตร์หลายเรื่องในช่วงทศวรรษ 1990–2000 เช่น Night Head, The Sea Watches, และ Chojin Sentai Jetman

แต่ในขณะที่ผู้ชมเห็นเด็กสาวสวยที่กำลังรุ่งโรจน์
ตัวเธอกลับซ่อนบาดแผลลึกเอาไว้ใต้เครื่องสำอางและรอยยิ้มที่ถูกฝึกมาอย่างดี

โลกเบื้องหลังกล้องไม่ได้มีแสงไฟ มีแต่เสียงกดดัน ความคาดหวัง และความเหงา


ความป่วยไข้ที่ไม่เคยหาย

ตั้งแต่อายุ 15 ปี เธอเริ่มป่วยเป็น โรคกินผิดปกติ (Eating Disorder)
ทั้งแบบ Anorexia (อดอาหาร) และ Bulimia (กินแล้วอาเจียน)

เธอเคยเขียนหนังสือชื่อ “欲しくて、食べて、吐いて、死にたくて。” – “อยากกิน กิน อาเจียน และอยากตาย”

ต่อมามีภาวะ โรคซึมเศร้า, OCD (ย้ำคิดย้ำทำ) และ การพึ่งพาแอลกอฮอล์ เข้ามาแทรกซ้อน

เธอนอนไม่หลับเป็นประจำ มีอาการพฤติกรรมซ้ำซาก เช่น ตรวจประตูซ้ำ ตรวจเตาแก๊สซ้ำจนกว่าจะรู้สึก “ปลอดภัย” และยังเคยพยายามทำร้ายตัวเองหลายครั้ง


ความรักที่ขาดแคลน

เธอเคยพยายามแต่งงานถึง 3 ครั้ง:

  • 2009: กับพนักงานบริษัท เลิกภายใน 72 วัน

  • 2014: กับเจ้าของบาร์ เลิกใน 55 วัน

  • 2023: แต่งงาน 13 วันก่อนหย่า

เธอแต่งเพราะอยากมีใครสักคน อยากมีที่ให้เรียกว่า “บ้าน” หรือ “ของฉัน”
แต่ทุกครั้งจบลงด้วยความกลัว ความไม่มั่นใจ และความเปราะบางที่ควบคุมไม่ได้

“ฉันอยากมีความรัก แต่ไม่เคยรู้เลยว่ารักคืออะไร”

“กลัวความเหงา แต่กลัวมากกว่าที่จะต้องอยู่กับใครแล้วรู้สึกว่ายังโดดเดี่ยว”


ความพยายามที่จะอยู่

ถึงจะเจ็บ เธอก็ไม่เคยยอมแพ้ง่าย ๆ

เธอพยายามเขียนหนังสือ เล่าเรื่องบาดแผลของตัวเอง เพื่อหวังว่าใครสักคนที่เจ็บอยู่เหมือนกัน จะรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว

เธอเริ่มรับการรักษาอย่างจริงจังในปี 2024–2025 เข้ารับการดูแลแบบเยี่ยมบ้าน (訪問看護) กินยาตามแพทย์สั่ง เริ่มปรับอาหาร พยายามเพิ่มน้ำหนัก

และเพียงไม่กี่วันก่อนหายไปจากโลก เธอเพิ่งเขียนว่า “ฉันอยากรักตัวเองให้ได้”

มันคือเสียงสุดท้ายของความหวัง…


การจากไปที่เงียบงัน

เธอเสียชีวิตลำพังในห้องพักของตัวเอง ไม่มีใครสังเกต ไม่มีใครโทรหา ไม่มีใครไปเยี่ยมจนร่างเริ่มเน่า

ทีวียังเปิดอยู่ โทรศัพท์ยังวางข้างตัว — เหมือนเธอกำลังรอฟังอะไรบางอย่างที่ไม่เคยมา

คนที่พบศพคือ “พยาบาลเยี่ยมบ้าน” ที่เริ่มทำงานกับเธอได้ไม่ถึงเดือน


โลกนี้ไม่เคยใจดีกับเธอเลย

เธอไม่ได้เลือกเกิด
เธอไม่ได้เลือกแม่ที่ใช้เธอเป็นเครื่องมือ
เธอไม่ได้เลือกวงการที่กดดันให้ต้องเข้มแข็งเกินวัย
เธอไม่ได้เลือกความเปราะบางในใจที่ไม่มีใครมองเห็น

แต่เธอก็ยังอยู่มาได้ถึงอายุ 45
แม้จะโดดเดี่ยวตลอดทาง

บางคนจากไปแล้วก็ลืมเลือน
แต่บางคนอย่างเธอ — ควรถูกจดจำ…

ในฐานะคนที่พยายามจะรักตัวเองในโลกที่ไม่เคยรักเธอเลยสักวัน

วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

จักรวาลในมุมพุทธและฟิสิกส์: เมื่อกัปป์หนึ่งคือการเต้นของจักรวาลทั้งใบ

จักรวาลอันกว้างใหญ่เกินกว่าที่มนุษย์จะจินตนาการได้นี้ ไม่ได้เป็นเพียงสนามของดวงดาวและพลังงานในมุมมองทางฟิสิกส์เท่านั้น หากยังเป็นเวทีอันลึกล้ำของความหมายทางจิตวิญญาณด้วย ในพุทธศาสนา คำว่า "กัปป์" (หรือ กัลป์) ไม่ได้หมายถึงช่วงเวลาที่ยาวนานเพียงอย่างเดียว หากแต่หมายถึงวัฏจักรของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของจักรวาลทั้งระบบ

ในบทความนี้ เราจะพาผู้อ่านดำดิ่งสู่ความเข้าใจเปรียบเทียบระหว่างแนวคิดจักรวาลในพุทธศาสนา กับจักรวาลตามหลักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งอาจพบว่า แม้ทั้งสองฝ่ายจะพูดด้วยภาษาต่างกัน แต่อาจสะท้อนบางอย่างร่วมกันอย่างคาดไม่ถึง


กัปป์: เวลาแห่งจักรวาลพ้นเสี้ยว

"กัปป์" คือหน่วยเวลาที่ยาวนานจนพระไตรปิฎกต้องใช้การเปรียบเปรย เช่น หากมีภูเขาหินลูกบาศก์ขนาดหนึ่งโยชน์ (ราว 16 กิโลเมตร) แล้วมีคนมาปัดด้วยผ้าขาวบาง ๆ ทุก 100 ปี กว่าจะกร่อนหมดนั้นยังเร็วกว่าเวลาหนึ่งกัปป์เสียอีก

ในทางพุทธศาสนา กัปป์หนึ่งคือหนึ่งวัฏจักรของ "โลกธาตุ" ที่หมายถึงจักรวาลชุดหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้น ดำรงอยู่ แล้วล่มสลาย ก่อนที่จะเกิดใหม่ในวัฏจักรถัดไป สรรพสัตว์ทั้งหลายก็เวียนว่ายอยู่ในกัปป์นั้นตามกรรมและภพภูมิของตน

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ใช่ทุกกัปป์จะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น มีเพียงบางกัปป์เท่านั้นที่โลกและสัตว์ทั้งหลายมีวาสนาพอที่จะมีธรรมปรากฏขึ้น ดังนั้น กัปป์หนึ่งจึงไม่ได้เป็นเพียงหน่วยเวลา แต่คือสภาวะหนึ่งของโลกธาตุทั้งใบ

“ในกัปป์หนึ่ง ๆ บางครั้งโลกว่างเปล่าจากพระพุทธเจ้า… ไม่มีผู้รู้ ไม่มีผู้ชี้ทาง ไม่มีธรรม ไม่มีการตรัสรู้”
— พระไตรปิฎก อังคุตตรนิกาย

กัปป์เช่นนี้เรียกว่า สุญญกัปป์ หรือ กัปป์ว่าง – คือจักรวาลที่ไม่มีแสงแห่งธรรม ไม่มีเสียงของโพธิ ไม่มีการตื่นของจิต มีเพียงวัฏสงสารที่หมุนไปเรื่อย ๆ อย่างไร้ทิศทาง


จักรวาลในพุทธ: ไม่ใช่แค่ดาวเคราะห์ แต่คือระบบของการเวียนว่าย

จักรวาลในพุทธศาสนาไม่ได้ถูกนิยามด้วยกิโลเมตรหรือปีแสง แต่ใช้กรอบคิดของ "สหัสสโลกจักรวาล" ซึ่งหมายถึงจักรวาลที่มี "พันของพันของพันโลก" (1,000^3 = 1,000,000,000 โลก) โดยแต่ละโลกจักรจะมีเขาพระสุเมรุ ทวีปทั้งสี่ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และระบบชีวิตของตนเอง

แนวคิดนี้ในอดีตอาจดูเหมือนเทพนิยาย แต่ในปัจจุบันกลับชวนให้ตีความใกล้เคียงกับแนวคิด "Multiverse" หรือจักรวาลคู่ขนานในฟิสิกส์ ที่มีโลกหลายชุดดำรงอยู่อย่างอิสระ มีกฎของตนเอง และมีการเกิดดับเฉพาะของแต่ละชุด

คำว่า "โลก" ในพุทธศาสนาไม่ได้หมายถึงโลกมนุษย์เพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงภพภูมิอื่น ๆ เช่น เทวโลก พรหมโลก นรก เปรต อสูร ฯลฯ ซึ่งสามารถแปลความหมายให้ตรงกับคำว่า "มิติของการดำรงอยู่" ในเชิงปรัชญาวิทยาศาสตร์ได้เช่นกัน


จักรวาลในฟิสิกส์: ใหญ่ ยืดหยุ่น และยังไม่รู้จบ

เพื่อให้เห็นภาพว่าจักรวาลใหญ่เพียงใด ลองเปรียบเทียบดังนี้:

  • โลกของเรา มีเส้นผ่านศูนย์กลาง ~12,742 กิโลเมตร

  • ดวงอาทิตย์ ใหญ่กว่าโลก ~109 เท่า

  • ระบบสุริยะ มีเส้นผ่านศูนย์กลาง ~287.46 พันล้านกิโลเมตร

  • ทางช้างเผือก (Milky Way) มีเส้นผ่านศูนย์กลาง ~100,000 ปีแสง (~946 ล้านล้านกิโลเมตร)

  • แสง ใช้เวลา 100,000 ปีในการเดินทางข้ามทางช้างเผือก

  • จักรวาลที่เราสังเกตได้ มีรัศมี ~46.5 พันล้านปีแสง และเส้นผ่านศูนย์กลาง ~93 พันล้านปีแสง

ถ้าเปรียบโลกเป็นเม็ดทราย ทางช้างเผือกคือสนามฟุตบอล และจักรวาลที่มองเห็นได้จะใหญ่เท่าทั้งทวีปเอเชีย

และที่น่าขนลุกคือ... จักรวาลขนาด 93 พันล้านปีแสงนั้น เป็นเพียง "ส่วนที่เรามองเห็นได้" เท่านั้น — ยังไม่รวมส่วนที่อาจไม่มีวันเข้าถึง เพราะการขยายตัวของเอกภพนั้นเร็วกว่าความเร็วของแสงในบางกรณี

จักรวาลในฟิสิกส์ ไม่เพียงใหญ่ แต่ยังไม่มีขอบ ไม่มีศูนย์กลาง และไม่มีทิศทางในความหมายแบบสามัญด้วย

จักรวาลนี้อาจมีจุดจบ เช่น:

  • Big Freeze: ขยายตัวจนพลังงานหมด → ทุกอย่างเย็นตาย

  • Big Crunch: ยุบตัวกลับ → กลายเป็นจุดเล็กอีกครั้ง

  • Big Bounce: วัฏจักรเกิด-ดับ-เกิดใหม่ (ใกล้เคียงกับกัปป์)

  • Heat Death: พลังงานกระจายเท่า ๆ กัน ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป

บางทฤษฎีเสนอว่า จักรวาลของเราเป็นเพียงฟองหนึ่งในมหาสมุทรแห่งจักรวาลที่มากกว่าหนึ่ง (Multiverse) และบางฟองอาจมีกฎฟิสิกส์ต่างจากเราทั้งหมด


ความเหมือนที่ไม่นัดหมาย: พุทธกับฟิสิกส์มองจักรวาลเป็นวัฏจักร

ประเด็น พุทธศาสนา ฟิสิกส์สมัยใหม่
หน่วยเวลาใหญ่สุด กัปป์ ชีวิตของจักรวาล (13.8 พันล้านปี หรือเป็นวัฏจักร)
จักรวาลคืออะไร สหัสสโลกจักรวาล (พันล้านโลก) Observable Universe / Multiverse
จักรวาลเกิดดับไหม ใช่ – โลกธาตุเกิด-ดับ ใช่ – Big Bang → Big Freeze / Crunch / Bounce
จักรวาลมีหลายชุดไหม มี: โลกธาตุนับไม่ถ้วน มี: Multiverse
สิ่งมีชีวิตในจักรวาลอื่น มี: ภพภูมินับไม่ถ้วน อาจมี: ความเป็นไปได้สูงจาก exoplanet, สถิติ
เป้าหมายสูงสุด พ้นจากสังสารวัฏ (นิพพาน) เข้าใจโครงสร้างเอกภพ, ไม่มีเป้าหมายทางจิตวิญญาณ
จักรวาลสิ้นสุดอย่างไร ไฟวินาศ น้ำวินาศ ลมวินาศ → เกิดใหม่ Big Freeze / Heat Death / Big Crunch
สัจธรรมที่เหมือนกัน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา Entropy, ความไม่คงตัว, ความเปลี่ยนแปลงถาวร

และเราอยู่ตรงไหนในทั้งหมดนี้?

มนุษย์อาจเป็นเพียงฝุ่นผงในจักรวาลที่หมุนวนตามกฎของธรรมชาติอย่างไม่หยุดนิ่ง แต่เราคือ "ฝุ่น" ที่ตั้งคำถามกับฟ้า

เรามีความสามารถในการสงสัย มองหา และตื่นรู้
เราคือชีวิตที่ถามว่า “อะไรคือทางกลับบ้าน?”

ในทางพุทธ — เรากำลังเวียนว่ายในกัปป์นี้ ยังไม่หลุดพ้นจากสังสารวัฏ
ในทางวิทยาศาสตร์ — เราเพิ่งเริ่มเข้าใจว่า จักรวาลมีมากกว่าที่เราคิดหลายล้านเท่า

แต่ทั้งสองฝั่งดูจะพูดตรงกันว่า:

ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป — แม้แต่จักรวาลเอง


สุดท้าย

หากเราคิดว่าเรายิ่งใหญ่เพียงเพราะมีเทคโนโลยีหรืออารยธรรม เราอาจลืมไปว่า เรายังไม่เคยออกจากกาแล็กซีของตัวเองด้วยซ้ำ

และหากกัปป์หนึ่ง คือการเต้นของจักรวาลทั้งใบ
สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด… อาจไม่ใช่การไปไกลแค่ไหน
แต่คือการรู้ว่าอะไร “ควรค่าแก่การกลับมา”

บางที หน้าที่ของสิ่งมีชีวิตอันแสนเล็กในจักรวาลนี้…
อาจไม่ใช่การเดินทางให้ไกลที่สุด
แต่อาจเป็นเพียงการเงยหน้าขึ้นมอง และตั้งคำถามว่า —
เราควรใช้ชีวิตให้มีความหมาย…ในวัฏจักรที่ไม่สิ้นสุดนี้อย่างไร?

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ศาลรัฐธรรมนูญสั่ง "แพทองธาร" หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี: ผลกระทบที่มากกว่าการเมือง

วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติสำคัญที่ส่งแรงสั่นสะเทือนทั้งในทางการเมืองและการบริหารประเทศ เมื่อมีคำสั่งให้ "นางสาวแพทองธาร ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว หลังจากรับคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา 36 คน ที่ขอให้ตรวจสอบกรณีคลิปเสียงการสนทนากับ "สมเด็จฮุน เซน" ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งอาจเข้าข่ายขัดคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ

บทความนี้จะพาผู้อ่านไปทำความเข้าใจทั้งที่มาของคำสั่งศาล และผลกระทบเชิงลึกต่อการบริหารราชการแผ่นดิน รวมถึงความเชื่อมั่นทางการเมือง เศรษฐกิจ และโครงสร้างรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้อง


“คลิปเสียง” จุดเริ่มต้นของข้อสงสัย

คลิปเสียงที่ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อเมื่อ 18 มิถุนายน 2568 แสดงการพูดคุยระหว่างนางสาวแพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน โดยผู้ถูกร้อง (แพทองธาร) ได้ยอมรับภายหลังว่าเป็นเสียงตนจริง แต่ชี้แจงว่าเป็นการสื่อสารแบบส่วนตัว ด้วยเจตนาเพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ยื่นคำร้องมองว่า การกระทำดังกล่าวอาจสะท้อนถึงการขาดความเป็นอิสระทางการเมือง และการไม่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเหมาะสมในฐานะหัวหน้ารัฐบาล โดยกล่าวหาว่าผู้ถูกร้องมีท่าทีเอนเอียงไปยังผลประโยชน์ของกัมพูชา และไม่แสดงจุดยืนที่ชัดเจนต่ออธิปไตยของไทย

ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติ 7 ต่อ 2 ให้ผู้ถูกร้อง "หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี" ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2568 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยสุดท้าย


โครงสร้างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: มาตรา 170 และ 82

การพิจารณาครั้งนี้อิงตาม รัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบ มาตรา 82 ว่าด้วยการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี และสิทธิของสมาชิกสภาในการยื่นคำร้องต่อศาล

นอกจากนี้ ศาลยังใช้อำนาจตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 54 ในการกำหนดให้ผู้ถูกร้องต้องชี้แจงข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน และใช้อำนาจชั่วคราวตามมาตรา 71 เพื่อสั่งระงับการใช้อำนาจของผู้ถูกร้องในบางกรณี

เสียงข้างน้อยในศาล (2 คน) เห็นว่ายังไม่มีข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอ แต่ก็เสนอให้จำกัดอำนาจของนายกรัฐมนตรีชั่วคราวเฉพาะในเรื่องความมั่นคง การคลัง และการต่างประเทศ


ผลกระทบต่อการบริหารประเทศ: มากกว่าแค่หยุดงาน

🏛️ 1. “ผู้รักษาการ” ไม่ได้มีอำนาจเต็ม

แม้จะมีผู้รักษาการแทน (เช่น นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) เข้าทำหน้าที่ แต่ในทางกฎหมาย ผู้รักษาการนายกรัฐมนตรี ไม่มีอำนาจในการยุบสภา ปรับคณะรัฐมนตรี หรือแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง เพราะเป็นอำนาจที่ต้องใช้อำนาจนายกฯ ที่ได้รับโปรดเกล้าฯ แล้วเท่านั้น

งานบริหารทั่วไปยังเดินต่อได้ แต่หากมีวิกฤตที่ต้องใช้อำนาจนายกฯ เต็มรูปแบบ รัฐบาลอาจไม่สามารถตอบสนองได้เต็มที่

📄 2. การผลักดันนโยบายและกฎหมาย

ร่างกฎหมายยังสามารถเสนอได้โดยครม. แต่หากเป็นร่างที่อ่อนไหวหรือมีนัยทางการเมืองสูง เช่น ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ร่างกฎหมายปฏิรูป หรือการจัดสรรงบโครงการใหญ่ จะเผชิญแรงต้านมากขึ้น โดยเฉพาะหากฝ่ายค้านมองว่า ครม.รักษาการขาดความชอบธรรม

📈 3. ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจ

นักลงทุนและภาคธุรกิจจับตาเสถียรภาพทางการเมือง หากสถานการณ์ยืดเยื้อหรือศาลวินิจฉัยให้นายกฯ พ้นจากตำแหน่ง อาจเกิดแรงกระเพื่อมต่อความเชื่อมั่นการลงทุน แม้ตลาดจะยังไม่ผันผวนมากในช่วงต้น

🔮 4. เสถียรภาพทางการเมืองและฉากทัศน์อนาคต

หากศาลตัดสินว่าแพทองธารต้องพ้นจากตำแหน่งจริง รัฐสภาต้องดำเนินกระบวนการเลือกนายกฯ คนใหม่ ซึ่งอาจเปิดช่องต่อการต่อรองอำนาจในสภา และเกิดแรงกดดันจากประชาชนให้มีการยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน

ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอาจใช้ช่วงนี้ขยายการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะในประเด็นจริยธรรม ความชอบธรรม และความโปร่งใส


ข้อควรจับตา

  • คำชี้แจงของนางสาวแพทองธารภายใน 15 วัน จะมีน้ำหนักแค่ไหนในการโต้แย้งข้อกล่าวหา

  • ท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาล หากต้องเลือกนายกฯ ใหม่จะเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจหรือไม่

  • บทบาทของฝ่ายค้านและภาคประชาชน หากสถานการณ์ไม่คลี่คลายเร็ว


บทส่งท้าย

คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การ "หยุดทำหน้าที่ชั่วคราว" ของนายกรัฐมนตรี แต่คือบททดสอบเสถียรภาพของกลไกรัฐสภา ความแข็งแรงของรัฐธรรมนูญ และระดับความเชื่อมั่นที่ประชาชนและนานาชาติจะมีต่อประเทศไทยในช่วงเปลี่ยนผ่าน

สิ่งที่เราควรติดตามต่อไป ไม่ใช่แค่ชื่อของผู้นำคนใหม่ แต่อยู่ที่คำตอบว่า "ประชาธิปไตยไทย" จะแสดงวุฒิภาวะทางการเมืองมากพอที่จะผ่านวิกฤตนี้ไปได้หรือไม่


🔗 อ้างอิง

  1. PPTV Online. (2568, 1 กรกฎาคม). ศาลรัฐธรรมนูญสั่ง "แพทองธาร" หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ รับคำร้องปมคลิปเสียง "ฮุน เซน". https://www.pptvhd36.com/news/politics/XXXXXX

  2. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560. มาตรา 160, 170 และ 82

  3. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561. มาตรา 7, 54 และ 71

  4. คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการรักษาการนายกรัฐมนตรี (เช่น กรณีปี 2557)

วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2568

“ไม่ต้องขอวีซ่ายุโรปแล้ว” จริงหรือ? แล้วคนไทยเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้?

ช่วงนี้หลายคนอาจเห็นข่าวแชร์กันสนั่นว่า “ไปยุโรปไม่ต้องทำวีซ่าแล้ว!” หรือ “ใช้ได้ 3 ปี เริ่มตุลานี้” ฟังดูเหมือนเป็นข่าวดีสำหรับนักเดินทางไทยใช่ไหมครับ?
แต่พออ่านลึก ๆ แล้ว... เอ๊ะ ทำไมเหมือนเราไม่ได้อะไรเลย?

คำตอบคือ: ใช่ครับ คนไทย “ยังต้องขอวีซ่าเชงเก้น” เหมือนเดิม
และนี่คือเรื่องราวทั้งหมดที่ควรรู้ พร้อมกับคำถามที่น่าคิดว่า...

ทำไมประเทศเพื่อนบ้านของเราหลายประเทศได้ฟรีวีซ่าเชงเก้นไปตั้งแต่สิบกว่าปีก่อน แต่ไทยยัง “วนอยู่ที่เดิม”?


🧭 สถานะของคนไทยกับวีซ่ายุโรป (Schengen Visa)

  • คนไทย ต้องขอวีซ่าเชงเก้น ทุกครั้งที่เดินทางไปยุโรป แม้จะเป็นแค่ทริปท่องเที่ยวระยะสั้น
  • ต้องยื่นเอกสารผ่านสถานทูตหรือศูนย์ VFS
  • ต้องรออนุมัติ และเสียค่าธรรมเนียมประมาณ 80 ยูโร
  • ยังไม่มีสิทธิ์ใช้ระบบ ETIAS ที่จะเริ่มในปลายปี 2026 (เพราะ ETIAS ใช้เฉพาะกับประเทศที่ “ไม่ต้องขอวีซ่า” เท่านั้น)

🇲🇾 แล้วทำไมมาเลเซีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ได้ฟรีวีซ่า?

ประเทศเหล่านี้ได้รับการยกเว้นวีซ่าเชงเก้นตั้งแต่ช่วงปี 2001–2010
เหตุผลหลัก ๆ ได้แก่:

  • 📈 เศรษฐกิจมั่นคง รายได้เฉลี่ยต่อหัวสูง
  • 🛂 อัตราการละเมิดวีซ่าต่ำ (ไม่ค่อยมีคนอยู่เกิน หรือแอบทำงาน)
  • 🤝 ความสัมพันธ์ทางการทูตแน่นแฟ้นกับ EU
  • 📊 ไม่มีประวัติการใช้ระบบขอลี้ภัยในยุโรปมากนัก

🇹🇭 แล้วไทยล่ะ? ทำไมยังไม่ได้?

คำตอบสั้น ๆ: เพราะ “ความเชื่อมั่น” ยังไม่พอ

ปัจจัยที่ทำให้ไทยยังไม่ได้รับฟรีวีซ่า:

  • 🧳 มีประวัติคนไทยบางกลุ่มใช้วีซ่าท่องเที่ยวเพื่อเข้าไปทำงานผิดกฎหมาย
  • 🧾 อัตราการอยู่เกินวีซ่ายังสูงกว่าค่าเฉลี่ย
  • 🏛️ ความไม่แน่นอนทางการเมือง (รัฐประหารหลายครั้งในรอบ 20 ปี)
  • 🗣️ ไทยยังไม่สามารถทำข้อตกลง “ส่งกลับผู้กระทำผิด” กับ EU ได้ครบถ้วน

🕰️ แล้วช่วงที่ประเทศอื่นได้ฟรีวีซ่า ไทยทำอะไรอยู่?

  • ปี 2001–2010: มาเลเซีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เริ่มได้รับการยกเว้นวีซ่า
    → ไทยกำลังเผชิญกับความวุ่นวายทางการเมือง และรัฐประหารในปี 2006
  • ปี 2014: ไทยมีรัฐประหารอีกครั้ง
    → EU ระงับความร่วมมือบางส่วนกับไทยในช่วงนั้น
  • ปี 2023–2025: ไทยเริ่มกลับมาเจรจากับ EU อีกครั้ง แต่ยังไม่มีความคืบหน้าชัดเจน

🔮 แล้วอนาคตล่ะ? ไทยมีโอกาสได้ฟรีวีซ่าไหม?

มีครับ แต่ต้อง “พิสูจน์ตัวเอง” ให้ได้ในหลายด้าน:

เงื่อนไขที่ EU คาดหวัง สถานะของไทย
อัตราการอยู่เกินวีซ่าต่ำ ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ย
ระบบควบคุมคนเข้าเมืองเข้มแข็ง กำลังพัฒนา
ความมั่นคงทางการเมือง ยังไม่แน่นอน
ข้อตกลงส่งกลับผู้กระทำผิด ยังไม่ครบถ้วน
ความร่วมมือทางการทูต เริ่มฟื้นตัว

ล่าสุด นายกรัฐมนตรีไทยได้หารือกับประธานาธิบดีเยอรมนีเพื่อขอการสนับสนุนเรื่องนี้โดยตรง และมีแผนจะผลักดัน “ข้อตกลงร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน” เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองกับ EU


😔 บ่นหน่อยเถอะ...

มันน่าเศร้าครับ ที่ประเทศเพื่อนบ้านของเราเดินหน้าไปไกลแล้ว
ในขณะที่ไทยยังต้อง “ต่อคิวขอวีซ่า” อยู่เหมือนเดิม ทั้งที่เราก็มีศักยภาพ มีคนเก่ง มีนักท่องเที่ยวคุณภาพมากมาย

เราไม่ได้ด้อยกว่าใคร—แต่เรายัง “ไม่พร้อมพอ” ในสายตาเขา
และความไม่พร้อมนั้น... มันไม่ได้เกิดจากประชาชน แต่มาจาก “ระบบ” ที่เราทุกคนต้องอยู่ภายใต้


✊ ความหวังยังมี ถ้าเรากล้าปรับ

  • ถ้ารัฐบาลจริงจังกับการปฏิรูประบบตรวจคนเข้าเมือง
  • ถ้าการเมืองไทยมีเสถียรภาพต่อเนื่อง
  • ถ้าความร่วมมือกับ EU ดำเนินไปอย่างจริงใจ

วันหนึ่ง... คนไทยอาจได้เดินทางไปยุโรปโดยไม่ต้องขอวีซ่า
แต่วันนั้นจะมาถึงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า “เรากล้าพอจะเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า”


📚 แหล่งอ้างอิง

  1. Schengen Visa for Thai Citizens – Europe-Visa.com
    – ข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนการขอวีซ่าเชงเก้นสำหรับคนไทย และประเภทของวีซ่าที่ใช้ได้

  2. Visa requirements for Thai citizens – Wikipedia
    – รายชื่อประเทศที่คนไทยต้องขอวีซ่า รวมถึงสถานะของไทยกับเขตเชงเก้น

  3. Reaching Visa-Free Travel Agreement With EU Will Take Time – SchengenVisaInfo
    – นายกรัฐมนตรีไทยยอมรับว่าการเจรจาขอยกเว้นวีซ่ากับ EU จะใช้เวลา และยังไม่มีกรอบเวลาชัดเจน

  4. ASEAN Visa Waiver Program – VisaGuide.World
    – ข้อมูลเกี่ยวกับข้อตกลงการเดินทางระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน และความแตกต่างจากระบบเชงเก้น

  5. Southeast Asian Nations Plan Schengen-Style Single Visa – VisaVerge
    – แผนการของอาเซียนในการสร้างระบบวีซ่าร่วมแบบ “ASEAN-Schengen” เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในอนาคต

  6. Visa-Free Period In Thailand to be Changed Again – ThaiEmbassy.com
    – ตัวอย่างนโยบายของไทยที่สะท้อนความกังวลเรื่องการละเมิดวีซ่า ซึ่งเป็นปัจจัยที่ EU ใช้พิจารณา


วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2568

หัวข้อ: เมื่อฉันไม่สามารถยืนข้างใครได้เลยในประเทศนี้

ช่วงนี้ฉันเห็นภาพม็อบกลับมาอีกครั้ง เสียงตะโกนขับไล่ "แพรทองธาร" ดังขึ้นพร้อมป้ายผ้าสีสด และคำขวัญที่ฟังดูคุ้นหูเกินไป ท่ามกลางข่าวคลิปเสียงหลุดที่ทำให้รัฐบาลดูเหมือนไม่เหลืออะไรให้น่าเคารพ ฉันเองก็ไม่ใช่คนที่เชียร์เธอหรือรัฐบาลชุดนี้หรอกนะ แต่แปลกดี...ที่ฉันกลับรู้สึกไม่อยากยืนข้างผู้ชุมนุมพวกนี้เลยแม้แต่นิดเดียว

พวกเขาไม่ใช่ใครอื่นเลย คือกลุ่มคนที่เคยยืนอีกฝั่งของเรา — "เสื้อเหลือง นกหวีด มือตบ" กลุ่มที่เคยผลักเราจนชิดขอบสนาม กลุ่มที่เคยขับไล่รัฐบาลเลือกตั้งอย่างยินดี กลุ่มที่เคยปรบมือให้รัฐประหารแล้วพูดว่า “ก็ดีกว่าอยู่อย่างนี้” ทั้งที่สิ่งที่เราเรียกร้องตอนนั้น...มันก็แค่ประชาธิปไตยแบบพื้น ๆ ที่เขาเกิดมาก็มีอยู่แล้ว

วันนี้พวกเขากลับตะโกนเรื่อง “รัฐบาลหุ่นเชิด” “ผู้นำไม่มีจุดยืน” “หยุดคอร์รัปชัน” — มันย้อนแย้งชนิดที่ฉันกลืนไม่ลง นี่หรือคนที่เคยไล่คนลงถนนเพราะเขาเลือกต่างจากตัวเอง?

อย่าเข้าใจผิดว่าฉันเข้าข้างแพรทองธารนะ ฉันแค่เห็นเธอเป็นภาพซ้ำของ “ทักษิณเวอร์ชันจืดสนิท” คนที่เคยดูเก่ง อาจเพราะจังหวะโลกมันส่ง ไม่ใช่เพราะพิเศษอะไรนัก เธอก็แค่เดินบนถนนที่ปูด้วยทรัพยากรและทุนเดิม ไม่ได้สร้างอะไรใหม่ที่เปลี่ยนเกมได้จริง

คำว่า “โกงแต่เก่ง” มันควรหมดอายุไปนานแล้ว เพราะตอนมองย้อนกลับไป บางทีก็ไม่เห็นความเก่งตรงไหนเลยนอกจากการ “ฉวยโอกาส” ในจังหวะที่โลกมันกำลังมา

แล้วคนไม่โกงล่ะ? มีอยู่หรอก…แต่พอเข้าไปในระบบ พวกเขาก็มักโดนดูด โดนกลืน หรือไม่ก็โดนปล่อยให้ตายอย่างเงียบ ๆ อยู่ดี เพราะข้างในมันเต็มไปด้วยข้าราชการโกง รัฐวิสาหกิจโกง และเครือข่ายผลประโยชน์ที่ต่อกันเป็นใยแมงมุมเหนียวแน่น คนดีเข้าไปคนเดียวก็แค่เหยื่อที่ดิ้นไม่ได้

ฉันเลยไม่ยืนข้างใครเลย ไม่ใช่เพราะไม่แคร์ แต่เพราะฉันไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของเกมที่รู้ว่าฝ่ายไหนชนะ เราก็แพ้เหมือนเดิม ฉันไม่อยากให้ม็อบพาเรากลับไปหานายพล และก็ไม่อยากให้ประเทศนี้ถูกบริหารด้วยความประนีประนอมจนหลงทิศ

การอยู่ตรงกลาง บางทีมันก็เหงา เจ็บ และรู้สึกไร้เสียงที่สุด แต่ตรงนี้แหละ...ที่ฉันยังพอได้เห็นโลกใบนี้ชัดพอจะไม่หลงกลใครอีก

วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2568

ลัทธิ Woke: จากการตื่นรู้สู่ล่าแม่มดในโลกสมัยใหม่

ในโลกที่เต็มไปด้วยรอยแผลจากประวัติศาสตร์การกดขี่ ความเหลื่อมล้ำ และเสียงของผู้ถูกละเลย คำว่า "woke" เคยเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังใหม่ หมายถึงการ "ตื่นรู้" ต่อความอยุติธรรมที่ฝังรากลึกในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเชื้อชาติ เพศ เพศสภาพ ชาติพันธุ์ หรืออัตลักษณ์เฉพาะกลุ่ม แนวคิดนี้เริ่มต้นด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ และกลายเป็นพลังสำคัญที่ขับเคลื่อนขบวนการทางสังคมระดับโลก เช่น ขบวนการ Black Lives Matter, การผลักดันสิทธิ LGBTQ+, หรือการเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงระบบที่เลือกปฏิบัติอย่างแยบยล

ทว่ากาลเวลาผ่านไป “woke” ไม่ได้หยุดอยู่แค่ความตื่นรู้ มันเริ่มกลายพันธุ์ — จากแรงบันดาลใจสู่การครอบงำ จากเสรีภาพสู่การบังคับ จากการเรียกร้องสู่การลงโทษ และในที่สุดก็กลายเป็น ลัทธิล่าแม่มดยุคดิจิทัล ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังของโซเชียลมีเดีย การแชร์ และความโกรธที่ถูกจุดไฟง่ายกว่าเหตุผล


จุดเริ่มต้นของ Woke: ความหมายที่แท้จริง

คำว่า “stay woke” แต่เดิมเป็นคำแสลงที่มีรากเหง้ามาจากชุมชนคนผิวดำในสหรัฐอเมริกา ใช้เตือนกันให้ตื่นตัว ระแวดระวัง และรู้เท่าทันโครงสร้างอำนาจที่กดขี่ เช่น การเหยียดสีผิว การใช้ความรุนแรงจากเจ้าหน้าที่รัฐ หรือการเลือกปฏิบัติในระดับระบบที่ฝังลึกในชีวิตประจำวัน

เมื่อเข้าสู่ยุค 2010s แนวคิดนี้กลายเป็นกระแสหลักที่ผู้คนรุ่นใหม่จำนวนมากยึดถือเป็นค่านิยมร่วม มันกลายเป็นพลังบวกในการผลักดันความเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบาย สื่อ การศึกษา และวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องให้สื่อสร้างภาพแทนที่หลากหลายขึ้น การปรับเปลี่ยนกฎหมายให้ครอบคลุมคนทุกกลุ่ม หรือแม้แต่การตั้งคำถามกับโครงสร้างทางสังคมที่เคยไม่ถูกแตะต้อง


จุดพลิกผัน: เมื่อความตื่นรู้กลายเป็นเครื่องมือของการครอบงำ

เมื่อโซเชียลมีเดียกลายเป็นเวทีหลักของการแสดงออก แนวคิด woke ก็เริ่มถูกผลักดันด้วยความเร็วและแรงที่เหนือกว่ากระบวนการทางสังคมแบบดั้งเดิม มันเริ่มกลายเป็นแนวคิดที่ไม่เปิดพื้นที่ให้ข้อสงสัย การตั้งคำถาม หรือมุมมองที่ต่างไป กลายเป็นรูปแบบของ "การเมืองของศีลธรรมสุดขั้ว" (moral absolutism) ที่แยกโลกออกเป็นเพียงสองขั้ว — ฝ่ายดีที่ตื่นรู้ กับฝ่ายชั่วที่ไม่เข้าใจ หรือเลวโดยอัตโนมัติ

และจากตรงนั้นเอง ปรากฏการณ์ Cancel Culture ก็ถือกำเนิดขึ้น — การเรียกร้องให้ตัดขาด เลิกสนับสนุน หรือทำลายชื่อเสียงของบุคคลหรือองค์กรที่เคยแสดงความเห็นหรือกระทำบางอย่างที่ไม่สอดคล้องกับกรอบ woke แม้สิ่งนั้นจะเป็นความเห็นจากเจตนาดี หรือเกิดในบริบทที่มีความซับซ้อนและหลากหลาย


Cancel Culture: การเผาแม่มดยุคดิจิทัล

ในประวัติศาสตร์ยุโรปยุคกลาง "การล่าแม่มด" เป็นการล่าหาคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นภัยต่อศีลธรรมของสังคม ผู้หญิงหรือชายที่แตกต่าง แปลกประหลาด หรือเพียงแค่ไม่เข้ากับกรอบ ก็อาจถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดและถูกลงโทษโดยไร้กระบวนการยุติธรรมใด ๆ

ในยุคดิจิทัล เราไม่ได้เผาคนด้วยไฟอีกต่อไป แต่เราเผาด้วยการ cancel — การโจมตีทางออนไลน์ การแบน การตัดโอกาสในการทำงาน การทำลายภาพลักษณ์ และที่สำคัญคือการปิดกั้นการฟังเสียงอีกฝั่ง

ใครที่เผลอพูดผิด โพสต์ไม่ตรงกรอบ ใช้ศัพท์ไม่อัปเดต หรือมีมุมมองที่ตั้งคำถามกับวาทกรรมหลัก ก็เสี่ยงที่จะถูกตราหน้า โดนดึงออกจากเวทีสาธารณะ และถูกทำให้เงียบเสียงไปตลอดกาล โดยไม่มีพื้นที่ให้แก้ตัว ไม่มีโอกาสขอโทษ และไม่มีใครกล้าหยิบยกเรื่องนั้นขึ้นมาปกป้อง เพราะกลัวจะถูกลากไปด้วย


ตัวอย่างของการล่าแม่มด woke สุดโต่ง

ต่อไปนี้คือบุคคลที่ถูก cancel จากกระแส woke อย่างรุนแรง โดยที่หลายกรณีถูกตีความผิด เจตนาดี หรือมีบริบทที่สื่อและสังคมละเลย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอันตรายของลัทธิล่าแม่มดยุคใหม่:

  • J.K. Rowling: ผู้แต่ง Harry Potter ถูกตราหน้าว่าเป็น “transphobic” เพียงเพราะตั้งคำถามเกี่ยวกับสิทธิของผู้หญิงในทางชีววิทยา และผลกระทบของการนิยามเพศแบบใหม่ เธอระบุชัดว่าไม่เกลียดคนข้ามเพศ แต่ห่วงว่าแนวคิดสุดโต่งบางแบบอาจไปลิดรอนสิทธิของผู้หญิงในพื้นที่เฉพาะทาง

  • Gina Carano: นักแสดงจากซีรีส์ The Mandalorian ถูกปลดออกจากบทบาทในปี 2021 หลังโพสต์ข้อความเกี่ยวกับการเมืองและเสรีภาพในการแสดงออก โดยมีการเปรียบเทียบแนวคิดทางการเมืองกับอดีตที่คนยิวถูกไล่ล่า แม้เธอจะอธิบายว่าไม่ได้มีเจตนาเหยียด แต่กระแสในโซเชียลมีเดียรุนแรงมากจน Lucasfilm ตัดสินใจยุติสัญญาอย่างทันที

  • Dave Chappelle: นักแสดงตลกชื่อดังที่ใช้เวทีสแตนด์อัพเพื่อวิจารณ์วัฒนธรรม woke และ cancel culture ในผลงาน The Closer และ Sticks and Stones เขาถูกกลุ่มบางส่วนกล่าวหาว่าล้อเลียนชาวทรานส์อย่างไม่เหมาะสม แม้เนื้อหาจะเป็นส่วนหนึ่งของการตั้งคำถามต่อสังคม แต่เขาก็เผชิญกับการประท้วง การเรียกร้องให้ถอดเนื้อหาจาก Netflix และคำกล่าวหาว่า “เป็นภัยต่อความปลอดภัยของชุมชน”

  • Sir Tim Hunt: นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลชาวอังกฤษ กล่าวมุขติดตลกในงานสัมมนาว่า “ผู้หญิงทำให้ผู้ชายในห้องแล็บไม่มีสมาธิ” คำพูดนี้ถูกสื่อบางแห่งรายงานโดยไม่ลงรายละเอียด เขาถูกสังคมมองว่าเป็นผู้เหยียดเพศ และต้องลาออกจากตำแหน่งในหลายสถาบัน แม้จะมีเพื่อนร่วมงานหญิงหลายคนออกมาปกป้องว่าเขาไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น

  • Justine Sacco: ผู้บริหารฝ่ายสื่อสารองค์กร โพสต์ทวีตที่ตั้งใจจะเสียดสีว่า “หวังว่าจะไม่ติดเอดส์ระหว่างบินไปแอฟริกา — ล้อเล่น! ฉันเป็นคนผิวขาวนะ” ขณะเธออยู่บนเครื่องบิน กระแสโซเชียลถล่มทันที และเมื่อเครื่องลง เธอกลายเป็นเป้าถูก “เผา” จนถูกไล่ออกจากงาน ทั้งที่เมื่ออ่านข้อความในบริบทเต็มแล้วจะเห็นว่าเป็นการประชดการเหมารวมอย่างชัดเจน

  • Chimamanda Ngozi Adichie: นักเขียนหญิงชาวไนจีเรียเจ้าของผลงานระดับโลก เช่น We Should All Be Feminists เธอเคยให้สัมภาษณ์ว่า "trans women are trans women" — แม้จะไม่ได้ปฏิเสธสิทธิของคนข้ามเพศ แต่ก็ถูกกล่าวหาว่าไม่ inclusive พอ ส่งผลให้เธอถูกตัดออกจากเวทีสื่อหลายแห่ง และต้องเขียนบทความยาวเพื่อตอบโต้ว่า cancel culture นั้นเป็นภัยต่อเสรีภาพของนักเขียนและสังคม

  • Biddy O’Loughlin: นักแสดงตลกชาวออสเตรเลีย โดนยกเลิกโชว์หลังพูดถึงประเด็น trans และ disability ด้วยภาษาตลกที่ถูกมองว่าไม่เหมาะสม เธอถูก cancel ทั้งที่ตั้งใจแสดงเพื่อสะท้อนความจริงเชิงเสียดสี แต่ไม่มีใครเปิดพื้นที่ให้เธออธิบายว่าไม่ได้มีเจตนาร้ายหรือเหยียดหยาม

ตัวอย่างเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้บุคคลเหล่านี้จะไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แต่กลับถูกกระแสสังคมลากไป “เผา” อย่างรวดเร็ว ทั้งที่แต่ละเรื่องล้วนมีบริบทและความซับซ้อนซึ่งควรได้รับการพิจารณาอย่างเป็นธรรม


ทำไมเราถึงควรกังวล?

เพราะสิ่งที่เริ่มจากความตั้งใจดี กำลังกลายเป็นระบบที่บีบบังคับให้ผู้คนต้องคิด พูด และแสดงออกอย่างหวาดระแวง

หากเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นถูกจำกัดอยู่แค่ในกรอบที่ฝ่ายหนึ่งกำหนด เราจะยังสามารถเรียกตัวเองว่าเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตยได้หรือไม่?

หากเรากลัวจะถูก cancel มากเกินกว่าจะกล้าแสดงความเห็นตรงไปตรงมา เรากำลังเดินเข้าสู่สังคมที่ไม่มีใครกล้าคิด ไม่มีใครกล้าถาม และไม่มีใครกล้าตั้งข้อสังเกต — ซึ่งนั่นคือสังคมที่ไม่พัฒนาอีกต่อไป


สรุป

“woke” เริ่มต้นจากความตื่นรู้ต่อความอยุติธรรม และการเรียกร้องสิทธิให้กับผู้ถูกมองข้าม
แต่เมื่อถูกขับเคลื่อนโดยความโกรธแทนเหตุผล มันก็กลายเป็นอาวุธแห่งศีลธรรมที่ใช้ทำร้าย

วันนี้ ลัทธิ woke สุดโต่งได้เปลี่ยนเส้นทางจากการปลดปล่อยสู่การควบคุม — จากการเรียกร้องสิทธิสู่การบงการความคิด และจากพื้นที่ถกเถียงสู่พื้นที่ล่าแม่มด

เราควรกลับมาเปิดพื้นที่ให้เสียงที่ต่างกันได้พูด ฟังอย่างเข้าใจ เห็นต่างโดยไม่ต้องเกลียด และโต้แย้งกันด้วยเหตุผลแทนอารมณ์

เพราะในโลกที่ทุกคนกลัวจะพูด ไม่มีใครกล้าคิด และในโลกที่ไร้การตั้งคำถาม สุดท้ายสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ก็คือ “อำนาจของเสียงที่ดังที่สุด” ไม่ใช่ “เสียงที่มีเหตุผลที่สุด”

วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2568

ทำไมทั้งพวกคอมฯ ทั้งฝรั่งเศสแม่งถึงไปอุ้มของเหี้ยแบบฮุนเซน

🇨🇳 1. จีน: “คบใครก็ได้ ขอแค่แม่งไม่ใช่ลูกน้องอเมริกา”

  • หลังยุคเหมา จีนเริ่มเล่นเกมภูมิรัฐศาสตร์
    → ขอแค่ ไม่ให้โลกถูกอเมริกาคุมอยู่ฝ่ายเดียว

  • เวียดนามบุกเขมร (1979) เพื่อโค่นเขมรแดง
    → จีนหัวร้อน เพราะเวียดนามเป็น “คอมแบบรัสเซีย” ไม่ใช่ “คอมแบบจีน”
    → เลย อุ้มฮุนเซนขึ้นเป็นรัฐบาลพลัดถิ่น + ป้อนอาวุธ-เงิน-อิทธิพลเต็มสูบ
    → ฮุนเซนจึงเป็น หมากของจีน ที่ใช้ถ่วงเวียดนามในอินโดจีน

❝ จีนไม่ได้อุ้มเพราะรัก แต่อุ้มเพราะแม่งต้องมีหมากวางบนกระดานโลก ❞


🇫🇷 2. ฝรั่งเศส: “กูแม่งเสือกได้ เพราะกูเคยเป็นเจ้าอาณานิคม”

  • กัมพูชาเคยเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส ในอินโดจีนเหมือนลาวกับเวียดนาม

  • ฝรั่งเศสอยาก “ปั้นภาพว่ากูยังมีอิทธิพลในโลกหลังอาณานิคม”
    → เลย จับมือกับจีนและไทยในยุคสงครามเย็น
    เพื่อสนับสนุน “รัฐบาลในเงา” ของฮุนเซน สู้กับเวียดนาม

  • แม้ตอนนั้นเขมรแดงฆ่าคนเป็นล้าน ฝรั่งเศสแม่งก็ยังช่วย เพราะไม่อยากให้เวียดนามชนะ
    → พอเวียดนามถอนทหาร ฝรั่งเศสก็ร่วมวง “ตกแต่งภาพ” ฮุนเซนให้ดูดีในเวทีโลก

❝ ฝรั่งเศสมันไม่ได้รักใคร แต่มันเสือกเพราะมันยังอยากเล่นบทเจ้าโลกเก่า ❞


🟥 3. ฝ่ายคอมมิวนิสต์: “ศัตรูของศัตรูคือเพื่อนกู”

  • ในโลกคอมมิวนิสต์แม่งไม่ได้รักกันจริงหรอกนะ
    จีนก็เกลียดเวียดนาม
    เวียดนามก็เคยไล่เขมรแดง
    เขมรแดงแม่งก็โหดเกินมนุษย์

  • แต่เพราะอเมริกาเข้ามากดดันในภูมิภาค
    → ทุกตัวละครแม่งต้อง เล่นบท “ชั่วแบบเลือกได้”
    → ฮุนเซนเลยเป็นหมากที่ ไม่ดี... แต่มีประโยชน์

❝ ในโลกจริง ความดีไม่มีน้ำหนักเท่าความคุมได้ ❞


🔥 สรุปแบบด่าได้เลย:

❝ ฮุนเซนรอด เพราะเขาเป็น “ของเหี้ยที่วางได้บนโต๊ะเจรจาระดับโลก”
ไม่ใช่เพราะเขาดี แต่เพราะเขา เชื่องกับจีน และ ไม่ขัดกับผลประโยชน์ฝรั่งเศส

❝ ส่วนคนเขมรเหรอ? ไม่ได้อยู่ในเกมพวกนี้เลย — เป็นแค่ประชากรที่ถูกใช้เพื่อการปั่นแต้มของพวกใหญ่ๆ ❞


รัฐที่เกิดจาก 'ความเป็นเหยื่อ' และการผลิตซ้ำอำนาจผ่านการกดขี่ – กรณีศึกษาจาก 10 ประเทศ

ในบริบทของรัฐศาสตร์สมัยใหม่ การก่อตัวของรัฐชาติไม่เพียงเป็นผลลัพธ์ของเจตจำนงร่วมทางอุดมการณ์หรือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่ยังมีมิติที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์บาดแผล (traumatic pasts), ความทรงจำทางการเมือง (political memory), และกระบวนการก่อรูปอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ (ethno-national identity formation) ผ่านความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

บทความนี้เสนอว่า หลายรัฐในโลกสมัยใหม่มิได้ถือกำเนิดขึ้นด้วยอุดมคติของความยุติธรรมและการรวมศูนย์เพื่อความเท่าเทียม หากแต่เกิดจากกระบวนการสร้างอัตลักษณ์โดยอ้างอิงความเป็น "เหยื่อ" ของระบบหรืออำนาจในอดีต โดยอาศัยบาดแผลเหล่านั้นเป็นทุนทางการเมืองในการสร้างความชอบธรรมให้กับการใช้ความรุนแรงหรือการกดขี่ต่อกลุ่มอื่นที่ถูกทำให้กลายเป็น "ผู้อื่น" (the Other)

เมื่ออำนาจเปลี่ยนมือ กลุ่มที่เคยอยู่ชายขอบอาจกลายเป็นชนชั้นปกครองที่ไม่เพียงสถาปนาอำนาจใหม่ แต่ยังสร้างกลไกทางอุดมการณ์และวาทกรรมเพื่อดำรงความเหนือกว่าผ่านการกดขี่ซ้ำรอยแบบใหม่ ซึ่งอาจรุนแรงและแยบยลยิ่งกว่ารูปแบบที่ตนเคยประสบในอดีต

กรณีศึกษาทั้ง 10 ประเทศในบทความนี้สะท้อนให้เห็นกลไกเชิงโครงสร้างและวาทกรรมดังกล่าวอย่างเป็นระบบ โดยวิเคราะห์ผ่านกรอบแนวคิดเรื่อง Cycle of Oppression, การก่อรูปอัตลักษณ์ทางการเมือง (Political Identity Construction), และ Nation-Building เชิงกีดกัน (Exclusionary Nationalism) ซึ่งช่วยอธิบายได้ว่า ทำไมและอย่างไร รัฐที่ถือกำเนิดจากการถูกกดขี่จึงสามารถกลายเป็นรัฐที่กดขี่ได้เช่นเดียวกัน


ปรากฏการณ์ของการผลิตซ้ำการกดขี่ในโครงสร้างรัฐ

นักรัฐศาสตร์ นักจิตวิทยาการเมือง และนักสังคมวิทยาเสนอแนวคิดร่วมกันว่า ประสบการณ์ของการถูกกดขี่ในระดับบุคคลหรือกลุ่มมักถูกก่อรูปเป็น "ความทรงจำร่วม (collective memory)" และกลายเป็นวาทกรรมที่มีอิทธิพลต่อโครงสร้างอำนาจในอนาคต

ผู้ที่เคยถูกลดทอนสิทธิ เสรีภาพ หรือความเป็นมนุษย์ อาจสร้างอัตลักษณ์ใหม่ผ่านการแยกตัวเองออกจากกลุ่มที่เคยกดขี่ รวมถึงกลุ่มที่เปราะบางอื่น ๆ เพื่อผลิตความมั่นคงให้กับอัตลักษณ์ของตน การกระทำดังกล่าวก่อให้เกิดวงจรของการกดขี่ที่หมุนวน (recursive oppression)

ลักษณะร่วมที่ปรากฏ ได้แก่:

  1. การสร้างอัตลักษณ์ใหม่ที่ปฏิเสธอดีต และพยายามล้างหรือกลบเกลื่อนความเจ็บปวดในอดีต ด้วยการกำหนดศัตรูใหม่ในทางการเมือง

  2. การผลิตวาทกรรมแห่งความเหนือกว่า (superiority discourse) ที่อ้างอิงอารยธรรม ศาสนา หรือเชื้อชาติ เพื่อทดแทนความรู้สึกต่ำต้อยในอดีต

  3. การสถาปนาความชอบธรรมของรัฐผ่านกลไกทางกฎหมายและวัฒนธรรม ในการแบ่งแยกและควบคุมกลุ่มอื่น เช่น กฎหมายความมั่นคง วาทกรรมชาติพันธุ์นิยม หรือโครงสร้างการศึกษาแบบบีบบังคับ

เมื่อพิจารณาในภาพรวม การกดขี่จึงไม่ใช่เพียงปฏิบัติการที่รัฐกระทำต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หากแต่เป็นโครงสร้างทางสังคมที่สร้างความมั่นคงให้กับอัตลักษณ์ของรัฐและชนชั้นนำในช่วงเปลี่ยนผ่านของอำนาจ


1. สหรัฐอเมริกา: อุดมการณ์แห่ง 'Manifest Destiny' และการพิชิตผ่านศีลธรรม

สหรัฐอเมริกาสมัยใหม่ก่อตั้งโดยผู้อพยพจากยุโรปที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชายขอบในสังคมต้นทาง เช่น โปรเตสแตนต์หัวแข็ง, ผู้หนีภัยสงครามศาสนา, หรือผู้ไร้สิทธิในระบบฟิวดัลอังกฤษ การย้ายถิ่นฐานสู่ดินแดนใหม่จึงถูกจินตนาการว่าเป็น "พันธกิจจากพระเจ้า" เพื่อก่อตั้งอารยธรรมใหม่บนพื้นฐานของความบริสุทธิ์ทางจิตวิญญาณและเสรีภาพ

อุดมการณ์ Manifest Destiny ทำหน้าที่เป็นวาทกรรมหลักที่ให้ความชอบธรรมทางศีลธรรมแก่การยึดครองดินแดนพื้นเมืองอินเดียนแดง และการใช้แรงงานทาสชาวแอฟริกัน การขยายอาณาเขตกลายเป็นภารกิจศักดิ์สิทธิ์ ภายใต้ระบบที่สร้างความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในที่ดิน การศึกษา หรือแม้แต่ความเป็นมนุษย์

กระบวนการนี้ไม่เพียงสะท้อนการสถาปนาอำนาจผ่านการกดขี่ แต่ยังกลายเป็นต้นแบบของรัฐสมัยใหม่ที่ใช้วาทกรรมความดีเพื่อกลบเกลื่อนความรุนแรงของการยึดครอง


2. ออสเตรเลีย: จากนักโทษสู่ผู้กุมระบบอาณานิคมทางวัฒนธรรม

ออสเตรเลียในฐานะอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษ เคยถูกใช้เป็นสถานที่เนรเทศนักโทษหรือผู้ไร้สิทธิในสังคมบริเตน ผู้ตั้งถิ่นฐานชุดแรกจึงเป็นผู้ที่ถูกทอดทิ้งจากระบบเดิมอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม เมื่อสามารถตั้งหลักและสร้างโครงสร้างรัฐขึ้นมาได้ กลุ่มนี้กลับกลายเป็นชนชั้นปกครองที่สถาปนาอำนาจผ่านการกดขี่กลุ่มชนพื้นเมืองอะบอริจินอย่างเป็นระบบ ทั้งในด้านพื้นที่ การศึกษา ภาษา และประวัติศาสตร์

รัฐสมัยใหม่ของออสเตรเลียจึงผลิตอัตลักษณ์แบบ "White Australia" ซึ่งกลบเกลื่อนอดีตอันแปดเปื้อนของตน พร้อมกับผลิตวาทกรรมแห่งอารยธรรมเพื่อผลักคนพื้นเมืองออกนอกระบบ


3. อิสราเอล: รัฐที่เกิดจาก Holocaust แต่ใช้การยึดครองเป็นเครื่องมือ

การก่อตั้งรัฐอิสราเอลในปี 1948 เป็นผลจากความเจ็บปวดลึกซึ้งของชาวยิวที่เคยเผชิญกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในยุโรป (Holocaust) การสร้างรัฐจึงเป็นทั้งภารกิจทางจิตวิญญาณและทางการเมืองในการรักษาความอยู่รอดของอัตลักษณ์ยิว

อย่างไรก็ตาม กระบวนการสถาปนารัฐดังกล่าวเกิดขึ้นบนพื้นฐานของการเบียดขับและยึดครองดินแดนปาเลสไตน์ที่มีประชากรอาหรับอยู่มาก่อน โดยได้รับการสนับสนุนจากมติขององค์การสหประชาชาติปี 1947 ที่เสนอการแบ่งดินแดน

รัฐอิสราเอลในเวลาต่อมาใช้กลไกความมั่นคง การควบคุมพรมแดน และกฎหมายทหาร เพื่อจำกัดสิทธิในการเคลื่อนไหวของชาวปาเลสไตน์ในเขตเวสต์แบงก์และฉนวนกาซา ภายใต้วาทกรรมแห่งภัยคุกคามถาวรที่สืบทอดจากความทรงจำของการเป็นเหยื่อ


4. สาธารณรัฐประชาชนจีน: การรวมศูนย์ผ่านการลบอัตลักษณ์ชายขอบ

ภายหลังการล่มสลายของราชวงศ์ชิง จีนต้องเผชิญการรุกรานจากมหาอำนาจตะวันตก การเสียดินแดน และการล่มสลายของศักดิ์ศรีแห่งชาติ

พรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงใช้วาทกรรมแห่งการฟื้นฟูศักดิ์ศรี (national rejuvenation) และความเป็นเอกภาพทางการเมืองเป็นเครื่องมือหลักในการรวมศูนย์อำนาจ และจัดระเบียบกลุ่มชาติพันธุ์ชายขอบ เช่น ชาวทิเบต อุยกูร์ และมองโกล

เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ การควบคุมภาษา, การสอดแนมประชากร, การกำกับศาสนา และการกดวัฒนธรรมท้องถิ่น เพื่อทำให้กลุ่มเหล่านี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐจีนแบบสมบูรณ์ (Sinicization)


5. ญี่ปุ่น: ความพยายามเทียบฝรั่งด้วยการเป็นจักรวรรดิ

ญี่ปุ่นในยุคเมจิเริ่มต้นจากความรู้สึกด้อยค่าภายใต้แรงกดดันของจักรวรรดิตะวันตก การเปิดประเทศภายใต้แรงบีบบังคับของสหรัฐฯ (เรือดำ) ทำให้ผู้นำญี่ปุ่นเกิดแรงผลักดันในการเร่งรัฐให้ทันกับอารยธรรมโลก

การปฏิรูปภาครัฐ กองทัพ การศึกษา และระบบราชการแบบตะวันตก นำไปสู่การเกิดจักรวรรดิญี่ปุ่นที่ใช้แบบจำลองตะวันตกในการล่าอาณานิคมในเอเชียตะวันออก เช่น การยึดเกาหลีและไต้หวัน การรุกรานจีน และการปกครองแบบเผด็จการทางทหารในดินแดนที่ยึดครอง


6. ตุรกี: การก่อตั้งรัฐชาติเชิงปฏิเสธความหลากหลาย

รัฐสมัยใหม่ของตุรกีภายใต้การนำของมุสตาฟา เคมาล อตาเติร์ก เกิดจากการล่มสลายของจักรวรรดิออตโตมันซึ่งเคยปกครองดินแดนที่หลากหลายเชื้อชาติและศาสนา

ภายใต้เป้าหมายในการสร้างรัฐชาติแบบตะวันตก ตุรกีเลือกผลิตอัตลักษณ์แบบเดียว (Turkishness) และกดทับอัตลักษณ์อื่น เช่น เคิร์ด อาร์เมเนีย และกรีก โดยใช้กฎหมาย การศึกษาภาคบังคับ และการควบคุมสื่อสารมวลชน


7. แอฟริกาใต้: โครงสร้างรัฐที่ยึดครองโดยคนส่วนน้อย

โครงสร้างรัฐในแอฟริกาใต้ในศตวรรษที่ 20 เป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่ชัดเจนของรัฐที่ผลิตซ้ำการกดขี่แบบสถาบัน คนผิวขาวซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยควบคุมโครงสร้างอำนาจและทรัพยากรทั้งหมดผ่านระบบ Apartheid

ระบบนี้ไม่ได้เป็นเพียงการเหยียดผิว แต่เป็นการจัดระบบชีวิตประจำวันให้แบ่งแยกทางการศึกษา การเดินทาง การครอบครองที่ดิน และโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างถาวร


8. รัสเซีย: ความทรงจำจักรวรรดิและการรื้อฟื้นอำนาจผ่านความกลัว

จากการเป็นจักรวรรดิที่เคยถูกดูแคลนโดยยุโรปตะวันตก รัสเซียพยายามสร้างอัตลักษณ์ของตนผ่านการรวมรัฐโดยใช้วาทกรรมแห่งการปลดปล่อยทางชนชั้นและศีลธรรมแบบสังคมนิยม

ในยุคหลังโซเวียต รัฐรัสเซียภายใต้ปูตินหันกลับมาใช้อัตลักษณ์เชิงจักรวรรดิอีกครั้ง ผ่านการรุกรานยูเครน การสนับสนุนระบอบเผด็จการในรัฐเพื่อนบ้าน และการใช้สื่อเพื่อควบคุมการรับรู้ภายใน


9. กัมพูชา: การปฏิวัติโดยคนชายขอบที่กลายเป็นระบอบสังหาร

เขมรแดงภายใต้พอล พต เริ่มต้นจากความเกลียดชังต่อระบบชนชั้นที่เมืองใหญ่เป็นตัวแทน ความเท่าเทียมทางชนชั้นจึงกลายเป็นวาทกรรมในการทำลายคนมีการศึกษา ศิลปิน ข้าราชการ และแพทย์

ระบอบนี้เป็นตัวอย่างของการที่ผู้เคยถูกกดขี่กลายเป็นผู้ทำลายโครงสร้างสังคมด้วยการใช้ความรุนแรงอย่างสุดโต่ง


10. ซาอุดีอาระเบีย: การใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือกดขี่ภายในรัฐ

ซาอุดีอาระเบียในอดีตเคยเป็นรัฐชนเผ่าที่ไม่มีอิทธิพลในภูมิภาค แต่ภายหลังได้รับรายได้มหาศาลจากน้ำมัน รัฐจึงใช้อำนาจทางศาสนาเป็นเครื่องมือกำกับและควบคุมประชากรภายใน

ศาสนาอิสลามนิกายวะฮาบีถูกรัฐผนวกเข้าเป็นโครงสร้างหลักในการควบคุมผู้หญิง แรงงานต่างชาติ และชนกลุ่มน้อยทางศาสนา โดยใช้กฎหมายศาสนาอย่างเคร่งครัดและลงโทษอย่างรุนแรงต่อผู้ฝ่าฝืน


บทสรุป: เมื่อรัฐใช้ความเป็นเหยื่อสร้างความชอบธรรมใหม่แห่งการกดขี่

จากการวิเคราะห์ทั้ง 10 กรณี พบว่าประสบการณ์ของการเป็นเหยื่อในอดีต เมื่อไม่ได้รับการสะสางหรือวิพากษ์อย่างตรงไปตรงมา อาจกลายเป็นทุนทางการเมืองที่รัฐใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมในการกดขี่กลุ่มอื่น

การเป็นเหยื่อไม่ได้ทำให้รัฐมีภูมิคุ้มกันต่อการใช้อำนาจในทางที่ผิด หากตรงกันข้าม อดีตที่ไม่ได้เยียวยาอย่างลึกซึ้ง มักจะสร้างรัฐที่ใช้ประวัติศาสตร์เพื่อหาความชอบธรรมในการลดทอนคุณค่าของมนุษย์กลุ่มอื่น

รัฐที่ก่อตั้งจากบาดแผล หากไม่สะสางประวัติศาสตร์ของตนเองอย่างวิพากษ์ ย่อมเสี่ยงที่จะกลายเป็นผู้สร้างบาดแผลต่อผู้อื่นต่อไป

และรัฐที่ปิดหูปิดตาตนเองจากประวัติศาสตร์แห่งความเจ็บปวด ย่อมมีแนวโน้มสูงที่จะผลิตซ้ำโศกนาฏกรรมเดิมในรูปแบบใหม่ที่รุนแรงและแยบยลยิ่งกว่าเดิม

วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2568

เมื่อผู้นำอ่อนทักษะการทูต: ศึกชายแดนที่ไทยกลายเป็นฝ่ายพ่าย ทั้งที่ไม่ควรพ่ายเลย

บทนำ: เมื่อคลิปเสียงกลายเป็นดาบกลับมาฟันตัวเอง

การสนทนาในคลิปเสียงความยาว 17 นาที ระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เชื่อว่าเกิดขึ้นก่อนวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ซึ่งเป็นวันที่สมเด็จฮุน เซน เผยแพร่คลิปเสียงดังกล่าวต่อสาธารณะ โดยยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการถึงวันที่ที่แน่นอนของบทสนทนา และคลิปเสียงดังกล่าวถูกเผยแพร่สู่สาธารณะในวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยอย่างไม่อาจมองข้ามได้

คลิปที่ควรจะสะท้อนความตั้งใจดีในการรักษาสันติภาพ (โดยมีการยืนยันจากฝั่งกัมพูชาเอง โดยสมเด็จฮุน เซน ยอมรับว่าคลิปดังกล่าวเป็นของจริงและเป็นส่วนหนึ่งของการพูดคุยที่เกิดขึ้นจริง) กลับสะท้อน ความไร้ทักษะทางการทูต การพูดจาอ่อนเชิง และการขาดความเข้าใจในเกมการเมืองระหว่างประเทศอย่างสิ้นเชิง


1. ย้อนรอยปัญหาไทย-กัมพูชาภายใต้ฮุน เซน

ปัญหาระหว่างไทยกับฮุน เซน ไม่ได้เริ่มจากคลิปเสียงนี้ แต่สั่งสมมาต่อเนื่องยาวนานตลอดหลายสิบปี ผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ล้วนส่งผลต่อความมั่นคงและความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่ฮุน เซนดำรงตำแหน่งผู้นำกัมพูชา และแม้กระทั่งหลังพ้นตำแหน่ง ก็ยังมีบทบาทในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างเข้มข้น

1.1 เหตุการณ์ปะทะบริเวณเขาพระวิหาร (พ.ศ. 2551–2554)

  • กัมพูชานำพื้นที่รอบเขาพระวิหารขึ้นทะเบียนมรดกโลกโดยไม่ผ่านความตกลงกับไทย ซึ่งกระทบต่ออธิปไตยไทยโดยตรง

  • เกิดการปะทะระหว่างทหารไทย-กัมพูชาหลายระลอก และส่งผลให้ไทยต้องถอนตัวจากคณะกรรมการมรดกโลก

  • ฮุน เซน ใช้เหตุนี้เพื่อสร้างภาพลักษณ์ผู้นำที่ยืนหยัดต่อกรกับไทย และสร้างความเป็นหนึ่งในประเทศของตน

1.2 กรณีการให้ที่พักนายทักษิณ ชินวัตร (พ.ศ. 2552)

  • ฮุน เซนแต่งตั้งนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งในขณะนั้นถูกออกหมายจับในไทย ให้เป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของกัมพูชา

  • สร้างความตึงเครียดทางการทูตจนไทยเรียกเอกอัครราชทูตกลับประเทศ และมีการตอบโต้ทางการเมืองในระดับรัฐต่อรัฐ

  • ฮุน เซนแสดงตนชัดเจนว่าแทรกแซงการเมืองไทยเพื่อผลประโยชน์เชิงกลยุทธ์

1.3 ข้อพิพาทการใช้แหล่งทรัพยากรพลังงานทางทะเล

  • ฮุน เซนเคยแสดงท่าทีร่วมมือกับไทยในประเด็นแหล่งก๊าซธรรมชาติบริเวณอ่าวไทย

  • แต่ภายหลังกลับยกประเด็นอธิปไตยและเสนอแยกผลประโยชน์โดยไม่มีการเจรจาแบบรัฐต่อรัฐ ทำให้ไทยตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบเชิงยุทธศาสตร์

  • ประเด็นนี้ถูกหยิบยกขึ้นทุกครั้งเมื่อมีรัฐบาลไทยที่อ่อนแอ

1.4 การใช้สื่อและโซเชียลกดดันไทยซ้ำซาก

  • ฮุน เซนมักใช้ Facebook ส่วนตัวซึ่งมีผู้ติดตามนับล้านคน เพื่อโจมตีหรือกดดันรัฐบาลไทยในสถานการณ์ต่าง ๆ

  • ไม่ผ่านช่องทางการทูตตามปกติ ทำให้ไทยไม่สามารถตอบโต้ได้ในระดับรัฐต่อรัฐ และเสียเปรียบทางการสื่อสาร

  • กรณีล่าสุดคือการโพสต์ขู่ว่าจะตัดน้ำ-ตัดไฟ ส่งผลให้คลิปเสียงนายกรัฐมนตรีไทยต้องหลุดตามมา

1.5 เหตุการณ์คลิปเสียง (มิ.ย. 2568)

  • การที่ฮุน เซนเผยแพร่คลิปเสียงที่สนทนากับนายกรัฐมนตรีไทยเอง เป็นการรุกกลับทางการเมืองแบบเปิดหน้า

  • ชี้ให้เห็นว่าฝ่ายกัมพูชายังสามารถควบคุมพื้นที่ข่าวสาร และใช้ข้อมูลจริงเป็นอาวุธเชิงจิตวิทยาต่อไทย

  • ทำให้รัฐบาลไทยตกเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างสิ้นเชิงในเวทีระหว่างประเทศ


2. ความอ่อนด้อยทางการทูต: เมื่อ “ความตั้งใจดี” ไม่เพียงพอ

พฤติกรรมที่ผิดหลักการทูตอย่างร้ายแรง:

  • การกล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 ว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามต่อหน้าผู้นำต่างชาติ ถือเป็นการลดความน่าเชื่อถือของกลไกความมั่นคงของประเทศตนเอง

  • การพูดในลักษณะอ้อนวอน เช่น “ลุงเห็นใจหลานหน่อย” หรือ “ท่านอยากได้อะไร บอกมาเลย” สะท้อนการลดทอนสถานะผู้นำประเทศลงเหลือเพียงผู้ขอความเมตตา

  • การยอมรับว่าทหารไทยเป็นฝ่ายผิดโดยไม่มีหลักฐานโต้แย้ง คือการยื่นอาวุธให้อีกฝ่ายใช้โจมตีตนเองอย่างเต็มที่

การทูตไม่ใช่แค่ "เจรจาเพื่อสันติภาพ" อย่างไร้ชั้นเชิง แต่คือ "เกมเจรจาที่ต้องรักษาผลประโยชน์ชาติสูงสุดภายใต้ท่าทีที่มีศักดิ์ศรี" ซึ่งนายกรัฐมนตรีไทยล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในจุดนี้


3. คุณสมบัติผู้นำที่ไม่ถึงขั้น: เมื่อหัวใจอย่างเดียวไม่พอ

แม้จะมีภาพลักษณ์ของผู้นำรุ่นใหม่ มีความนุ่มนวล และสื่อสารได้ดีในบริบทภายใน แต่ในเวทีระหว่างประเทศ สิ่งที่ต้องมีคือความนิ่ง กลยุทธ์ และความเข้าใจในความเป็นรัฐ

ในคลิปเสียงนั้น เราไม่พบหลักการใด ๆ ที่สะท้อนว่านายกฯ เข้าใจหลักการทางการทูต เช่น:

  • การแยกบทบาทระหว่างผู้นำรัฐบาลกับหน่วยงานทหาร

  • การรู้ว่าท่าทีใดควรเก็บไว้ในวงปิด และใดควรสื่อสารต่อสาธารณะ

  • การประเมินการเปิดเผยข้อมูล และผลกระทบระยะยาวที่มีต่อตำแหน่งตนเองและต่อภาพลักษณ์ประเทศ

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า น.ส.แพทองธาร ยังไม่พร้อมในเชิงคุณสมบัติที่จะเป็นหัวหน้ารัฐบาลที่ต้องเจรจากับผู้นำโลก


4. ฮุน เซน: ผู้นำที่เข้าใจจังหวะเกม และใช้โซเชียลเป็นอาวุธ

แม้จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว แต่สมเด็จฮุน เซน ยังคงเป็นผู้มีอิทธิพลสูงสุดในกัมพูชา และยังเล่นเกมการทูตกับไทยอย่างมีชั้นเชิง

  • เขาเลือกเผยแพร่คลิปเสียงฉบับเต็มด้วยตนเอง เพื่อแสดงความโปร่งใสและป้องกันการบิดเบือนจากฝั่งไทย

  • เขาใช้ Facebook ซึ่งมีผู้ติดตามหลายล้านคน เป็นเวทีขับเคลื่อนนโยบายและความเห็นต่อไทย โดยไม่ต้องผ่านกระทรวงการต่างประเทศ

  • เขาวางตัวในลักษณะผู้ไกล่เกลี่ย แต่แฝงด้วยการกดดันผ่านสื่อ สร้างแรงถ่วงทางความชอบธรรมใส่รัฐบาลไทยได้อย่างแยบยล

สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า ไทยกำลังเผชิญคู่เจรจาที่เข้าใจทั้งเกมอำนาจ, จังหวะการเมือง และการสื่อสารมวลชนระดับสูง


5. ผลกระทบต่อกองทัพและข้าราชการไทย

การที่ผู้นำประเทศกล่าวว่าแม่ทัพภาคที่ 2 เป็น “ฝ่ายตรงข้าม” ส่งผลเสียหายอย่างรุนแรงต่อขวัญกำลังใจของหน่วยงานความมั่นคงไทย

  • กองทัพไทยถูกลดทอนความน่าเชื่อถือในสายตาของต่างประเทศ ว่า “ไม่มีเอกภาพกับรัฐบาลตนเอง”

  • ข้าราชการประจำในระดับนโยบาย อาจเริ่มลังเลว่าจะต้องฟังใคร: นายกฯ หรือสายอำนาจของตัวเอง

  • ทำให้เกิดภาวะ “รัฐบาลอ่อนแอภายใน-เสียเปรียบภายนอก” ซึ่งอันตรายต่อความมั่นคงระดับชาติ

นี่ไม่ใช่เพียงความผิดพลาดเชิงคำพูด แต่คือการ ทำลายเส้นประสานระหว่างอำนาจบริหารและความมั่นคง อย่างที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย


6. เสียงสะท้อนจากประชาชน: จุดเริ่มต้นของคลื่นต้าน?

  • โซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยเสียงวิจารณ์และคำว่า “ผิดหวัง” จากทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายกลาง

  • ฝ่ายค้านเริ่มเคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการชี้แจงต่อสภา และบางกลุ่มเริ่มเรียกร้องให้ลาออกหรือยุบสภา

  • มีสัญญาณว่าเครือข่ายภาคประชาชนบางกลุ่มกำลังรวมตัว เตรียมเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์เพื่อกดดันทางจิตวิทยา

เหตุการณ์นี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของความเคลื่อนไหวแบบ “หยดน้ำที่ล้นแก้ว” ถ้ารัฐบาลยังนิ่งเฉย และไม่รับผิดชอบทางการเมือง


7. ไทยควรดำเนินการอย่างไร?

วิเคราะห์จากสิ่งที่ไทยมี:

  • อำนาจเศรษฐกิจ: ไทยมี GDP ใหญ่กว่ากัมพูชาเกิน 10 เท่า มี leverage สูงมากในการกำหนดทิศทางการค้า

  • อำนาจความมั่นคง: ไทยเป็นฝ่ายควบคุมจุดผ่านแดนหลัก หากเกิดข้อพิพาทสามารถชะลอได้โดยชอบธรรมตามหลักความมั่นคงภายใน

  • อำนาจสื่อและความชอบธรรม: สื่อโลกเชื่อไทยมากกว่ากัมพูชาในฐานะประเทศประชาธิปไตยกึ่งเสรีที่มีเสถียรภาพกว่า

  • อำนาจทางวัฒนธรรม: Soft Power อย่างไทยสามารถเป็นเครื่องมือในการเจรจาโดยไม่ใช้ความแข็งกร้าว

แทนที่จะอ่อนข้อและลดเกียรติ ควรดำเนินการแบบนี้:

  1. ใช้ช่องทางทางการทูตอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่เจรจาผ่านโทรศัพท์ส่วนตัว

  2. ให้กระทรวงต่างประเทศประสานพูดคุยในระดับรัฐมนตรี เพื่อคงท่าทีรัฐต่อรัฐ

  3. ให้กระทรวงกลาโหมเป็นผู้อธิบายเหตุผลทางยุทธศาสตร์ของการปิดด่าน ไม่ใช่โยนความผิดให้ทหาร

  4. เปิดเวทีสาธารณะ ร่วมแถลงกับกัมพูชา (หากตกลงได้) เพื่อรักษารูปภาพระหว่างประเทศ

  5. ในกรณีมีความขัดแย้งภายใน ควรแสดงความเป็นผู้นำด้วยการประสานกองทัพและฝ่ายมั่นคงเพื่อไม่ให้ส่งสัญญาณแตกแยกออกนอกประเทศ


8. สรุป: นายกฯ คนนี้ควรอยู่ในตำแหน่งต่อหรือไม่?

จากเหตุการณ์นี้ เราไม่เพียงเห็นความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์ แต่ยังเห็นว่า:

  • น.ส.แพทองธาร ไม่มีความเข้าใจใน game theory ของการเมืองระหว่างประเทศ

  • ไม่มีวุฒิภาวะและทักษะการควบคุมสถานการณ์ใน crisis diplomacy

  • ไม่มีทีมงานหรือที่ปรึกษาที่กลั่นกรองเส้นทางการสื่อสารและผลกระทบระยะยาวอย่างเพียงพอ

คำตอบคือ: ไม่ควร อยู่ในตำแหน่งต่อหากไม่สามารถชดเชยจุดอ่อนนี้ได้ทันที

ประเทศไทยไม่สามารถฝากอนาคตไว้กับผู้นำที่ “อ่อนชั้นเชิงจนถูกอีกฝ่ายเปิดคลิปมาประจานได้”

การเป็นผู้นำประเทศ ไม่ใช่แค่สวย พูดดี หรือขอความเห็นใจเก่ง — แต่มันต้องแข็งในยามจำเป็น และนุ่มในยามเหมาะสม

ถ้ารัฐบาลนี้ยังยืนยันที่จะอยู่ ต้องปรับทีมทั้งหมด และต้องส่งสัญญาณว่ารู้ตัว และพร้อมพัฒนา ไม่ใช่แค่ซ่อนตัวเงียบหวังให้คลื่นผ่านไป

แต่ถ้าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น... ก็คงเหลือเพียงประโยคเดียว:

“มันจบแล้วครับนาย”

วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2568

เด็กในยุค AI: เมื่อความจริงถูกปลอมได้ แล้วเราจะสอนพวกเขายังไง?

ในยุคที่เด็กโตมากับคลิปปลอม เสียงปลอม และความจริงแบบ AI-generated…

ผู้ใหญ่จะยังมีที่ยืนในใจพวกเขาได้อยู่ไหม?


โลกเปลี่ยนไป…แต่ผู้ใหญ่หลายคนยังคิดแบบเดิม

ทุกวันนี้ เด็กเปิดมือถือมาก็เห็นคลิปที่ดูน่าเชื่อถือกว่าครูที่โรงเรียนเสียอีก
พูดจาฉะฉาน มีกราฟิกประกอบ ใส่ฟิลเตอร์หน้าขาว เสียงหล่อ เสียงใส AI จัดให้หมด

เด็กวัยที่กำลังแยกไม่ออกระหว่างจินตนาการกับความจริง พอเห็นคลิปแบบนี้ซ้ำ ๆ ก็อาจเชื่อไปหมด
และพอผู้ใหญ่พยายามบอกว่า "นั่นของปลอม" เด็กก็ไม่ฟังแล้ว เพราะเขารู้สึกว่าเรา "ไม่เข้าใจยุคเขา"

แย่ไปกว่านั้น คือบางคนห้ามลูกดู ห้ามสงสัย แล้วหวังให้เชื่อคำสั่งอย่างเดียว ซึ่ง...ไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้ว


ห้ามไม่ได้ ก็ต้อง "สอนให้แยกแยะ"

การห้ามไม่ให้เด็กเชื่ออะไรง่าย ๆ ไม่ช่วยอะไรเลย ถ้าไม่ได้สอนให้คิดวิเคราะห์

สิ่งที่ควรปลูก คือ นิสัยสงสัย อย่างมีเหตุผล ไม่ใช่ให้ระแวงไปหมด

  • ชวนถามว่า "ใครเป็นคนพูดในคลิปนี้? เขามีเหตุผลอะไร? ได้ประโยชน์อะไร?"

  • ถ้าเจอคลิปน่าเชื่อแต่ไม่มีแหล่งที่มา ไม่มีข้อมูลอื่นสนับสนุน ให้รู้สึกเฉย ๆ ไว้ก่อน

  • ถ้าคนพูดมั่นใจมาก ไม่ได้แปลว่าเขาพูดถูกเสมอ

เด็กควรได้ฝึกคิด มากกว่าถูกสอนให้จำว่าคลิปไหน "ผิด" หรือ "ถูก"

เพราะถ้าเขาคิดเองได้ ต่อให้เจอคลิปหลอก เขาก็จะไม่หลงเชื่อง่าย ๆ โดยไม่ต้องให้เราคอยเตือน


ความเชื่อไม่ได้เกิดจากข้อมูล แต่เกิดจาก "ความไว้ใจ"

เด็กจะเชื่อใคร ไม่ใช่เพราะใครมีเหตุผลกว่ากัน แต่เพราะเขา "ไว้ใจ" มากกว่า

ดังนั้น ถ้าเราเป็นผู้ใหญ่ที่ไว้ใจได้ – ไม่ตัดสิน ไม่ด่าว่า ไม่ทำให้เขารู้สึกแย่เวลาเล่าอะไรผิด –
เขาจะกลับมาหาเราเสมอ เมื่อสงสัยอะไรในโลกที่เขาอยู่

พูดง่าย ๆ คือ อย่าหวังจะเป็น "แหล่งความรู้" แต่พยายามเป็น "ที่พึ่งทางใจ" แทน

ถ้าเขารู้ว่าเราพร้อมฟัง พร้อมคิดไปด้วยกัน เขาจะเชื่อใจเราเอง โดยไม่ต้องบังคับเลย


เด็กควรมีภูมิคุ้มกัน ผู้ใหญ่ก็ควรเลิกกลัว

อย่ากลัว AI จนเหมารวมว่าอะไรก็ปลอมหมด
อย่ากลัวเด็กฉลาดจนคิดว่าเขาดื้อ

สิ่งที่ควรทำคือ...

  • ให้เขารู้ว่าโลกนี้มีทั้งของจริงและของปลอม แต่อย่าทำให้เขากลัวทุกอย่าง

  • ให้เขารู้ว่าเราก็ไม่รู้ทุกเรื่อง แต่เราพร้อมจะหาคำตอบด้วยกัน

  • ให้เขาเห็นว่าเราเรียนรู้ตลอดเวลา ไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่หยุดอัปเดตตั้งแต่ปี 2005


สุดท้าย…เรากำลังเลี้ยงเด็กให้เติบโตในโลกของเขา ไม่ใช่โลกของเรา

อย่าหวังว่าเขาจะเชื่อเพียงเพราะเรา "เป็นผู้ใหญ่"
แต่ให้หวังว่าเขาจะคิดเป็น เพราะเราเคย "เป็นผู้ใหญ่ที่รับฟัง"

โลกยุคนี้อาจปลอมได้ทุกอย่าง ยกเว้น...ความสัมพันธ์ที่แท้จริง

ให้เขาเห็นว่า "ของจริง" ยังมีอยู่ และเริ่มจากเรา

วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2568

มนุษย์ ผู้มีอำนาจสร้างโลก และทำลายมัน... เพื่อคลิป 8 วินาที

 วันหนึ่งฉันได้ยินว่า คลิปจาก AI อย่าง Veo 3 แค่ความยาว 8 วินาที อาจต้องจ่ายถึง 200 บาท

แปดวินาที — ราคาหนึ่งมื้อข้าว หรือบางทีมากกว่านั้น

คำถามแรกคือ “คุ้มเหรอ?”
แต่คำถามที่ตามมามันลึกกว่านั้นเยอะ... “แล้วเรากำลังจ่ายเพื่ออะไร?”


ค่าใช้จ่ายจริงในการสร้างคลิป 8 วินาที

หลังตรวจสอบข้อมูล พบว่า ค่าใช้จ่ายจริง สำหรับการสร้างคลิปด้วย Veo 3 นั้นขึ้นอยู่กับวิธีใช้งาน:

  • หากใช้ผ่าน Google AI Ultra Plan (249.99 ดอลลาร์/เดือน) จะได้เครดิต 12,500 ต่อเดือน ซึ่งตีเป็นคลิป 8 วินาทีได้ราว 83 คลิป
    เฉลี่ยต่อคลิปประมาณ 110–120 บาท

  • หากใช้ผ่าน Google Vertex AI API จะคิดประมาณ 0.50–0.75 ดอลลาร์/วินาที
    ➝ คลิป 8 วินาทีจะอยู่ที่ ประมาณ 150–220 บาท

ดังนั้น การพูดว่า “เสีย 200 บาทต่อคลิป” ไม่ผิดนัก แต่ ควรเข้าใจว่าเป็นราคาสูงสุดในบางกรณีเท่านั้น


ความสามารถอันมหาศาล กับความว่างเปล่าที่ขยายใหญ่

การมี AI ที่สร้างวิดีโอคุณภาพระดับภาพยนตร์ ในเวลาไม่กี่วินาที
มันฟังดูเป็นพลังแห่งยุคใหม่ — เหมือนในนิยายไซไฟ

แต่เมื่อเราดูให้ดี: คนจำนวนมากใช้มันเพื่อสร้าง “คลิปที่ไม่มีใครดู” หรือ “มุกตลกที่ไม่มีใครจำ”
แล้วพลังที่ใช้สร้างสิ่งนั้นล่ะ? มันมาจากไหน?

เซิร์ฟเวอร์ GPU รันทั้งวันทั้งคืน
ไฟฟ้าเป็นเมกะวัตต์ น้ำเป็นล้านลิตร
วิศวกรทั้งทีม เทรนโมเดลเป็นปี

ทั้งหมดเพื่ออะไร?

บางที เพื่อให้มนุษย์คนหนึ่งรู้สึกว่า “กูทำคลิปเจ๋ง ๆ ได้”
แต่ลึก ๆ เรารู้ว่า มันไม่ใช่เราเลยที่ทำ มันคือ AI ล้วน ๆ


ถ้าไม่มี Veo 3 มนุษย์คนนั้นก็ไม่ทำคลิปอยู่ดี

เพราะเขาไม่ใช่คนทำหนัง ไม่ใช่ creator
เขาไม่ได้มีเรื่องเล่าที่อยากเล่า ไม่ได้มีแบรนด์ ไม่ได้ต้องการสื่อสารอะไรกับโลก

แต่พอมี AI ทำให้ทุกอย่างดูง่ายขึ้น
มนุษย์เริ่มผลิต “ความว่างเปล่าที่ดูดี” ปั๊มขึ้นมารัว ๆ

เราบอกตัวเองว่า “มันคุ้ม” เพราะถ้าจ้างคนทำคลิปจริง ๆ จะเสียเงินมากกว่านี้
แต่ลืมคิดว่า “เราไม่เคยอยากทำคลิปจริง ๆ เลยสักครั้ง”


คำว่า "คุ้ม" เป็นภาพลวงตา

เพราะถ้าเราไม่มีจุดประสงค์ที่จะสร้างอยู่แล้ว
ต่อให้สิ่งนั้น “ทำได้ง่าย” หรือ “ราคาถูก”
มันก็ยังไม่มีประโยชน์กับเราอยู่ดี

เหมือนให้พู่กันเทพกับคนที่ไม่อยากวาดรูป
ต่อให้แจกฟรี เขาก็ไม่วาด

แล้วเราจะภูมิใจในอะไรที่ไม่ได้เกิดจากเจตจำนงของเราเองได้จริงหรือ?


AI: เทคโนโลยีเพื่อยกระดับชีวิต หรือเพื่อเร่งการเผาผลาญโลก?

ทุกวันนี้เราเคยด่า Bitcoin ว่าสิ้นเปลือง
เคยหัวเราะเยาะ NFT ว่าไร้สาระ

แต่เรากลับไม่ตั้งคำถามกับ AI Video Generator ที่ใช้พลังงานมากกว่า
เพื่อเสก “อะไรบางอย่าง” ที่ไม่มีใครเคยถามว่า “มันมีไว้ทำไม”

เรากำลังใช้พลังระดับโรงไฟฟ้า เพื่อสร้าง content ที่ไม่มีความจำเป็นต้องเกิดขึ้นเลย

น้ำสะอาด ล้านลิตร ถูกใช้เพื่อระบายความร้อนให้กับคลาวด์
แร่หายากในโลกถูกขุดขึ้นมาเพื่อเลี้ยง GPU
Carbon emission เพิ่มขึ้นทุกวินาที

ทั้งหมดนี้ — เพื่อคลิป 8 วินาที ที่ไม่มีคนแชร์


แล้วเรากำลังไปไหนกันแน่?

เราไม่ได้ใช้ AI เพื่อแก้ปัญหาโลก
แต่ใช้มันสร้าง “ปัญหาใหม่” ที่ใหญ่กว่าเดิม

เราไม่ได้พัฒนาความสามารถมนุษย์
แต่ลดทอนความตั้งใจของมนุษย์ ด้วยการให้เครื่องจักรทำแทนทุกอย่าง

เรากำลังเดินหน้าเข้าสู่อารยธรรมที่ “ฉลาดเกินจะไร้สาระ”
แต่ “ไร้สาระเกินจะรักษาโลกไว้ได้”


ถามตัวเราเอง… ก่อนจะกด prompt ถัดไป

เรามีอะไรที่อยากเล่าไหม?
เรามีเรื่องอะไรที่ควรค่าแก่การสร้างไหม?
ถ้าไม่มี…

บางที การไม่สร้างเลย อาจยังดีกว่าการใช้พลังของโลก เพื่อสร้างความว่างเปล่าที่ดูดี

AI คือพลังอันยิ่งใหญ่
แต่ถ้าเราไม่มีจุดหมายอะไรเลย
มันก็แค่พาเราไปสู่จุดจบ… เร็วขึ้นเท่านั้น

วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2568

เมื่อโลกหยุดเรียนรู้: ภัยเงียบจากการไม่พยายาม

โลกที่ทุกอย่างง่ายเกินไป

เราอยู่ในยุคที่คำว่า "พยายาม" กลายเป็นของล้าสมัย เพราะเทคโนโลยีได้เปลี่ยนการเรียนรู้ให้กลายเป็นเพียงการเสพ — เสพเนื้อหาสั้น เสพเสียงพากย์ปลอม เสพคำแปลผิด ๆ จาก AI ที่ไม่มีใครตรวจสอบ เสพทุกอย่างที่ถูกจัดวางไว้บนจาน โดยไม่ต้องออกแรงหา ไม่ต้องตั้งคำถาม และไม่ต้องคิดต่อยอด

คลิปวิดีโอจากจีนจำนวนมากในปัจจุบัน ใช้เสียงสังเคราะห์ทับเสียงต้นฉบับ ซับไตเติลมั่ว ๆ ที่ผ่านการแปลสองสามชั้นแบบไม่มีบริบท และภาพตัดแปะที่เอามาปั่นยอดวิว ไม่ได้สนคุณภาพ ไม่ได้แคร์ความถูกต้อง แต่กลับเข้าถึงง่ายกว่าเนื้อหาดี ๆ ที่ต้องใช้ความพยายามและการมีวิจารณญาณ

ผลลัพธ์คืออะไร? คือคนรุ่นใหม่ไม่ต้องฟังภาษาอื่น ไม่ต้องตีความ ไม่ต้องฝึกอะไรเลย นอกจากการไถนิ้วไปเรื่อย ๆ การเรียนรู้กลายเป็นเพียงการบริโภคข้อมูลในรูปแบบที่ง่ายที่สุด พร้อมเสียงสังเคราะห์ที่ปลุกอารมณ์และซับที่ "ดูเหมือน" เข้าใจได้ แต่ไม่ได้พาไปสู่การเข้าใจอย่างแท้จริง


เมื่อการไม่พยายามกลายเป็นค่านิยม

ที่สำคัญคือ อย่างน้อยเราต้องมีพื้นฐานภาษาอังกฤษ เพื่อใช้เป็นสะพานผ่านสื่อกลาง ความรู้ดี ๆ ส่วนใหญ่ในยุคอินเทอร์เน็ตยุคแรกไม่ได้มาในภาษาท้องถิ่น แต่เป็นภาษาอังกฤษทั้งสิ้น การจะเข้าใจสิ่งที่เราสนใจ ไม่ว่าจะเป็นบทสัมภาษณ์ ศิลปิน รีวิวหนัง การวิเคราะห์เนื้อเรื่อง หรือแม้แต่แปลคำพูดในเกม เราจำเป็นต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษไปด้วยโดยอัตโนมัติ ซึ่งนั่นกลายเป็นการเปิดประตูสู่ความรู้ที่กว้างกว่าบันเทิงเพียงอย่างเดียว ก่อนหน้านี้ ถ้าใครชอบการ์ตูนญี่ปุ่นหรือเพลงเกาหลี ต้องพยายามเรียนภาษานั้น ต้องฟัง ต้องแกะ ต้องค้นคว้า ต้องอดทนกับความยากของภาษา และสนุกกับการค่อย ๆ เข้าใจมากขึ้นทีละนิด — สิ่งเหล่านี้สร้างทักษะโดยไม่รู้ตัว และฝึกวินัยในกระบวนการเรียนรู้ที่มีคุณค่า

แต่วันนี้ ทุกอย่างถูกแปลมาให้แล้ว (แม้จะแปลผิดก็ตาม) พากย์มาให้แล้ว (แม้จะฟังไม่ได้ก็ตาม — เช่น เสียงสังเคราะห์ที่ไม่มีอารมณ์ ไม่มีจังหวะธรรมชาติ หรือไม่ตรงกับบุคลิกของตัวละครเลย) ความรู้จึงกลายเป็นของไร้ค่า เพราะไม่ต้องออกแรงแลกอีกต่อไป ผู้เสพไม่ต้องแยกแยะว่าอะไรจริง อะไรเทียม แค่พอรู้เรื่องก็เพียงพอแล้ว

คนดูจำนวนมากไม่สนว่าแปลผิด พากย์ห่วย หรือเสียงหลอกเป็นหุ่นยนต์ ขอแค่ "ดูรู้เรื่องพอประมาณ" ก็พอแล้ว ความลึกซึ้งถูกแทนที่ด้วยความตื้นเขิน ความคิดวิเคราะห์หายไป เหลือเพียงการเสพซ้ำซากแบบไม่รู้ตัว ความเคยชินกับสิ่งที่ง่ายทำให้สมองไม่อดทนกับกระบวนการเรียนรู้ที่ต้องใช้เวลาและแรงใจ

การเริ่มต้นจากสื่อบันเทิงที่เข้าถึงง่ายเกินไป ทำให้เกิดพฤติกรรม "พอรู้" แบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ซึ่งลามไปถึงรูปแบบการรับรู้ในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นการเสพข่าวสาร ความรู้ทั่วไป หรือแม้แต่การเรียนหนังสือในระบบ เพราะเมื่อสมองเคยชินกับของง่าย ก็จะไม่ทนกับของยากอีกต่อไป ความไม่พยายามจากความบันเทิงกลายเป็นบ่อเกิดของความไม่พยายามในทุกมิติของชีวิต


โลกในอนาคตที่ไร้คนพยายาม

ถ้าทั้งรุ่นของคนหนุ่มสาววันนี้ เติบโตมาโดยไม่เคยต้องพยายาม — โลกในอีก 10-20 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร?

  • วิศวกรที่ไม่ตั้งคำถามกับสิ่งที่เรียน แต่เชื่อทุกอย่างที่ระบบป้อนให้

  • นักข่าวที่คัดลอกมาจากบล็อก AI โดยไม่ตรวจสอบแหล่งที่มา

  • ครูที่สอนตามสคริปต์จากวิดีโอแปลมั่ว โดยไม่เข้าใจเนื้อหาลึก ๆ

  • นักเรียนที่อ่านไม่แตก ฟังไม่เข้าใจ แต่มั่นใจว่า "พอรู้" เพราะมีคนอื่นสรุปให้หมดแล้ว

ความไม่พยายามจะกลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรม — และมันคือมรดกที่อันตรายที่สุดเท่าที่มนุษยชาติเคยมี เพราะมันบ่อนทำลายรากฐานของความเข้าใจ ความคิดเชิงวิเคราะห์ และความสามารถในการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล ซึ่งเป็นหัวใจของการดำรงอยู่ในโลกที่ซับซ้อนขึ้นทุกวัน

โลกในอนาคตจะเต็มไปด้วยคนที่ "รู้ทุกอย่างผิวเผิน" แต่ไม่มีใครรู้ลึกพอจะสร้าง นำ หรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้จริง


อย่าปล่อยให้เทคโนโลยีเป็นข้ออ้าง

AI ไม่ใช่ศัตรู — การที่ AI สรุปข้อมูลให้ไม่ใช่เรื่องแย่ ในทางตรงกันข้าม มันคือความก้าวหน้าทางเครื่องมือที่น่าทึ่ง แต่ปัญหาใหญ่คือ "กระบวนการของการได้ข้อมูล" ที่ค่อย ๆ ถูกลัดขั้นตอนโดยผู้ใช้เอง

เมื่อผู้ใช้ไม่รู้ว่าต้นทางของข้อมูลมาจากไหน ไม่รู้ว่าผ่านกระบวนการอะไร และไม่ใช้วิจารณญาณตอนรับสารปลายทาง ความรอบรู้และความเข้าใจที่ควรเป็นแกนหลักของการเรียนรู้ก็จะค่อย ๆ หายไป ความเชื่อมั่นในสิ่งที่เข้าใจเพียงผิวเผินจะกลายเป็นกับดักอันตราย และทำให้เกิดความมั่นใจแบบหลอก ๆ ที่พาไปสู่การตัดสินใจผิดพลาดในชีวิตจริง

เทคโนโลยีควรเป็นเครื่องมือที่ขยายศักยภาพมนุษย์ ไม่ใช่เป็นข้ออ้างให้เราหยุดคิด หยุดเรียนรู้ และหยุดพัฒนา การเรียนรู้ที่แท้จริงยังต้องใช้ "ตัวเราเอง" ในการเดินทาง ไม่ใช่แค่ให้ AI แบกเราไปส่งถึงปลายทาง

การไม่พยายามอาจดูสบายในวันนี้ แต่กำลังค่อย ๆ กัดกินอนาคตของโลกในวันพรุ่งนี้ — อย่างเงียบงัน และถาวร และเมื่อถึงเวลานั้น เราอาจไม่มีผู้รู้พอจะพาเรารอดพ้นจากปัญหาที่ซับซ้อนที่สุดของยุคสมัย

อย่าเป็นคนที่ดูเหมือนรู้ เพราะมี AI สรุปให้ — แต่เป็นคนที่ "เข้าใจจริง" เพราะคุณยังเลือกที่จะพยายาม

น้ำอัดลมสีดำสูตรไม่มีน้ำตาล วันละ 500ml อันตรายไหม?

เวลาจะกลัวอะไร อย่ากลัวเพราะ "ความรู้สึก" แต่ให้กลัวด้วย "ข้อมูลจริง + ตัวเลขจริง"

หลายคนแชร์กันว่า "น้ำอัดลมสีดำสูตรไม่มีน้ำตาล" เช่น "น้ำดำซีโร่" หรือ "สูตรไม่มีน้ำตาล" อาจเสี่ยงมะเร็ง หรือพังสุขภาพหากกินบ่อย แต่คำถามคือ... มันเสี่ยงแค่ไหนกันแน่? ถ้าคุณดื่มวันละขวด (500 มิลลิลิตร) มันเข้าขั้นอันตรายหรือยัง?

คำตอบสั้น ๆ คือ:

“ไม่อันตราย” และ “ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าส่งผลให้เป็นมะเร็ง”

🧹 ตรวจสารแต่ละตัวในน้ำอัดลมสีดำสูตรไม่มีน้ำตาล (500ml)

หมายเหตุ: ค่าปลอดภัย ADI คำนวณจากน้ำหนักตัว 60–75 กก.

สาร ปริมาณต่อ 500ml ADI (ปริมาณปลอดภัยต่อวัน) เสี่ยงมะเร็งไหม?
คาเฟอีน ~48 มก. ≤ 400 มก./วัน ❌ ไม่
กรดฟอสฟอริก ~60 มก. ไม่กำหนด ADI ชัด ❌ ไม่
สีคาราเมล (E150d) ~100 มก. ≤ 12,000–15,000 มก./วัน ⚠️ เฉพาะกรณี 4-MEI สูง (แต่ระดับในน้ำดำต่ำมาก)
อะเซซัลเฟม เค (Acesulfame K) ~15–20 มก. 540–675 มก./วัน ❌ ไม่
แอสปาร์แตม (Aspartame) ~20–40 มก. 2,400–3,000 มก./วัน ❌ ไม่ เว้นแต่เป็นโรค PKU
โซเดียมเบนโซเอต (E211) ~50 มก. 300–375 มก./วัน ❌ ไม่ (เว้นแต่เจอกับวิตามินซี)

✅ สรุปสั้น ๆ เข้าใจง่าย

  • ดื่มวันละ 500ml ยังต่ำกว่าระดับอันตรายของทุกสาร แม้ในคนหนักแค่ 60 กก.

  • ไม่มีหลักฐานว่าทำให้เป็นมะเร็ง ถ้าดื่มในปริมาณปกติแบบนี้

  • จะมีผลก็ต่อเมื่อดื่ม "หลายลิตรทุกวัน" เป็นปี ๆ

🧪 แล้วอะไร "เสี่ยงมะเร็ง" กว่าน้ำดำสูตรไม่มีน้ำตาล?

สิ่งที่เสี่ยงกว่าจริง ๆ ความเสี่ยง
☕️ กาแฟวันละ 5 แก้ว กระทบการดูดซึมแคลเซียม
🧳 แอลกอฮอล์ Group 1 สารก่อมะเร็งชัดเจน
🍖 ไส้กรอก เบคอน Group 1 เช่นกัน
🌡️ ควันบุหรี่ / ควันเผาขยะ เสี่ยงสูงและเรื้อรัง
🔥 อาหารไหม้เกรียม สะสมสารพิษในตับ

🦴 แล้วเรื่องกระดูกพรุนล่ะ?

  • กรดฟอสฟอริกและคาเฟอีนในน้ำอัดลมสีดำ อาจมีผลต่อมวลกระดูก หากบริโภคต่อเนื่องในปริมาณมาก โดยเฉพาะในกลุ่มที่ได้รับแคลเซียมต่ำหรือไม่ออกกำลังกาย

  • งานวิจัยจาก Framingham Osteoporosis Study (2006) พบว่า ผู้หญิงสูงวัยที่ดื่มน้ำดำวันละ ≥1 กระป๋องทุกวัน มีมวลกระดูกสะโพกและคอลดลงเมื่อเทียบกับผู้ไม่ดื่ม แต่ไม่พบผลในผู้ชาย

  • งานวิจัยเกาหลี (2015) ในวัยรุ่นและคนหนุ่มสาว พบว่า การดื่มน้ำดำ 4–7 แก้ว/สัปดาห์ มีแนวโน้มมวลกระดูกลดลง โดยเฉพาะในผู้ชาย

  • อย่างไรก็ตาม งานเหล่านี้เป็นการศึกษาเชิงสังเกต (observational) และยังไม่มีข้อสรุปเรื่อง "สาเหตุแน่ชัด"

🔢 คำว่า “กระดูกพรุน” (Osteoporosis) หมายถึงมวลกระดูกลดจน T-score < -2.5 (ตามการตรวจ DEXA scan) แต่การดื่มน้ำดำวันละ 1 ขวด ไม่พอ ที่จะทำให้ถึงจุดนั้นได้ หากไม่มีปัจจัยเสี่ยงร่วมอื่น

  • ถ้าดื่มวันละ 1 ขวด และได้รับแคลเซียมเพียงพอ (จากนมหรืออาหารอื่น) + ออกกำลังกายสม่ำเสมอ = ความเสี่ยงต่ำมาก

⚡️ อย่าเป็น "นักกลัวไร้ตัวเลข"

การกลัวด้วยตรรกะคือการนับ ถ้าอะไรเสี่ยง ก็ต้องรู้ว่า เสี่ยงแค่ไหน
อย่ากลัวเพียงเพราะเคยเห็นโพสต์หนึ่งแชร์ต่อกันมา หรือเพราะคำว่า "สารเคมี"
เพราะแม้แต่น้ำก็อันตรายได้ ถ้ากินเกินขีดจำกัดของร่างกาย

กลัวให้เป็น กลัวให้ฉลาด ไม่ใช่กลัวเพราะอารมณ์

จบข่าว.

วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2568

ชายแดนไทย-กัมพูชา ใครกันแน่ที่ควรได้บทเรียน

ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา คนไทยจำนวนมากเริ่มตั้งคำถามและรู้สึกไม่สบายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาอีกครั้ง รัฐบาลพนมเปญได้ยื่นเรื่องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพื่อให้พิจารณาข้อพิพาทในพื้นที่ชายแดน 4 จุดสำคัญ ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาเมือนโต๊ด, ปราสาทตาควาย และบริเวณช่องบก ซึ่งในอดีตเคยมีข้อพิพาทและไทย-กัมพูชาเคยใช้กลไกทวิภาคีในการจัดการกันอย่างระมัดระวังมายาวนานหลายสิบปี

ใครที่เคยผ่านเหตุการณ์ปราสาทพระวิหารเมื่อสิบกว่าปีก่อน คงรู้สึกเหมือนกันว่าเหตุการณ์นี้คล้ายกันราวกับภาพซ้ำ—การใช้เวทีตุลาการระหว่างประเทศเพื่อยกประเด็นดินแดนกลับขึ้นมาเป็นกระแสร้อนอีกครั้ง สร้างภาพให้ไทยดูเป็นฝ่ายละเมิด แล้วกลับไปใช้ในประเทศตัวเองเพื่อขายความสำเร็จทางการเมืองว่า “เราชนะอีกแล้ว” ทั้งที่ในความเป็นจริง เรื่องเหล่านี้ควรค่อย ๆ เจรจา ไม่ใช่ปั่นเป็นกระแสเพื่อหวังแต้มทางการเมืองภายในประเทศฝ่ายเดียว

กัมพูชาคิดอะไรอยู่?

ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่ายังมีพื้นที่ที่ “ยังตีความไม่ครบ” จากคำตัดสินของศาลโลกปี พ.ศ. 2505 ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ศาลตัดสินเฉพาะเรื่องเขตแดนบริเวณปราสาทพระวิหารเท่านั้น ไม่ได้พูดถึงหรือวางเขตแดนใหม่ในพื้นที่อื่น แต่ทางกัมพูชากลับนำคำพิพากษาเดิมมาขยายตีความ หวังจะดึง ICJ กลับมาใช้เป็นเครื่องมืออีกรอบ ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำตัดสินเดิมโดยตรง

สิ่งที่หลายคนตั้งคำถามคือ ทำไมเรื่องนี้ถึงถูกหยิบยกขึ้นมา “ตอนนี้”? เหตุผลไม่ยากจะเข้าใจ—การเมืองภายในกัมพูชากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ผู้นำรุ่นลูกอย่างฮุน มาเนต ยังไม่มีฐานที่มั่นคงเท่าพ่อ ระบบเศรษฐกิจเริ่มฝืดเคือง ความเชื่อมั่นในรัฐบาลก็ไม่เต็มร้อย แล้วอะไรจะง่ายกว่าการสร้างศัตรูภายนอก? ยื่นฟ้องไทย ปลุกความรู้สึก “เราถูกคุกคาม” แล้วหันเหความสนใจจากปัญหาภายใน กลายเป็นวาทกรรมชาตินิยมที่ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย

ไทยอยู่ตรงไหน?

ฝ่ายไทยโดยรัฐบาลออกมายืนยันอย่างชัดเจนว่าไม่รับรองเขตอำนาจของศาลโลกในกรณีนี้ เพราะเห็นว่าไม่ได้เป็นข้อพิพาทใหม่ และอยู่นอกกรอบคำพิพากษาเดิม ไทยยืนยันที่จะเดินหน้าบนกลไกที่เคยตกลงกันไว้ เช่น MOU ปี 2543 และคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ซึ่งเป็นเวทีที่สองฝ่ายเคยใช้เจรจาด้วยดีมาโดยตลอด

แต่ในขณะเดียวกัน กระแสความไม่พอใจในหมู่ประชาชนก็เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ สื่อหลายสำนักเริ่มรายงานข่าวเข้มขึ้น โซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยเสียงสะท้อนว่า “อีกแล้วเหรอ?” และที่สำคัญคือ ข่าวจากชายแดนก็ไม่ใช่เรื่องเงียบสงบอีกต่อไป มีรายงานว่าทหารไทยต้องยิงเตือนหรือไล่กลับกองกำลังจากฝั่งกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามาในพื้นที่พิพาท ซึ่งยิ่งตอกย้ำว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เกมการเมืองในห้องประชุม แต่เริ่มลามมาถึงพื้นที่จริงที่มีชีวิตของผู้คน

หลายคนในสังคมไทยเริ่มหมดความอดทน ความรู้สึกว่า “ไทยใจเย็นมาตลอด แต่กลับโดนเล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า” เริ่มสะสมและปะทุขึ้นใหม่

**ย้อนดูพัฒนาการของข้อพิพาทชายแดน

  • พ.ศ. 2505 – ศาลโลก (ICJ) มีคำตัดสินให้กัมพูชามีสิทธิ์เหนือ ตัวปราสาทพระวิหาร แต่ไม่ได้ตัดสินเส้นเขตแดนรอบปราสาททั้งหมด

  • พ.ศ. 2543 – ไทย-กัมพูชา ทำ MOU เรื่องการจัดทำแผนที่ร่วมกัน (Joint Boundary Commission - JBC) เป็นเวทีแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี

  • พ.ศ. 2551–2554 – เกิดเหตุปะทะหลายครั้งที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อกัมพูชาเสนอขึ้นทะเบียนมรดกโลกโดยไม่ผ่านไทย

  • พ.ศ. 2556 – ICJ ตีความใหม่ ให้กัมพูชามีสิทธิ์เหนือ “บริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหาร” แต่ไม่ได้ขยายเขตแดนอื่น

  • พ.ศ. 2567–2568 – รัฐบาลกัมพูชายื่นคำร้องใหม่ต่อ ICJ หวังขยายพื้นที่อีก 4 จุด ซึ่งไทยมองว่า “เกินจากคำพิพากษาเดิม”

เห็นได้ชัดว่าไทยใช้แนวทางกฎหมายและการเจรจามาตลอด แต่ฝ่ายกัมพูชากลับวนกลับมาเล่นเกมเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ไทยควรเดินเกมอย่างไร?

นี่ไม่ใช่เวลาจะอ่อนข้อ และก็ไม่ใช่เวลาที่ควรหัวร้อนเสียหลัก เราต้องเล่นเกมนี้อย่างมีศักดิ์ศรี ชัดเจน แข็งแรง และไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือของการเมืองเพื่อนบ้านอีกต่อไป

  1. อย่าให้ ICJ ถูกใช้เป็นเวทีโฆษณาการเมือง

    • ไทยควรยืนยันไม่รับเขตอำนาจของศาลในกรณีนี้อย่างชัดเจน พร้อมระบุว่าประเด็นเหล่านี้ควรแก้ไขผ่านกลไกที่ตกลงกันไว้ เช่น JBC ไม่ใช่กระโดดข้ามขั้นตอนมาสู่เวทีโลก

  2. เปลี่ยนพื้นที่พิพาทเป็นพื้นที่ผลประโยชน์ร่วม ไม่ใช่ผลประโยชน์ฝ่ายเดียว

    • ถ้าจำเป็นต้องหาทางออกเฉพาะหน้า ไทยควรเสนอรูปแบบ “เขตพัฒนาร่วม” ที่ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์เท่าเทียม ไม่ใช่การที่ไทยถอย แล้วอีกฝ่ายใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

  3. ตั้งผู้แทนที่มีวุฒิภาวะจริง ไม่ใช่คนเอาคะแนนเสียง

    • การส่งนักการทูตอาวุโส ผู้รู้ทางประวัติศาสตร์ หรือผู้นำชุมชนที่มีน้ำหนัก จะช่วยเจรจาได้อย่างมีเหตุผล และหลีกเลี่ยงการปลุกกระแสเกลียดชังที่ไม่จำเป็น

  4. เปิดพื้นที่ให้คนไทยแสดงพลังแบบมีวิจารณญาณ

    • ควรกระตุ้นให้ประชาชนรู้เท่าทันว่าเราถูกลากเข้าสู่เกมการเมืองของประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ใช่ให้เกลียดคนเขมรทั้งชาติ แต่ควรโฟกัสไปที่พฤติกรรมของผู้นำที่ใช้กลยุทธ์ซ้ำซาก

  5. ใช้เวทีโลกยืนยันความเป็นผู้ใหญ่ของไทย

    • สื่อสารไปยังประชาคมโลกว่าไทยยึดมั่นในกติกา แต่ก็ไม่ยอมให้ใครมาใช้กระบวนการตุลาการเพื่อหาแต้มทางการเมืองฝ่ายเดียว หากจะมีใครต้องเสียเครดิต ควรเป็นผู้ที่เปิดเกมแบบนี้เอง

ไม่ใช่ครั้งแรก และจะไม่ใช่ครั้งต่อไปโดยไม่มีราคา

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้นำกัมพูชาบางคนใช้ไทยเป็นเครื่องมือในการเบี่ยงเบนความสนใจประชาชนของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นยุคฮุน เซน หรือเครือข่ายเดิม ๆ วาทกรรมก็วนกลับมาแบบเดิม—ดินแดน, ปลุกกระแส, ฟ้องศาล, สร้างภาพ แล้วจบลงที่คนไทยต้องตอบคำถามในเวทีระหว่างประเทศอีกครั้ง

แต่ครั้งนี้ควรต่างออกไป

ถ้ากัมพูชายังเลือกเดินทางเดิม ไทยควรทำให้เขาได้บทเรียน ว่าการใช้เวทีโลกเพื่อจุดประสงค์ทางการเมืองในประเทศ ย่อมมีราคาที่ต้องจ่าย ไม่ใช่ด้วยกระสุนหรือกำลังทหาร แต่เป็นด้วยภาพลักษณ์ ความเชื่อถือ และแรงต้านในระดับภูมิภาค ซึ่งเขาเองก็หลีกเลี่ยงไม่ได้

ไทยไม่จำเป็นต้องอยากให้เพื่อนบ้านล่มจม แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นตัวประกอบซ้ำ ๆ ในบทละครการเมืองของเขาทุกยุคทุกสมัย

แต่ในความเป็นจริง หลายคนก็เริ่มรู้สึกว่าไทย “แข็งกร้าวไม่จริง” แค่แสดงท่าทีขึงขังทางวาทกรรม แต่กลับไม่มีการตอบโต้อย่างเด็ดขาด หรือไม่มีการเดินเกมทางการทูตและกฎหมายที่รวดเร็วและมั่นคงพอ การปล่อยให้เรื่องนี้ยืดเยื้อโดยไม่มีท่าทีชัดเจนอาจทำให้กลายเป็นการ “ดึงเกม” ที่ส่งผลเสียกับไทยเองในระยะยาว เพราะประวัติศาสตร์เคยสอนเราแล้วว่า การนิ่งเกินไปอาจนำไปสู่สถานการณ์ที่คล้ายกับกรณีปราสาทพระวิหาร ที่สุดท้ายไทยถูกตัดสินให้เสียเปรียบและไม่สามารถเรียกกลับมาได้อีก

ประเทศไทยไม่ใช่สนามซ้อมของคนที่ชอบใช้ “ความเกลียด” เป็นอำนาจในการปกครอง

ไทยมีอะไรต้องเสีย ถ้าเดินเกมพลาด?

  • อธิปไตยในพื้นที่พิพาท ที่เคยรักษาไว้ด้วย MOU อาจถูกตีความให้เสียเปรียบโดยศาลโลก หากฝ่ายไทยไม่เตรียมข้อมูลและหลักฐานให้ครบถ้วน

  • ผลกระทบต่อชุมชนชายแดน – การฟ้องร้องและข่าวลือสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านและธุรกิจในพื้นที่ ซึ่งอาจสูญเสียสิทธิ์ในที่ดินหรือเส้นทางสัญจร

  • ภาพลักษณ์ความมั่นคงของรัฐ – หากรัฐบาลแสดงท่าทีลังเลหรือประนีประนอมเกินควร จะกระทบความเชื่อมั่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ

  • กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ – หากยอมให้การตีความใหม่ของกัมพูชาเกิดผลสำเร็จ อาจมีประเทศอื่นเลียนแบบการใช้ศาลโลกเพื่อขยายเขตแดนในอนาคต

และในมุมของคนไทยเอง เราก็ต้องระวังไม่ให้ถูกใช้เป็นเบี้ยล่างทางการเมืองโดยรัฐบาลของเราเอง เพราะช่วงเวลาที่ประเด็นชายแดนถูกจุดขึ้นมานั้น มันดันไปตรงกับกระแสข่าวใหญ่ในประเทศพอดี—ทั้งเรื่องอดีตนายกฯ ทักษิณที่ไม่ต้องติดคุกจริงจัง ทั้งเรื่องงบประมาณกลาโหมที่เพิ่มขึ้นสวนทางกับความเดือดร้อนของประชาชน

หลายฝ่ายเริ่มตั้งข้อสังเกตว่า ฝ่ายบริหารอาจกำลังใช้ประเด็นความมั่นคงระหว่างประเทศมาทำให้ประชาชนเบนความสนใจออกจากปัญหาในประเทศ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเวลาที่ประชาชนจำนวนมากกำลังตั้งคำถามต่อกระบวนการยุติธรรมที่ดูเหมือนจะเอื้อประโยชน์ให้กับผู้มีอำนาจ เช่น กรณีอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่ได้รับการลดหย่อนโทษจนแทบไม่ต้องรับโทษจำคุก ทั้งที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดชัดเจน นอกจากนี้ ยังมีประเด็นงบประมาณกลาโหมที่เพิ่มขึ้นสวนทางกับเศรษฐกิจของประชาชน ที่ยังคงเผชิญกับค่าครองชีพสูง รายได้ไม่พอรายจ่าย และบริการสาธารณะที่ถดถอย

รัฐบาลเองก็เงียบกับปัญหาเหล่านี้ แต่กลับแสดงท่าทีแข็งกร้าวเมื่อมีเรื่องชายแดน กลายเป็นการสร้างภาพว่ารัฐบาล “ปกป้องประเทศ” ทั้งที่อาจเพียงใช้กระแสดังกล่าวเพื่อกลบเสียงวิจารณ์ในประเทศให้เบาลง

เพราะงั้น เรื่องนี้ไม่ใช่ “win-win” อย่างที่บางคนพยายามวิเคราะห์ แต่เป็นการที่กัมพูชาได้กระแสชาตินิยม ส่วนไทยเองก็อาจแค่ได้ “เบี่ยงข่าวชั่วคราว” โดยแลกกับศักดิ์ศรีระยะยาว

และถ้ากัมพูชาคิดว่าเหตุการณ์จะจบแบบเดิม—แบบที่ได้หน้า ได้แต้ม ได้กระแสในประเทศไปอีกครั้ง

ก็ต้องบอกให้ชัดไว้ตรงนี้เลยว่า สำหรับคนไทยจำนวนมาก เรื่องนี้ไม่ใช่การเล่นละครแบบ win-win อย่างที่บางคนวิเคราะห์กันว่ากัมพูชาได้ปั่นกระแสชาตินิยม ส่วนไทยก็ได้เบี่ยงเบนความสนใจจากประเด็นในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการที่อดีตนายกฯ อย่างทักษิณไม่ต้องติดคุก หรือปัญหางบประมาณกลาโหมที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีเหตุผลชัดเจน

ถ้าใครกำลังเล่นเกมแบบนั้นจริง ๆ — เอาความมั่นคงของชาติ เอาอธิปไตยมาใช้กลบข่าวในประเทศ — นั่นคือการหักหลังประชาชนโดยตรง

ประเทศไทยต้องจริงจังกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะต้องสู้กับกัมพูชาอย่างเดียว แต่เพราะเราต้องไม่ปล่อยให้ใครในประเทศใช้วิกฤตระหว่างประเทศมาปกปิดความล้มเหลวของตัวเอง

Elite Zoo

ในอาณาจักรเซลูเวีย — ดินแดนที่ฤดูหนาวกินเวลานานกว่าความหวัง และคำสวดมนต์กลายเป็นส่วนหนึ่งของกลไกการปกครอง — มีกรงทองตั้งอยู่กลางเมืองหลวง ไม่ใช่กรงในแบบที่คนธรรมดาเข้าใจ แต่เป็นเขาวงกตแห่งเกียรติภูมิที่ถูกหล่อหลอมจากความจำเป็นทางอำนาจและความกลัวที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น ราวกับกรรมพันธุ์ของบาป

ภายในกรงนั้น ไม่มีสัตว์ร้าย ไม่มีนักโทษ มีเพียงเงาของสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่า “ผู้ปกครองโดยชอบธรรม” พวกเขาถูกเลี้ยงดูด้วยนิทานที่ว่าทุกลมหายใจของพวกเขาคือพรของแผ่นดิน และทุกย่างเท้าแม้จะเหยียบพรม ยังสั่นสะเทือนสวรรค์ พวกเขาใช้ชีวิตท่ามกลางผ้ากำมะหยี่ ผนังบุด้วยคำสรรเสริญ และเพดานที่สะท้อนเฉพาะภาพของตนเอง ไม่มีหน้าต่างให้เห็นความจริง ไม่มีกระจกที่หักสะท้อนความลวง

ประชาชนภายนอกต่างภาวนาในความเงียบ พวกเขาไม่รู้ว่าภาษีที่จ่ายนั้นถูกเปลี่ยนเป็นน้ำหอมในห้องเครื่อง หรือเป็นทองที่หล่อกรอบรูป พวกเขาได้แต่ก้มหน้า ยอมรับสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจเหมือนเชลยที่จำคำอธิษฐานได้แม้ไม่รู้ความหมาย และเมื่อเวลาผ่านไป ความไม่เข้าใจก็กลายเป็นความเคยชิน ความเคยชินกลายเป็นพันธะ และพันธะกลายเป็นบ่วงคล้องวิญญาณ

กรงนั้นมีชื่อหลายชื่อ บางคนเรียกมันว่า “เกียรติยศ” บางคนว่า “ประเพณี” แต่สำหรับคนที่ยังกล้าคิด พวกเขาเรียกมันว่า “สวนจัดแสดงของอีลิท” — เพราะไม่มีอะไรเติบโตที่นั่น มีเพียงการจัดวางที่ประณีตเกินจริง ราวกับกลบเสียงร้องขอความจริงด้วยกลีบดอกไม้ประดิษฐ์ ผู้อยู่ในกรงไม่สำนึกว่าตนถูกขัง เพราะทุกสิ่งที่เขาได้ลิ้มรสมันหวาน ทุกเสียงรอบตัวคือเสียงสรรเสริญ และทุกบทสนทนาที่เขาได้ยินคือการย้ำเตือนว่าตนสำคัญยิ่งกว่าชีวิต

ผู้อยู่อาศัยในกรงทองมิได้พูด พวกเขายิ้มด้วยริมฝีปาก แต่ไม่มีแววตา พวกเขาแสดงความห่วงใยที่ถูกจัดสคริปต์แล้วส่งผ่านลำโพงในพิธีการ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขารู้จักความห่วงใยจริง ๆ หรือไม่ — เหมือนพระเจ้าที่อยู่ในบทสวดมากกว่าชีวิตจริง พวกเขาสบาย และต้องการสบายไปเรื่อย ๆ เพราะความสบายคือสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ให้ยึดเหนี่ยว ความหมายอื่นถูกแทนที่ด้วยผืนพรม ผ้าม่าน และภาพถ่ายประดับกรอบทอง

ในค่ำคืนหนึ่ง หญิงชราในหมู่บ้านห่างไกลกล่าวกับหลานของตนว่า “เราถูกสอนให้ศรัทธา เพราะการตั้งคำถามคือบาป” เด็กชายคนนั้นมองออกไปยังพระจันทร์ และคิดในใจว่า “แต่ถ้าศรัทธานั้นไม่ได้มาจากหัวใจ แล้วมันคืออะไร?” เขาไม่ได้กลัวคำตอบ เขากลัวว่าทั้งชีวิตของเขาอาจไม่มีสิทธิ์ถามคำถามนี้ซ้ำอีก

สวนแห่งนี้ไม่เคยมีเสียงตะโกน มีเพียงเสียงกระซิบ และเสียงกระซิบก็ถูกตีความว่าเป็นการยั่วยุ ความเงียบถูกยกย่องเป็นจริยธรรม และความกลัวถูกตีความว่าเป็นความภักดี คนที่ดูแลกรงก็ไม่ได้อยากให้มันหายไป พวกเขาเองก็ผูกชะตากับกรงทองนี้เช่นกัน เพราะถ้ากรงหาย อำนาจของพวกเขาก็จะจางไปกับลมหายใจของผู้ถูกลืม

จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาเยือนอีกครั้ง — ใบไม้ไม่เปลี่ยนสีทันที แต่เริ่มร่วงลงทีละใบ เหมือนศรัทธาที่หลุดจากใจคนทีละหยด เสียงจากในกรงจึงดังขึ้นด้วยความสั่นเทา: “พอเถอะ... ถ้าเรามีอยู่เพียงเพื่อให้คนอื่นก้มหน้า ก็ปล่อยให้เราหายไปเถิด” แต่นั่นไม่ใช่เสียงของการสำนึก มันเป็นเพียงเสียงของคนที่กลัวจะสูญเสียความสบายมากกว่าจะเรียกร้องความเปลี่ยนแปลง

และแล้ว ไม่มีการลุกฮือ ไม่มีเลือด ไม่มีคำสาปแช่ง มีเพียงการหันหลังกลับของคนธรรมดาที่เบื่อจะเชื่อในสิ่งที่ไม่มีคำอธิบาย และเมื่อคนธรรมดาหันหลัง กรงทองก็เงียบลง ราวกับว่าผู้ที่ถูกขังอยู่ในนั้น ไม่ได้ถูกรักษา — แต่ถูกลืม เหลือเพียงเครื่องหมายวรรคตอนสุดท้ายที่ไม่มีใครกล้าปิด

ท้ายที่สุด ทุกคนต่างเดินอยู่ในสวนเดียวกัน — สวนที่บางคนถูกเลี้ยงให้ยิ่งใหญ่เกินมนุษย์ และบางคนถูกฝึกให้เป็นดินที่ยอมรับรากของต้นไม้ที่ไม่เคยออกดอก สวนที่ไม่มีใครปลูกเพิ่ม ไม่มีใครถอนออก มีแต่ความนิ่งงันที่แต่งตัวเป็นความสงบเรียบร้อย

วันอังคารที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2568

เรารักกันแบบนี้ โลกก็เล่นกันมาหมดแล้ว

ความรักในโลกภาพยนตร์ไม่เคยเป็นเรื่องง่าย เพราะถ้ารักกันปกติ ๆ ก็คงไม่มีใครอยากดู แต่ถ้ารักกันทั้งที่ "ตาบอด หูหนวก ความจำเสื่อม เป็นบ้า" นี่สิ ถึงจะกลายเป็นตำนาน หลายสิบปีที่ผ่านมาวงการหนังใช้ความเจ็บปวด ความไม่สมบูรณ์ และพรมแดนของการรับรู้ มาเป็นเครื่องมือพิสูจน์ว่ารักแท้นั้นยังมีอยู่ แต่มุกเหล่านี้…เราเล่นกันมา หมดแล้ว

ในฐานะผู้ติดตามแนวโรแมนติกดราม่าจากมุมมองของศาสตร์ภาพยนตร์ อุปสรรคที่ถูกนำมาใช้ในพล็อตลักษณะนี้ มักไม่ใช่เพียงอุปสรรคภายนอกเช่นฐานะหรือระยะทาง แต่คือ อุปสรรคทางประสาทสัมผัส ความทรงจำ และจิตสำนึก — ซึ่งเป็น "องค์ประกอบชั้นใน" ที่ท้าทายที่สุดของความรัก นั่นทำให้พล็อตประเภทนี้กลายเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการขุดลึกถึงรากฐานของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ในระดับจิตวิญญาณ


1. ตาบอด แต่ใจยังมองเห็น

  • ตัวอย่าง: Always (2011), At First Sight (1999), Blind (2011)

  • อุปสรรค: การขาดการรับรู้ทางสายตา ทำให้ความรักไม่อิงรูปลักษณ์

  • ความรู้สึกที่ส่งถึงผู้ชม: บีบหัวใจด้วยความเปราะบางและความใกล้ชิดที่อิงเสียง กลิ่น และการสัมผัส เป็นการพิสูจน์ว่ารักแท้ไม่จำเป็นต้อง "มองเห็น"

2. หูหนวก/ใบ้ แต่เข้าใจกันได้

  • ตัวอย่าง: Children of a Lesser God (1986), The Shape of Water (2017)

  • อุปสรรค: ไม่มีช่องทางการสื่อสารด้วยคำพูด

  • ความรู้สึกที่ส่งถึงผู้ชม: ความเงียบถูกยกระดับเป็นบทสนทนา ความเข้าใจเกิดขึ้นจากภาษากาย แววตา การแตะต้อง ทำให้ผู้ชม "ฟัง" ด้วยใจมากกว่าหู

3. ความจำเสื่อม แต่รักฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก

  • ตัวอย่าง: Random Harvest (1942), The Vow (2012), Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004), 50 First Dates (2004)

  • อุปสรรค: การสูญเสียความทรงจำซึ่งคือแก่นของตัวตน

  • ความรู้สึกที่ส่งถึงผู้ชม: ความรักที่ยืนหยัดได้แม้ไม่มีความทรงจำเป็นเหมือนการยืนยันว่าความผูกพันคือสิ่งที่ฝังอยู่ลึกกว่าความจำ

4. เป็นบ้า แต่ยังจำกันได้คลับคล้ายคลับคลาว

  • ตัวอย่าง: Oasis (2002), A Beautiful Mind (2001), Girl, Interrupted (1999)

  • อุปสรรค: ภาวะจิตเวชที่ทำให้ความสัมพันธ์ไม่มั่นคง

  • ความรู้สึกที่ส่งถึงผู้ชม: ความรักกลายเป็นสมดุลเดียวที่ยึดโยงชีวิต สะท้อนให้เห็นถึงความเมตตา การให้อภัย และความอดทน

5. คนละโลก คนละเวลา คนละภพ

  • ตัวอย่าง: Your Name (2016), The Time Traveler's Wife (2009), The Lake House (2006), Il Mare (2000)

  • อุปสรรค: พรมแดนของกาลเวลาและมิติ

  • ความรู้สึกที่ส่งถึงผู้ชม: สร้างความโรแมนติกแบบเหนือจริง แฝงปรัชญาเรื่องพรหมลิขิต และความยั่งยืนของความรู้สึกแม้ไม่เคยได้อยู่พร้อมกัน

6. ตายไปแล้ว แต่ยังรักอยู่

  • ตัวอย่าง: Ghost (1990), Always (1989), Be With You (2004 / 2018)

  • อุปสรรค: ความตายเป็นขอบเขตสุดท้ายของชีวิตคู่

  • ความรู้สึกที่ส่งถึงผู้ชม: ผสมความเศร้ากับความหวัง ความรักไม่สิ้นสุดแม้สิ้นลมหายใจ เป็นการปลอบโยนผู้สูญเสียผ่านความแฟนตาซี

7. อยู่ใกล้กัน แต่จำกันไม่ได้ (เพราะเหตุบางอย่าง)

  • ตัวอย่าง: Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004), Random Harvest (1942), Only Yesterday (1991)

  • อุปสรรค: ความทรงจำที่สูญหายหรือถูกลบ

  • ความรู้สึกที่ส่งถึงผู้ชม: ความทรงจำคือสิ่งเปลี่ยนแปลงได้ แต่ความรู้สึกดี ๆ ที่แท้จริงยังฝังอยู่ เป็นการตั้งคำถามว่า "เราคือใคร ถ้าไม่มีอดีต?"

8. ความรักที่ต้องดูแลกันในสภาวะป่วยหนัก / อัมพาต

  • ตัวอย่าง: Me Before You (2016), The Theory of Everything (2014)

  • อุปสรรค: การพึ่งพากายภาพระหว่างกันแบบไม่เท่าเทียม

  • ความรู้สึกที่ส่งถึงผู้ชม: ความรักกลายเป็นการให้โดยไม่มีเงื่อนไข แฝงความเจ็บปวดแบบลึกซึ้งระหว่างความรักกับความสงสาร

9. รักข้ามความแตกต่างทางร่างกาย จิตใจ หรือพันธุกรรม

  • ตัวอย่าง: Her (2013), Blade Runner 2049 (2017), Wonder (2017), Mask (1985)

  • อุปสรรค: ร่างกาย จิตสำนึก หรือสายพันธุ์ที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง

  • ความรู้สึกที่ส่งถึงผู้ชม: สะท้อนโลกยุคใหม่ที่ความรักไม่ได้ถูกจำกัดด้วยรูปลักษณ์หรือแม้แต่ความเป็นมนุษย์

10. ความรักที่ไม่มีใครได้พูด ไม่มีใครได้ยิน ไม่มีใครได้แตะต้อง

  • ตัวอย่าง: (ยังไม่ถูกเล่นเต็มรูปแบบ)

  • อุปสรรค: ไม่มีเครื่องมือสื่อสารใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งกาย วาจา หรือแม้แต่การรับรู้ร่วม

  • ความรู้สึกที่ส่งถึงผู้ชม: สุดขั้วของการสื่อสารที่กลายเป็นศิลปะแห่งความเงียบ ความผูกพันในภาวะไร้ความเป็นไปได้


บทสรุป
ไม่ว่าจะตาบอด เป็นบ้า หรือจำกันไม่ได้ โลกของเราก็เล่าเรื่องความรักแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน เพราะมนุษย์ยังคงตั้งคำถามเดิม: “ถ้าเราเอาทุกอย่างออกไปจากความรัก เหลือแค่ใจ ยังรักกันอยู่ไหม?”

จากมุมมองของทฤษฎีภาพยนตร์ พล็อตรักเหล่านี้คือการทดลองที่มนุษย์ใช้ในการสำรวจขีดจำกัดของความสัมพันธ์ ซึ่งหากเปรียบภาพยนตร์เป็นห้องทดลองของอารมณ์ “รักที่มีอุปสรรคภายใน” คือตัวแปรที่เปล่งพลังมากที่สุด และเป็นคำตอบซ้ำ ๆ ที่เรายังอยากได้ยิน…แม้มันจะซ้ำกี่ครั้งก็ตาม

บทวิเคราะห์: จดหมายจากประธานาธิบดีทรัมป์ถึงนายสุริยะ กับสัญญาณการเปลี่ยนแปลงท่าทีของสหรัฐฯ ต่อประเทศไทย

บริบทของจดหมายและความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ วันที่ 7 กรกฎาคม 2025 ประธานาธิบดี Donald J. Trump ส่งจดหมายจากทำเนียบขาวถึง "นายสุริยะ จึงรุ...