วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2568

ค่าไฟฟ้ากับค่าครองชีพ: คนไทยจ่ายแพงหรือถูก เมื่อเทียบกับโลก?

บทนำ

เวลาเราเห็นข่าว “ค่าไฟในสหรัฐฯ หน่วยละเกือบ 8–10 บาท” หรือ “ยุโรปค่าไฟแพงกว่าไทยหลายเท่า” หลายคนอาจจะคิดว่า คนไทยโชคดีแล้วที่ยังจ่ายค่าไฟถูกกว่า แต่ถ้าเทียบกับ รายได้ แล้ว เรื่องนี้อาจพลิกกลับด้านทันที เพราะการดูแต่ “ราคาไฟต่อหน่วย” โดยไม่ดู “กำลังซื้อ” อาจทำให้เข้าใจผิดได้

วันนี้เราจะมาลองดูข้อมูลจริง ทั้งราคาไฟเฉลี่ย และรายได้เฉลี่ยของประเทศชั้นนำกับประเทศในเอเชีย ว่า “ต้องทำงานกี่นาที เพื่อจ่ายค่าไฟ 1 หน่วย (1 kWh)” แล้วสุดท้ายสรุปว่า คนไทยอยู่ตรงไหนของโลก


ตารางเปรียบเทียบค่าไฟ + รายได้เฉลี่ย (2025)

คำนวณจาก:

  • ราคาไฟเฉลี่ยครัวเรือน (GlobalPetrolPrices Q2 2025)

  • รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมง (สถิติจาก BLS, ONS, ABS, StatCan, MHLW, MOM, DOSM, สถิติแรงงานไทย ฯลฯ)

  • คิด “นาทีทำงานต่อ 1 kWh”

ประเทศ ราคาไฟ (USD/kWh) รายได้เฉลี่ย (USD/ชม.) นาทีทำงานต่อ 1 kWh
🇺🇸 สหรัฐฯ 0.181 36.3 0.30 นาที
🇬🇧 อังกฤษ 0.397 25.6 0.93 นาที
🇩🇪 เยอรมนี 0.390 28.0 0.84 นาที
🇫🇷 ฝรั่งเศส 0.202 23.0 0.53 นาที
🇦🇺 ออสเตรเลีย 0.254 35.4 0.43 นาที
🇨🇦 แคนาดา 0.123 27.5 0.27 นาที
🇯🇵 ญี่ปุ่น 0.229 13.3 1.04 นาที
🇰🇷 เกาหลีใต้ 0.126 16.7 0.45 นาที
🇸🇬 สิงคโปร์ 0.234 23.5 0.60 นาที
🇲🇾 มาเลเซีย 0.049 4.1 0.72 นาที
🇹🇭 ไทย 0.127 2.63 2.90 นาที
🇻🇳 เวียดนาม 0.086 2.2 ~2.35 นาที
🇮🇩 อินโดนีเซีย 0.104 2.0 ~3.12 นาที
🇵🇭 ฟิลิปปินส์ 0.192 3.5 ~3.29 นาที
🇮🇳 อินเดีย 0.081 1.9 ~2.56 นาที
🇧🇩 บังกลาเทศ 0.104 1.6 ~3.90 นาที
🇱🇦 ลาว 0.084 1.5 ~3.36 นาที
🇰🇭 กัมพูชา 0.144 1.7 ~5.08 นาที

วิเคราะห์: ทำไมตัวเลขถึงบอกเล่าเรื่องจริงมากกว่าราคาไฟดิบ

  1. ประเทศพัฒนาแล้ว

    • ค่าไฟต่อหน่วยสูงกว่าประเทศกำลังพัฒนา แต่เมื่อเทียบกับรายได้ ภาระจริงต่ำมาก

    • เช่น อเมริกา: ค่าไฟ 1 หน่วย ≈ 0.30 นาทีทำงาน ขณะที่ไทยใช้เวลาเกือบ 3 นาที

  2. เอเชียตะวันออก (ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, สิงคโปร์)

    • ค่าไฟไม่ถูก แต่รายได้สูง → ภาระไฟฟ้าต่อรายได้ต่ำ (0.5–1 นาที/หน่วย)

    • ญี่ปุ่นเป็นข้อยกเว้นเล็กน้อย เพราะโครงสร้างอัตราขั้นบันไดทำให้ค่าไฟช่วงกลาง–สูงแพง

  3. เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ไทย, มาเลเซีย, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, ลาว, กัมพูชา)

    • แม้ค่าไฟ “ถูกกว่า” แต่เพราะรายได้ต่ำ ภาระไฟฟ้าเมื่อเทียบกับค่าแรงกลับสูงกว่า

    • ไทย = 2.9 นาที/หน่วย (เกือบ 10 เท่าของแคนาดา และสูงกว่าเกาหลีใต้ 6 เท่า)

    • กัมพูชา = หนักสุดในภูมิภาค ต้องทำงาน 5 นาที เพื่อจ่ายไฟ 1 หน่วย


สรุป: คนไทยอยู่ตรงไหน?

  • ถ้ามองแค่ “ราคาไฟป้าย” ไทยอยู่ ค่อนข้างถูก เมื่อเทียบกับโลก (หน่วยละ ~3.98 บาท หรือ $0.127)

  • แต่ถ้ามองตาม รายได้เฉลี่ย คนไทยต้องใช้เวลา ทำงาน 2.9 นาที/หน่วย → ภาระจริงสูงกว่าเกือบทุกประเทศพัฒนาแล้ว และสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศด้วย

  • กล่าวอีกแบบ: ไฟบ้าน 300 หน่วย/เดือน

    • ไทย = ~฿1,194 → ต้องทำงาน ~14.5 ชั่วโมงเพื่อจ่ายค่าไฟ

    • สหรัฐฯ = ~฿1,740 แต่ใช้เวลาแค่ 1.5 ชั่วโมง

    • เกาหลีใต้ = ~฿1,200 แต่ใช้เวลาแค่ 6 ชั่วโมง


บทสรุปส่งท้าย

คนไทยไม่ได้จ่ายค่าไฟถูก อย่างที่คิด หากวัดเป็น “ส่วนแบ่งของรายได้” ภาระค่าไฟในไทยกลับ แพงกว่าอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์หลายเท่า

นี่สะท้อนปัญหาใหญ่ของค่าครองชีพ: ไม่ใช่เพราะไฟฟ้าแพงเกินไป แต่เพราะ รายได้ไทยต่ำเกินไป เมื่อเทียบกับมาตรฐานโลก พูดง่าย ๆ คือ ค่าแรงไม่ทันค่าครองชีพ → คนไทยเลยรู้สึกว่า “ใช้ไฟแพง” ทั้งที่ป้ายราคาต่ำกว่า

ดังนั้น ถ้าอยากแก้ภาระค่าไฟจริง ๆ วิธีที่ยั่งยืนกว่าคือ ยกระดับรายได้และผลิตภาพแรงงาน ไม่ใช่แค่กดราคาพลังงาน เพราะสุดท้ายแล้วพลังงานเป็นต้นทุนสากลที่ประเทศพัฒนาแล้วก็เผชิญเหมือนกัน แต่สิ่งที่ทำให้เขา “จ่ายได้สบาย” คือ รายได้สูงกว่า

วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2568

Timeline ความล้มเหลวของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย (2566–ปัจจุบัน)

การเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 ถูกมองว่าเป็นหมุดหมายสำคัญของประชาธิปไตยไทย เพราะเป็นครั้งแรกที่พรรคก้าวไกลสามารถกวาดที่นั่งได้มากที่สุด และเสนอพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ขึ้นเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แต่ด้วยโครงสร้างการเมืองและบทบาทของวุฒิสภาที่แต่งตั้งโดย คสช. ทำให้เพื่อไทยพลิกเกมร่วมมือกับฝ่ายเดิม จัดตั้งรัฐบาลและแย่งเก้าอี้นายกฯ ได้สำเร็จ เหตุการณ์นี้ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของรัฐบาลที่เต็มไปด้วย วิบากกรรม ความล้มเหลว และข้อครหาความชอบธรรม ที่ตามมาจนถึงปัจจุบัน


14 พฤษภาคม 2566: เลือกตั้งที่ก้าวไกลชนะ แต่เพื่อไทยกลับได้อำนาจ

  • ก้าวไกล: 151 ที่นั่ง (อันดับ 1)

  • เพื่อไทย: 141 ที่นั่ง (อันดับ 2)

  • ดีลการเมือง: เพื่อไทยจับมือกับพรรคสาย คสช. และพรรคอนุรักษ์นิยมอื่น ๆ เพื่อปิดทางก้าวไกล

  • ประชาชนจำนวนมากรู้สึกว่าถูกปล้นชัยชนะ เพราะพรรคที่ชนะอันดับหนึ่งกลับถูกกันออกจากการจัดตั้งรัฐบาล

  • ความรู้สึกนี้ฝังลึก และเป็นต้นตอความไม่เชื่อมั่นในรัฐบาลใหม่ตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำงาน


22 สิงหาคม 2566: เศรษฐา ทวีสิน ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30

  • เศรษฐา นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากแสนสิริ ได้รับเสียงโหวต 482 เสียงจากรัฐสภา

  • ถูกมองว่าเป็น “นายกฯ โควตานายทุน” ของตระกูลชินวัตร ไม่ได้มีฐานทางการเมืองของตัวเอง

  • จุดอ่อนชัดเจนตั้งแต่วันแรก: ขาดความ正当 (legitimacy) ทั้งในสายตาประชาชนและฝ่ายการเมืองอื่น ๆ

ความสำเร็จและการบริหารของเศรษฐา

  • มีการพยายามสร้างความเชื่อมั่นต่อต่างประเทศ โดยเดินทางเยือนหลายประเทศเพื่อเชื่อมโยงการลงทุน

  • ผลักดันแนวคิดเศรษฐกิจดิจิทัลและ Green Economy แต่ไม่สามารถทำให้เกิดผลรูปธรรม

  • สามารถรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทในช่วงต้น แต่ขาดมาตรการระยะยาว

ความล้มเหลวและปัญหาช่วงเศรษฐา

  • ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท — งบ 5.6 แสนล้าน ติดข้อกฎหมายการคลังและถูกมองว่าเป็นประชานิยมสุดโต่ง → ไม่สามารถเดินหน้าได้จริง

  • ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท/วัน — ประกาศชัดตอนหาเสียง แต่เมื่อถึงเวลาจริงกลับเลื่อนและหลบเลี่ยง

  • เงินเดือนบัณฑิต 25,000 บาท — ไม่เคยถูกนำเข้าสู่การพิจารณาอย่างจริงจัง

  • พักหนี้เกษตรกร 3 ปี — ทำได้บางส่วน มีเงื่อนไขมาก และคนเข้าถึงจริงน้อย

  • Soft Power — จัดอีเวนต์ใหญ่โต เช่น Thai Festival แต่ไม่มีผลเศรษฐกิจชัดเจน ถูกมองว่าเป็นเพียงการประชาสัมพันธ์

แรงกดดันที่บีบเศรษฐา

  1. ฝ่ายค้าน: จัดหนักทั้งในสภาและนอกสภา ซัดว่านโยบายเพ้อฝัน ไร้การคำนวณจริง และยื่นตรวจสอบผลประโยชน์ทับซ้อน

  2. สังคมและตลาดทุน: นักลงทุนไม่เชื่อมั่น ตลาดหุ้นผันผวน ภาคธุรกิจวิจารณ์ว่ารัฐบาลขาดวิสัยทัศน์

  3. ภายในพรรคเพื่อไทย: กลุ่มชินวัตรเริ่มขยับ เตรียมดันแพทองธารขึ้นแทน มองว่าเศรษฐาเป็นเพียงนายกฯ ชั่วคราว


สิงหาคม 2567: การลาออกของเศรษฐา

  • เศรษฐาเผชิญแรงกดดันจากทุกทิศทาง ทั้งฝ่ายค้าน สังคม และภายในพรรคเอง

  • คดีผลประโยชน์ทับซ้อนถูกเตรียมผลักเข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้สถานะสั่นคลอน

  • เพื่อไทยส่งสัญญาณชัดเจนว่าอยากเปลี่ยนผู้นำ โดยดันแพทองธารขึ้นแทน

  • สุดท้ายเศรษฐาตัดสินใจลาออกในเดือนสิงหาคม 2567 กลายเป็น “นายกฯ ขัดตาทัพ” ที่อยู่เพียง 1 ปีเศษ


16 สิงหาคม 2567: แพทองธาร (อุ๊งอิ๊ง) ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31

  • แพทองธาร ชินวัตร ได้รับเลือกขึ้นแทนตามความคาดหมาย

  • สังคมตั้งข้อสงสัยหนักว่าเพื่อไทยใช้เศรษฐาเป็นเพียงสะพาน เพื่อให้คนในตระกูลได้กลับมากุมอำนาจโดยตรง

  • กระแส “รัฐบาลตระกูลชินวัตร” กลับมาชัดเจนอีกครั้ง

การบริหารและความสำเร็จของแพทองธาร

  • มีการสร้างความนิยมจากฐานเสียงคนรุ่นใหม่ในช่วงต้น ด้วยภาพลักษณ์ที่สดใหม่และเป็นผู้หญิงรุ่นใหม่

  • เดินหน้านโยบายด้านสวัสดิการ เช่น ขยายโครงการช่วยเหลือครอบครัวรายได้น้อยและโครงการอาหารกลางวันโรงเรียน

  • พยายามดันนโยบายพลังงานสะอาด แต่ยังอยู่ในระดับแผนงานมากกว่าการปฏิบัติจริง

ความล้มเหลวและข้อครหาของแพทองธาร

  • นโยบายเศรษฐกิจหลักไม่เดินหน้า เช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่ยังค้าง

  • ถูกโจมตีว่าขาดประสบการณ์ทางการเมืองและการบริหาร จนตัดสินใจผิดพลาดหลายครั้ง

  • ปัญหาการแต่งตั้งบุคคลในตำแหน่งสำคัญถูกวิจารณ์ว่ามีการเอื้อคนใกล้ชิดและเครือข่ายตระกูล

  • สุดท้ายเผชิญคดีคุณสมบัติและถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่


1 กรกฎาคม 2568: ศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่

  • ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้แพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีชั่วคราว ระหว่างพิจารณาคดีคุณสมบัติ

  • ประเทศเข้าสู่ภาวะ สุญญากาศทางการเมือง รัฐบาลเป็นเพียงรักษาการ ไม่สามารถเดินหน้านโยบายสำคัญได้


29 สิงหาคม 2568: คำวินิจฉัยชี้ขาดให้อุ๊งอิ๊งพ้นตำแหน่ง

  • ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้แพทองธารพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

  • มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ (1 ก.ค. 68)

  • คณะรัฐมนตรีสิ้นสภาพทันที → ภูมิธรรม เวชยชัย ขึ้นทำหน้าที่รักษาการ

  • ภาพลักษณ์เพื่อไทยเสียหายหนัก ถูกวิจารณ์ว่าดันแคนดิเดตที่ไม่มั่นคงจนประเทศต้องหยุดชะงัก


กันยายน 2568: เกมการเมืองเลือกนายกฯ คนใหม่

  • ตัวเต็ง: อนุทิน ชาญวีรกูล (ภูมิใจไทย) ที่มีพันธมิตรหลายพรรคและเสียงสนับสนุนเพิ่มขึ้น

  • ชื่ออื่นที่ถูกพูดถึง: ชัยเกษม (พท.), พีระพันธุ์, จุรินทร์, พล.อ.ประยุทธ์

  • เกมต่อรองยังเต็มไปด้วย ดีลลับ ผลประโยชน์ และการต่อรองตำแหน่ง มากกว่าการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชน


ภาพรวมความล้มเหลว "รัฐบาลเพื่อไทย 2566–ปัจจุบัน"

  • ได้อำนาจจากการ แย่งชัยชนะของก้าวไกล ที่ประชาชนเลือก

  • นายกฯ เปลี่ยนถึง 2 ครั้งในเวลาเพียง 2 ปีเศษ

  • นโยบายหาเสียง ไม่สำเร็จเลยแม้แต่เรื่องหลัก เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต ค่าแรงขั้นต่ำ และพักหนี้เกษตรกร

  • เต็มไปด้วยข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน และการใช้อำนาจเอื้อครอบครัวการเมืองเดิม

  • ประเทศตกอยู่ในวังวน วิกฤตความชอบธรรม และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจการเมืองอย่างต่อเนื่อง


บทสรุป: วิบากของสภาชุดนี้

สภาชุดนี้ (ก.ค. 66 – ก.ค. 70) ควรเป็นช่วงเวลาสร้างความหวังใหม่ แต่กลับกลายเป็นบันทึกแห่งความผิดหวัง รัฐบาลจัดตั้งช้า นายกฯ เปลี่ยนบ่อย นโยบายหาเสียงไม่สำเร็จ และเต็มไปด้วยข้อครหาเรื่องฉ้อฉลและผลประโยชน์ส่วนตน

นี่คือตัวอย่างชัดเจนของ “การเมืองไทยที่วนลูป” — ประชาชนเลือกอีกอย่าง แต่กลับได้อีกอย่าง สุดท้ายต้องเผชิญผลพวงจากเกมอำนาจแทนการแก้ไขปัญหาของประเทศอย่างแท้จริง.

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2568

สรุปกรณี หลวงพ่ออลงกต – ข้อสงสัยสวมชื่อคนตาย ตั้งแต่เริ่มเรื่องจนถึงปัจจุบัน

1. จุดเริ่มต้นข้อสงสัย

  • มีการเผยแพร่เอกสารว่า หลวงพ่ออลงกต (วัดพระบาทน้ำพุ) ใช้ชื่อ–นามสกุล และเลขบัตรประชาชน ตรงกับ “นายอลงกต พลมุข” อดีตข้าราชการกรมชลประทานที่เสียชีวิตแล้ว

  • บางคนทดลองโอนเงินผ่าน PromptPay ด้วยเลขบัตรของผู้ตาย → เงินเข้า กองทุนอาทรประชานาถ (บัญชีวัด) → ยิ่งทำให้สังคมสงสัยว่า “สวมชื่อ”


2. ข้อมูลที่ขัดกัน

ฝั่ง เอกสาร/ข่าวเก่า

  • เอกสารปี 2540 ที่ใช้ขอปริญญากิตติมศักดิ์ → ระบุพ่อแม่ นายเสย–นางนิตย์ พลมุข

  • แต่ใบสุทธิพระ → ระบุพ่อแม่ นายเสริมวิทย์–นางวิไลภรณ์ (ซึ่งตรงกับพ่อแม่ของผู้ตาย)

  • ทำให้เหมือนว่าหลวงพ่อ & ผู้ตาย มี “ครอบครัวเดียวกัน”

ฝั่ง ญาติผู้ตาย

  • ภรรยา: เลขบัตรในใบมรณบัตรสามี ตรงทุกหลัก กับเลขที่ใบสุทธิหลวงพ่อ

  • บิดาผู้ตาย (นายเสริมวิทย์): ยืนยันว่าลูกชายกับหลวงพ่อ = คนละคน, ไม่เคยรู้จัก

ฝั่ง มูลนิธิธรรมรักษ์

  • นายเฉลิมพล พลมุข (ประธาน): อ้างว่าเป็นญาติสนิทกับผู้ตาย เคยไปร่วมงานศพ

  • ชี้ว่า ชื่อ–นามสกุลซ้ำไม่แปลก ในอดีต → ควรยึด “เลข 13 หลักในทะเบียนราษฎร์” เป็นหลัก

  • ปกป้องหลวงพ่อ บอกว่าไม่มีเจตนาสวมชื่อ

ฝั่ง กรมการปกครอง (DOPA)

  • ตรวจฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์แล้ว:

    • หลวงพ่ออลงกต = เดิมชื่อ เกรียงไกร เพ็ชรแก้ว → ปี 2552 เปลี่ยนเป็น อลงกต พูลมุข (มีสระอู)

    • นายอลงกต พลมุข (ผู้ตาย) = คนละคน (ไม่มีสระอู), ปีเกิดต่างกัน (2503 vs 2505)

    • เลขบัตรประชาชน ไม่ซ้ำกัน (มีการเปิดบางหลักให้สาธารณะดู)

  • ชี้ว่า ใบสุทธิไม่ใช่เอกสารราชการ → ไม่สามารถใช้ยืนยันตัวตนแทนทะเบียนราษฎร์

  • สรุปว่า ไม่มีการสวมชื่อ

ฝั่ง ตำรวจ

  • ตั้งประเด็นสอบสวน 3 ข้อ:

    1. มีการสวมชื่อจริงหรือไม่?

    2. ถ้ามี → เพราะอะไร?

    3. ถ้ามี → เข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่?

  • ยังไม่สรุป


3. ปม “พร้อมเพย์” (PromptPay)

  • มีการยืนยันว่า เลขบัตรของผู้ตาย → โอนเงินแล้วเข้าบัญชีกองทุนวัด

  • DOPA ชี้แจง: ระบบทะเบียนราษฎร์ไม่เกี่ยว → เป็นเรื่องของ ธนาคาร/ธนาคารแห่งประเทศไทย

  • ความเป็นไปได้:

    1. ความผิดพลาดระบบธนาคาร (ไม่ cross-check ว่าเจ้าของเลขเสียชีวิตแล้ว)

    2. มีการป้อนข้อมูลผิดตอนผูกบัญชี

    3. เจตนานำเลขผู้ตายมาผูกบัญชี

จนถึงตอนนี้ ธนาคารยังไม่อธิบายชัดต่อสาธารณะ


4. ทำไมเรื่องยังไม่จบ

  • ญาติผู้ตาย ยืนยันเลขตรง (จากใบสุทธิ/ใบมรณบัตร)

  • กรมการปกครอง ยืนยันเลขไม่ตรง (จากทะเบียนราษฎร์)

  • ประชาชนไม่ได้เห็นเลขเต็ม ของทั้งสองฝั่ง → ทำให้เกิด “คำพูดสวนกัน”

  • ปม PromptPay ทำให้เรื่องดูมีน้ำหนักว่ามีการเชื่อมโยงจริง


สรุปเข้าใจง่าย

  1. ญาติผู้ตาย → บอกเลขตรง = สงสัยว่าสวมชื่อ

  2. กรมการปกครอง → บอกเลขไม่ตรง = ไม่มีการสวมชื่อ

  3. มูลนิธิ → ปกป้องหลวงพ่อ บอกชื่อซ้ำไม่แปลก

  4. ตำรวจ → กำลังสอบสวน, ยังไม่ฟันธง

  5. พร้อมเพย์ → จุดที่ต้องเคลียร์ เพราะเลขผู้ตายดันไปเข้าบัญชีวัด


🔎 ความจริงที่แน่ชัดตอนนี้

  • ตาม ทะเบียนราษฎร์ราชการ → พระอลงกตกับผู้ตาย เป็นคนละคน เลขไม่ซ้ำ

  • แต่ เอกสารใบสุทธิ/คำบอกของญาติ + ปม PromptPay → ทำให้สังคมสงสัยว่ามี “การใช้ข้อมูลคนตาย” อยู่จริง

  • จึงเหลือให้ ตำรวจ + ธนาคาร ต้องคลี่ว่า → “ผิดพลาดระบบ” หรือ “เจตนาสวมชื่อ”

วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2568

ไข่เจียวปูเจ๊ไฝ: ทำไมถึงกลายเป็นดราม่าไม่จบ?

ช่วงที่ผ่านมา ร้าน เจ๊ไฝ ประตูผี กลับมาเป็นประเด็นร้อนแรงอีกครั้ง เมื่อมีลูกค้าถูกคิดราคาเมนู "ไข่เจียวปู VVIP" ที่สูงถึง 4,000 บาท ทั้ง ๆ ที่ราคาในเมนูปกติแสดงไว้เพียง 1,500 บาท โดยไม่ได้มีการระบุเมนูพิเศษนี้ให้ชัดเจน สุดท้ายกรมการค้าภายในเข้าตรวจสอบและปรับเงิน 2,000 บาท โดยอ้างอิงว่าผิดกฎหมายเรื่อง "การแสดงราคา" ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 มาตรา 28

เรื่องนี้ทำให้สังคมตั้งคำถามว่า ทำไมร้านสตรีทฟู้ดที่มีชื่อเสียงระดับโลกถึงถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก และทำไมค่าปรับกลับน้อยกว่าราคาอาหารจานเดียวเสียอีก มาลองถอดรหัสกันอย่างละเอียด


กฎหมายไทยว่าด้วยการแสดงราคา

กฎหมายเกี่ยวกับราคาสินค้าและบริการของไทยมีเป้าหมายเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและป้องกันไม่ให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ โดยมีสาระสำคัญดังนี้:

  • ร้านค้าต้องแสดงราคาสินค้า/บริการให้ชัดเจน อ่านง่าย และเปิดเผยแก่ลูกค้า

  • ราคาที่แสดงต้องเป็น ราคาสุดท้ายที่ผู้บริโภคจ่ายจริง รวมทั้งภาษีมูลค่าเพิ่มและค่าบริการอื่น ๆ ถ้ามี

  • หากสินค้ามีป้ายหรือพิมพ์ราคามาแล้ว สามารถใช้ได้ทันที แต่ต้องตรงกับราคาที่คิดจริง

  • การไม่ติดป้ายราคาหรือแสดงราคาไม่ชัดเจน มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท (ในกรณีเจ๊ไฝ โดนปรับเพียง 2,000 บาท)

  • หากตรวจสอบพบว่ามีการตั้งราคาสูงเกินสมควร ถือเป็นความผิดที่ร้ายแรงกว่า โทษสูงสุดคือ จำคุก 7 ปี และปรับไม่เกิน 140,000 บาท

กล่าวได้ว่า โทษเบื้องต้นเรื่องการไม่แสดงราคาถูกกำหนดไว้ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับราคาสินค้าในปัจจุบัน แต่ถ้าสืบพบการ “โก่งราคาเกินควร” จะกลายเป็นคดีอาญาที่มีโทษรุนแรงทันที


ทำไมเจ๊ไฝถึงโดนดราม่า?

1. ราคาแรงเกินตลาด

เมนูอย่างไข่เจียวปูตั้งราคาตั้งแต่หลักพันจนถึงหลักหมื่น ขณะที่ไข่เจียวทั่วไปตามร้านอาหารไทยราคาหลักสิบหรือร้อยต้น ๆ ความแตกต่างที่กว้างเกินไปทำให้ผู้บริโภครู้สึกเหมือนถูกเอาเปรียบ

2. ความไม่โปร่งใสในการแสดงราคา

ลูกค้าเห็นราคา 1,500 บาทในเมนู แต่ถูกเรียกเก็บจริง 4,000 บาท ทำให้รู้สึกเหมือนถูกหลอก แม้ทางร้านจะอ้างว่าเป็นเมนูพิเศษที่ต้องสั่งล่วงหน้าก็ตาม แต่เมื่อไม่มีการประกาศชัดเจน ก็ถือว่าขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมาย

3. ภาพลักษณ์ Michelin Star

เจ๊ไฝเป็นร้าน street food ไทยร้านแรกที่ได้ดาวมิชลิน ทำให้ทั้งคนไทยและต่างชาติคาดหวังสูงมาก ทั้งในเรื่องรสชาติ บริการ และความสะอาด แต่สิ่งที่เจอจริงคือการบริการห้วน ๆ ระบบจดบิลมือที่ไม่มาตรฐาน และสภาพครัวที่ดูไม่สะอาดเท่าที่ควร

4. ความรู้สึกว่า “ไม่ใช่ร้านของคนไทยแล้ว”

ราคาที่สูงจนคนไทยทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้ ทำให้เกิดอารมณ์หมั่นไส้ ว่าร้านนี้ขายเพื่อตอบสนองนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักมากกว่าลูกค้าในประเทศ ความรู้สึกถูกทอดทิ้งนี้ทำให้กระแสตีกลับแรงขึ้น


รีวิวจากนักท่องเที่ยว: คาดหวัง vs ความจริง

  • สิ่งที่คาดหวัง: ได้ลิ้มลองตำนาน street food ที่เชฟทำเองทุกจาน, รสชาติจัดจ้าน, ประสบการณ์ที่ต้องลองให้ได้สักครั้ง

  • สิ่งที่เจอจริง: หลายคนบอกว่าอาหารธรรมดาเกินคาด รสชาติไม่ได้ว้าว บริการไม่เป็นมิตร ปริมาณอาหารน้อย และไม่คุ้มกับราคาที่จ่าย บางรีวิวถึงกับใช้คำว่า tourist trap หรือกับดักนักท่องเที่ยว


เปรียบเทียบกับร้าน Michelin Star สตรีทฟู้ดอื่น ๆ

เพื่อให้เห็นความต่าง ลองดูร้านสตรีทฟู้ดในต่างประเทศที่ได้ดาวเท่ากัน (1 ดาว) เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง และญี่ปุ่น

ร้าน ประเทศ จุดเด่น ปัญหาที่ถูกพูดถึง ราคาเฉลี่ย
เจ๊ไฝ ไทย ไข่เจียวปู, เชฟทำเองทุกจาน บริการห้วน, บิลจดมือ, ครัวสกปรก, ราคาไม่โปร่งใส 1,500–10,000+ บาท
Hawker Chan สิงคโปร์ ข้าวมันไก่ซีอิ๊ว, “ถูกที่สุดที่ได้ดาว” คุณภาพตกหลังดัง, การขยายแฟรนไชส์ทำให้เอกลักษณ์หาย 70–100 บาท
Tim Ho Wan ฮ่องกง ติ่มซำราคาย่อมเยา, บริการรวดเร็ว คิวยาวมาก, คุณภาพสาขาแฟรนไชส์ไม่เสมอต้นเสมอปลาย 150–400 บาท
Tsuta Ramen ญี่ปุ่น ราเม็งโชยุทรัฟเฟิล, ระบบจัดการคิวเข้มงวด ต้องรอคิวนานหลายชั่วโมง, ปริมาณน้อย 300–600 บาท

สิ่งที่เห็นชัด

  • ร้านต่างประเทศมีระบบราคาชัดเจน มีบิลมาตรฐาน และครัวสะอาด → ทำให้ลูกค้าเชื่อใจได้มากกว่า

  • เจ๊ไฝยังคงใช้ระบบบ้าน ๆ แบบดั้งเดิม แต่กลับตั้งราคาสูงเทียบเท่าร้าน fine dining → เกิด “ช่องว่างความคาดหวัง” ที่กว้างเกินไป


วิเคราะห์เชิงลึก

กรณีเจ๊ไฝสะท้อนให้เห็นความแตกต่างของแนวคิดระหว่าง “อาหารเป็นสินค้า” และ “อาหารเป็นประสบการณ์ศิลปะ” สำหรับบางคน การจ่ายเงินหลักพันเพื่อได้ชิมฝีมือเชฟตำนานที่ทำเองทุกจานถือว่าคุ้มค่า แต่สำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่ง ความสะอาด บริการ และความโปร่งใสสำคัญไม่แพ้รสชาติ หากขาดสิ่งเหล่านี้ ราคาที่สูงก็ยิ่งกลายเป็น “ช่องโหว่” ให้ถูกโจมตี


สรุป

ดราม่าเจ๊ไฝไม่ได้เกิดจากเรื่อง “ขายแพง” เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการผสมผสานของปัจจัยหลายด้าน ได้แก่:

  • ราคาสูงเกินตลาดอย่างเห็นได้ชัด

  • ระบบการขายไม่โปร่งใส (บิลเขียนมือ, เมนูไม่ตรงราคา)

  • การบริการไม่เป็นมืออาชีพ ทำให้ประสบการณ์โดยรวมเสียหาย

  • ภาพลักษณ์และความสะอาดไม่สมกับราคาที่เรียกเก็บ

หากเจ๊ไฝสามารถปรับปรุงระบบบริการ ความสะอาด และสร้างมาตรฐานความโปร่งใสที่สอดคล้องกับราคาที่ตั้งไว้ ดราม่าอาจไม่แรงขนาดนี้ แต่ในปัจจุบัน ความรู้สึกของคนส่วนใหญ่คือ “มันแพงเกินไปเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้รับจริง” และนี่เองคือเหตุผลหลักที่ทำให้ร้านยังคงตกเป็นเป้าโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งจากคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ค่าไฟฟ้ากับค่าครองชีพ: คนไทยจ่ายแพงหรือถูก เมื่อเทียบกับโลก?

บทนำ เวลาเราเห็นข่าว “ค่าไฟในสหรัฐฯ หน่วยละเกือบ 8–10 บาท” หรือ “ยุโรปค่าไฟแพงกว่าไทยหลายเท่า” หลายคนอาจจะคิดว่า คนไทยโชคดีแล้วที่ยังจ่ายค่...