จุดเริ่มต้น: เหตุใดธรรมยุติจึงถือกำเนิด
ธรรมยุติกนิกายก่อตั้งโดย พระวชิรญาณภิกขุ (ต่อมาคือ รัชกาลที่ 4) ในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ "การฟื้นฟูพระธรรมวินัยดั้งเดิม" ที่ในยุคนั้นเริ่มถูกเจือจางด้วยพิธีกรรมพื้นบ้าน ผีสาง ความเชื่อแบบไสยศาสตร์ และการหลวมทางวินัยของพระสงฆ์ในมหานิกาย
ในแง่เจตนา "ธรรมยุติ" มีความหมายว่า "ผู้ยุติธรรม" หรือ "ผู้ตั้งมั่นในธรรม" แต่ในอีกมิติหนึ่ง นี่คือ การวางรากฐานใหม่ของโครงสร้างสงฆ์ภายใต้อำนาจของราชสำนัก ที่เป็นระเบียบแบบแผนมากขึ้น ควบคุมง่ายขึ้น และสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของกษัตริย์ผู้ต้องการนำสยามเข้าสู่โลกสมัยใหม่ โดยเฉพาะเมื่อบริบทการปกครองในช่วงเปลี่ยนผ่านจากระบบเจ้าขุนมูลนายสู่รัฐสมัยใหม่กำลังเร่งตัวขึ้น
การก่อตั้งธรรมยุติ จึงมีทั้งแรงบันดาลใจจากพระไตรปิฎกและแรงจูงใจทางอำนาจที่ควบคู่กัน และส่งผลยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน
ถ้าไม่แยกธรรมยุติ จะเกิดอะไรขึ้น?
หากในยุคนั้น พระวชิรญาณภิกขุเลือกที่จะฟื้นฟูสงฆ์จากภายในมหานิกาย โดยใช้แนวปฏิบัติที่เคร่งครัดแทนการสถาปนานิกายใหม่ บางทีพุทธไทยอาจไม่เกิดการแยกตัวเป็นสองสายที่ไม่ลงรอยกันในระดับโครงสร้างเช่นวันนี้ แต่จะกลายเป็นการ "ปฏิรูปภายในอย่างค่อยเป็นค่อยไป" ที่อาจกินเวลานานกว่า แต่มีโอกาสหลอมรวมมากกว่าเชิงระบบ
อย่างไรก็ตาม บริบทการเมืองในยุคนั้นทำให้การแยกสายเป็นวิธีที่เร็วและควบคุมได้มากกว่า ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าความเคร่งอาจเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งในการสถาปนาอำนาจ ไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายของศาสนาเสมอไป
ระบบธรรมยุติกับความเคร่งที่เลือกแล้ว
ธรรมยุติมีจุดเด่นด้านการปฏิบัติตามพระวินัยอย่างเข้มงวด เช่น การสวดมนต์ภาษาบาลีตามแบบดั้งเดิม การใช้ภาษาบาลีอย่างถูกต้อง การยึดแนวปฏิบัติตามพระไตรปิฎกโดยเคร่งครัด และการเน้นสมถะ
ระบบการบวชและการฝึกอบรมก็อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเป็นระบบ มีการจัดตั้งวัดธรรมยุติโดยเฉพาะ และการคัดเลือกพระผู้ใหญ่ที่เข้มงวดกว่ามหานิกายทั่วไป
ผลลัพธ์คือ วัดธรรมยุติมักมีภาพลักษณ์ว่า "สงบ เรียบง่าย มีระเบียบ" แต่ในทางกลับกัน บางครั้งก็ถูกมองว่าห่างเหินจากชุมชน หรือไม่ตอบโจทย์สังคมสมัยใหม่ในเชิงพัฒนา
ธรรมยุติไม่ใช่แค่สายเคร่ง แต่ยังเป็น "ระบบสงฆ์ในเงารัฐ" ที่ผูกโยงกับสถาบันกษัตริย์และราชสำนักอย่างลึกซึ้งมาตั้งแต่ต้น
แล้วมหานิกายล่ะ — หลวมจริงหรือแค่ถูกตีตรา?
มหานิกายเป็นสายหลักของพระสงฆ์ไทยในเชิงจำนวน โดยมีความหลากหลายสูง ทั้งในเรื่องรูปแบบวัด วัตรปฏิบัติ แนวคิด และระดับความเคร่งครัด ความหลวมของมหานิกายจึงไม่ได้หมายถึงความเละเทะเสมอไป แต่สะท้อนถึงระบบที่ไม่รวมศูนย์ ไม่มีการบังคับวิถีปฏิบัติแบบเดียวกัน
วัดมหานิกายบางแห่งมีความเข้มข้นด้านปริยัติธรรม มีการสอนปริยัติบาลีและพระไตรปิฎกอย่างลึกซึ้ง ขณะที่บางแห่งอาจเน้นพัฒนาชุมชน หรือปฏิบัติธรรมแนวกรรมฐาน ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า "มหานิกายคือสภาพของความหลากหลายมากกว่าความล้มเหลว"
อย่างไรก็ตาม การไม่มีระบบตรวจสอบและประเมินภายในที่เข้มแข็ง ทำให้วัดมหานิกายที่บกพร่องในด้านวินัยก็สามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่ถูกจัดการ จนเป็นเหตุให้ภาพรวมของนิกายถูกมองในแง่ลบจากสังคม
ธรรมยุติกับพระเทวทัต: ความเหมือนที่ไม่ควรเหมารวม
มีข้อเปรียบเทียบอยู่บ่อยครั้งว่า การแยกตัวของธรรมยุติที่เน้นเคร่งครัดนั้น คล้ายคลึงกับแนวทางของพระเทวทัตในพระไตรปิฎก ที่เสนอให้พระพุทธเจ้าปรับวินัยให้เคร่งขึ้น แต่ในที่สุดก็ถูกปฏิเสธและกลายเป็นฝ่ายแตกแยก
อย่างไรก็ตาม สาระสำคัญคือเจตนาและวิธีการของพระเทวทัตมีลักษณะของการใช้ความเคร่งเพื่อแย่งชิงความน่าเลื่อมใสและอำนาจ ขณะที่ธรรมยุติ (อย่างน้อยในช่วงเริ่มต้น) มีจุดยืนเพื่อฟื้นฟูธรรมวินัย แม้จะมีมิติการเมืองแฝงอยู่
อีกประเด็นหนึ่งคือ ธรรมยุติไม่ได้ประกาศตนแยกนิกายเพื่อแข่งกับพุทธฝ่ายเดิมในเชิงลัทธิหรือครูบาอาจารย์ใหม่ แต่เป็นการตั้งวัดใหม่ภายใต้การรับรองของรัฐอย่างเป็นทางการ ต่างจากเทวทัตที่เป็นการแตกตัวออกจากพุทธโดยตรง
ปัญหาการแยกแล้วทำตัวน่าเลื่อมใสเกินจริง
ข้อถกเถียงหนึ่งคือ การแยกธรรมยุติออกจากมหานิกาย แล้วแสดงภาพลักษณ์ของความเคร่งครัด เป็นการสร้างภาพให้ผู้คนเลื่อมใสหรือไม่ ซึ่งอาจเข้าข่ายเจตนาให้ได้มาซึ่งศรัทธาโดยใช้พฤติกรรมภายนอก ไม่ต่างจากการแต่งกายหรือสมถะแบบจงใจเพื่อเรียกความศรัทธา
คำถามสำคัญคือ "ถ้าตั้งใจปฏิบัติเพื่อธรรมจริง ทำไมไม่อยู่ในระบบเดิมแล้วปรับปรุงให้ดีขึ้น?" การสร้างระบบใหม่ที่แยกตัวออกมา แม้มีข้อดีในแง่โครงสร้าง แต่ก็เปิดช่องให้เกิดการเปรียบเทียบและแข่งขันกันเองในหมู่สงฆ์
นอกจากนี้ ยังมีผลข้างเคียงคือ การที่ญาติโยมเกิดการแบ่งฝ่าย เช่น วัดนี้เคร่งกว่า วัดนั้นบ้าน ๆ วัดนี้หลวงพ่ออยู่ธรรมยุติเลยน่าเลื่อมใสกว่า เป็นต้น ซึ่งสะท้อนว่าการปฏิรูปในรูปแบบแยกนิกาย อาจไม่ได้ตอบโจทย์ในระยะยาว หากไม่มีการออกแบบให้รองรับการอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ
เหตุใดการรวมธรรมยุติกับมหานิกายจึงเป็นไปไม่ได้ (ในโลกจริง)
แม้ในทางทฤษฎีจะสามารถรวมสองนิกายให้เป็นหนึ่งเดียวได้ แต่ในทางปฏิบัติยังมีอุปสรรคหลายประการ:
-
ความแตกต่างทางวัฒนธรรมองค์กร: ธรรมยุติเน้นระบบ รัฐนิยม ส่วนมหานิกายกระจายอำนาจ เน้นความใกล้ชิดชาวบ้าน
-
ประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์: ทั้งสองสายมีรากเหง้าและเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ที่ต่างกัน ยากจะลบหรือหลอมรวม
-
ผลประโยชน์ทางตำแหน่งและงบประมาณ: หากรวมกันจริง อาจเกิดความเหลื่อมล้ำหรือแย่งชิงอำนาจในระบบบริหาร
นอกจากนี้ รัฐไทยเองก็ไม่เคยจริงจังกับการปฏิรูประบบสงฆ์ให้เป็นเอกภาพ มีแต่การประคองให้อยู่ในสภาพที่ควบคุมได้เท่านั้น
มหาเถรสมาคม: ตัวกลางหรือปัญหา?
ระบบที่รัฐมอบยศ มอบเงินค่าตำแหน่ง และให้ฐานะสงฆ์เป็นเจ้าหน้าที่รัฐนั้น แม้จะมีเป้าหมายเพื่อจัดระเบียบคณะสงฆ์และให้ความมั่นคงแก่ศาสนา แต่ในทางกลับกัน กลับสร้างผลเสียในระยะยาวหลายประการ เช่น:
ทำให้พระบางรูปเลือกยึดติดกับยศศักดิ์และผลประโยชน์ มากกว่าการปฏิบัติธรรม
กลายเป็นแรงจูงใจให้อยู่ในวัดเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ มากกว่าความศรัทธา
เปิดช่องให้การแต่งตั้งสมณศักดิ์กลายเป็นเรื่องของการเมือง มากกว่าคุณธรรมและวัตรปฏิบัติ
ในระบบนี้ พระที่ใกล้ชิดผู้มีอำนาจมักได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเป็นพระที่มีความรู้หรือปฏิบัติดีจริง และพระผู้ใหญ่บางรูปอาจใช้ระบบนี้ในการบริหารจัดการวัดอย่างรวมศูนย์ โดยไม่เปิดพื้นที่ให้พระหนุ่มเณรน้อยได้เติบโตในทางธรรม
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า การผูกสงฆ์เข้ากับระบบราชการแบบเข้มข้น อาจทำให้สถาบันสงฆ์ค่อย ๆ สูญเสียความเป็นอิสระ และความศักดิ์สิทธิ์ในเชิงสังคมอย่างที่เคยมีมา
มหาเถรสมาคม (มส.) ก่อตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ เพื่อทำหน้าที่เป็นองค์กรกลางบริหารกิจการคณะสงฆ์ไทย แต่ในความเป็นจริง บทบาทของ มส. กลับถูกตั้งคำถามอย่างหนักว่าเป็นเพียงองค์กรพิธีกรรม หรือเครื่องมือของรัฐมากกว่าจะเป็นกลไกแก้ปัญหา
-
มหาเถรสมาคมไม่สามารถสอดส่องหรือปฏิรูปมหานิกายให้เข้มแข็งได้
-
ไม่สามารถลดช่องว่างระหว่างธรรมยุติกับมหานิกายได้จริง
-
ในหลายครั้งยังถูกใช้เป็นกลไกทางการเมือง เช่น การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช หรือการนิ่งเฉยต่อปัญหาเชิงวินัยของพระสงฆ์บางราย
มส. จึงกลายเป็นทั้ง สัญลักษณ์ของความเป็นกลางที่เป็นทางการ และ เงาสะท้อนของปัญหาที่ฝังลึก ในโครงสร้างสงฆ์ไทย
จะไปต่ออย่างไร: สมานฉันท์ได้จริงหรือ?
หากสงฆ์ไทยต้องการมีเอกภาพโดยไม่ละทิ้งเอกลักษณ์ของแต่ละนิกาย แนวทางที่อาจเป็นไปได้คือ:
-
ยอมรับความแตกต่างของธรรมยุติและมหานิกายอย่างตรงไปตรงมา ไม่จำเป็นต้องรวม แต่ต้องมีมาตรฐานร่วม
-
ปรับบทบาทของมหาเถรสมาคมให้ทำหน้าที่กำกับธรรมวินัยจริงจัง ไม่ใช่เพียงออกประกาศหรือนั่งประชุม
-
ปรับเกณฑ์สมณศักดิ์ให้เน้นคุณธรรมและวัตรปฏิบัติ มากกว่าความสัมพันธ์และการเมือง
-
ส่งเสริมการศึกษาสงฆ์ให้ทันโลกและเท่าทันปัญหาในสังคมร่วมสมัย
เกร็ดน่าคิด
-
ธรรมยุติเป็นนิกายเล็กในเชิงจำนวน แต่มีอิทธิพลสูงเพราะผูกโยงกับราชสำนักและชนชั้นนำ
-
มหานิกายมีวัดกระจายทั่วประเทศและอยู่ใกล้ชุมชน แต่ขาดระบบควบคุมที่เข้มแข็ง
-
ความขัดแย้งไม่ได้อยู่ที่หลักธรรม แต่อยู่ที่ "ระบบ" และ "วัฒนธรรมการบริหาร"
-
ไม่มีฝ่ายใดดีหรือเลวโดยสิ้นเชิง — การแก้ปัญหาจึงต้องมองระบบ ไม่ใช่แค่ตัวบุคคล
บทสรุปเปิด
การตั้งคำถามว่า "ธรรมยุติดีกว่าหรือไม่?" อาจไม่สำคัญเท่ากับคำถามว่า "เราจะทำให้พุทธไทยทั้งหมดดีขึ้นได้อย่างไร?"
ศาสนาไม่ควรเป็นเวทีแข่งขันระหว่างนิกาย แต่น่าจะเป็นพื้นที่ร่วมในการยกระดับจิตใจและสังคม หากธรรมยุติเข้มแข็งในวินัย มหานิกายก็ควรเข้มแข็งในความเข้าใจชุมชน และหากรัฐยังมองสงฆ์เป็นเพียงกลไกทางวัฒนธรรมหรืออำนาจ สงฆ์ไทยอาจไม่มีวันก้าวข้ามปัญหาซ้ำซาก
แต่หากมีการเปิดใจ รับฟัง และออกแบบระบบใหม่ให้รับใช้สาธารณะมากกว่ารัฐ — ความสมานฉันท์อาจไม่ใช่แค่ความฝัน