เกริ่นนำ
Great Depression หรือที่รู้จักกันในภาษาไทยว่า “วิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่” เป็นเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและสร้างบทเรียนที่สำคัญสำหรับการวางนโยบายเศรษฐกิจในปัจจุบัน แม้จะเริ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1929 แต่ผลกระทบกลับแพร่กระจายไปทั่วโลก เป็นช่วงเวลาที่โลกต้องเผชิญกับความยากลำบากทางเศรษฐกิจยาวนานที่สุดและรุนแรงที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ เหตุการณ์นี้จึงกลายเป็นต้นแบบของการศึกษาเกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจที่มีหลายปัจจัยสอดประสานกัน และการตอบสนองที่ช้าหรือไม่เหมาะสมก็ทำให้วิกฤตยิ่งทวีความรุนแรง
สาเหตุก่อนเกิด Great Depression
1. ฟองสบู่การเงินและการเก็งกำไรในตลาดหุ้น: ทศวรรษ 1920 หรือที่รู้จักกันในชื่อ "Roaring Twenties" เป็นช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตอย่างรวดเร็ว ประชาชนและบริษัทต่าง ๆ พากันลงทุนในตลาดหุ้นด้วยความหวังที่จะสร้างกำไรสูง ความมั่นใจในตลาดหุ้นสูงจนทำให้เกิด ฟองสบู่การเงิน ซึ่งรอวันแตก
2. นโยบายการเงินที่ไม่เหมาะสม: ธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงปี 1928-1929 เพื่อควบคุมภาวะเศรษฐกิจที่ร้อนแรงเกินไป แต่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงเวลานั้นกลับทำให้เกิดสภาพคล่องทางการเงินที่ตึงตัว นักลงทุนและบริษัทต่าง ๆ ประสบความยากลำบากในการกู้ยืมและขยายกิจการ
3. การผลิตล้นตลาด: อุตสาหกรรมและเกษตรกรรมผลิตสินค้าจำนวนมากเกินความต้องการที่แท้จริง ทำให้ราคาสินค้าลดลงและกำไรของธุรกิจลดลงเช่นกัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจหลายแห่ง
4. การกระจายรายได้ไม่เท่าเทียม: รายได้ของประชาชนไม่ได้กระจายอย่างทั่วถึง คนรวยได้รับรายได้สูงขึ้น ขณะที่ประชากรส่วนใหญ่ยังคงมีรายได้ต่ำ ทำให้ความต้องการซื้อสินค้าของตลาดไม่เพียงพอ
5. นโยบายการค้าเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ: สหรัฐฯ ผ่านนโยบายเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศใน Smoot-Hawley Tariff Act ส่งผลให้หลายประเทศตอบโต้ด้วยการเพิ่มภาษีสินค้าของสหรัฐฯ ทำให้การค้าระหว่างประเทศลดลงและกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม
เหตุการณ์สำคัญระหว่าง Great Depression
1. Black Tuesday: ในวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 1929 หรือที่เรียกกันว่า "Black Tuesday" นักลงทุนแห่ขายหุ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ตลาดหุ้น Wall Street ประสบการตกต่ำครั้งใหญ่ เหตุการณ์นี้เป็นจุดเริ่มต้นของการล่มสลายของระบบการเงิน
2. วิกฤตธนาคาร: หลังตลาดหุ้นล้ม ประชาชนและนักลงทุนพากันถอนเงินออกจากธนาคาร ทำให้ธนาคารจำนวนมากขาดสภาพคล่องและล้มละลาย สถานการณ์นี้ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนเงินสดในระบบการเงินและทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว
3. การลดลงของการผลิตและการจ้างงาน: เมื่อประชาชนลดการใช้จ่าย โรงงานและธุรกิจต้องลดการผลิตหรือลดขนาดลง ส่งผลให้เกิดการเลิกจ้างงานจำนวนมากและทำให้อัตราการว่างงานพุ่งสูงขึ้นถึงประมาณ 25% ในปี ค.ศ. 1933
4. การแพร่กระจายของวิกฤตสู่ต่างประเทศ: เนื่องจากเศรษฐกิจของโลกเชื่อมโยงกัน การที่สหรัฐฯ ประสบวิกฤตส่งผลต่อประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะยุโรป ซึ่งอ่อนแอจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
5. การตอบสนองของรัฐบาล: ในช่วงแรก รัฐบาลสหรัฐฯ เชื่อมั่นในการปล่อยให้ตลาดแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง แต่เมื่อเศรษฐกิจไม่ฟื้นตัว ประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์ (Franklin D. Roosevelt) จึงนำเสนอ New Deal ในปี ค.ศ. 1933 ซึ่งเป็นชุดนโยบายที่มุ่งเน้นการสร้างงานสาธารณะ การสนับสนุนเกษตรกร และการปฏิรูปการเงิน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ผลสืบเนื่องของ Great Depression
การเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1939 ถูกมองว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจสหรัฐฯ เนื่องจากความต้องการผลิตสินค้าสำหรับสงครามกระตุ้นการจ้างงานและการผลิต การฟื้นตัวครั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้รัฐบาลในยุคถัด ๆ มาให้ความสำคัญกับการแทรกแซงเศรษฐกิจและการปฏิรูปนโยบายการเงินเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตเช่นนี้อีก
---
เปรียบเทียบ Great Depression กับวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งของประเทศไทย
ความเหมือน
1. การเก็งกำไรและฟองสบู่การเงิน: ทั้งสองวิกฤตเกิดจากฟองสบู่ที่มีการเก็งกำไรมากเกินไป สหรัฐฯ ประสบกับฟองสบู่ในตลาดหุ้น ขณะที่ประเทศไทยมีฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนในภาคการเงินที่ขาดการควบคุม
2. ปัญหานโยบายการเงินและการกู้ยืม: การกู้ยืมเกินตัวเป็นปัจจัยร่วมในทั้งสองวิกฤต ในสหรัฐฯ ประชาชนกู้ยืมเพื่อการลงทุนในตลาดหุ้น ขณะที่ประเทศไทยเกิดการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศจำนวนมากด้วยการผูกค่าเงินบาทไว้กับดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้หนี้ต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
3. วิกฤตธนาคารและการขาดสภาพคล่อง: ทั้งสองเหตุการณ์นำไปสู่การขาดสภาพคล่องและปัญหาทางการเงิน สหรัฐฯ พบปัญหานักลงทุนถอนเงินออกจากธนาคาร ขณะที่ประเทศไทยเผชิญกับการที่สถาบันการเงินล้มละลาย ทำให้ต้องปิดกิจการหลายแห่งและมีผลกระทบต่อประชาชนอย่างกว้างขวาง
ความต่าง
1. ต้นตอของวิกฤต: สหรัฐฯ ประสบปัญหาจากฟองสบู่ในตลาดหุ้น ขณะที่ประเทศไทยประสบวิกฤตจากภาวะการลงทุนที่ไม่สมดุลและการกู้ยืมต่างประเทศมากเกินไป โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์และการเงิน
2. การเชื่อมโยงระดับโลก: Great Depression ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางเนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นเศรษฐกิจใหญ่ที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก ส่วนวิกฤตต้มยำกุ้งของไทยส่งผลกระทบต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหลัก และไม่กระทบเศรษฐกิจโลกในวงกว้างเท่ากับ Great Depression
3. การตอบสนองและการเยียวยา: สหรัฐฯ ตอบสนองด้วยนโยบาย New Deal ที่มีการแทรกแซงทางเศรษฐกิจในระดับสูงเพื่อสร้างงานและปฏิรูปการเงิน ขณะที่ประเทศไทยได้รับความช่วยเหลือจาก IMF โดยมีการปฏิรูปเศรษฐกิจหลายด้าน เช่น การลดค่าเงินบาทและปรับโครงสร้างหนี้ รวมถึงการเปิดเสรีด้านการเงิน
---
บทสรุป
Great Depression และวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งต่างก็เป็นบทเรียนสำคัญในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลก การวิเคราะห์และเปรียบเทียบวิกฤตทั้งสองชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการบริหารนโยบายการเงินและการควบคุมความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในระดับประเทศและระดับสากล ทั้งสองวิกฤตชี้ให้เห็นว่าการเก็งกำไรเกินตัวและฟองสบู่ทางเศรษฐกิจมักนำไปสู่การล่มสลายครั้งใหญ่ได้ หากไม่มีมาตรการควบคุมและการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม
Great Depression สอนให้เรารู้ถึงความจำเป็นของการแทรกแซงโดยรัฐบาลในยามวิกฤตเพื่อปกป้องเศรษฐกิจและประชาชน ขณะที่ วิกฤตต้มยำกุ้ง แสดงให้เห็นว่าการพึ่งพาการกู้ยืมต่างประเทศและการเปิดเสรีทางการเงินโดยขาดมาตรการป้องกันสามารถทำให้เศรษฐกิจพังทลายได้ การฟื้นตัวจากวิกฤตนี้ต้องอาศัยการปรับโครงสร้างหนี้ การปฏิรูปเศรษฐกิจและการสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับประเทศกำลังพัฒนา
แม้วิกฤตทั้งสองจะแตกต่างกันในแง่ของสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและบริบทของการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก แต่ทั้งคู่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการสร้างระบบการเงินและเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง มาตรการป้องกันความเสี่ยงที่เหมาะสม และการปรับตัวที่รวดเร็วเมื่อเกิดวิกฤต สิ่งเหล่านี้ยังคงเป็นพื้นฐานสำคัญของการป้องกันวิกฤตเศรษฐกิจในอนาคต