เหลืออีกเดือนกว่าๆ หรือสามสิบวันกว่าๆ ตัวผมก็จะเข้าสู่ร่มกาสาวพัต (เขียนงี้ป่าววะครับ)
ซึ่งถ้าเป็นไปตามประเพณีนิยมทั่วไปของชายไทย เขาก็นิยมให้บวชตอนอายุครบ 20 ซึ่งเป็นเกณฑ์ต่ำสุดของอายุที่จะบวชได้
ตอนนี้ผมอายุ 35 ย่าง 36 การมาบอกคนอื่นว่าจะบวช คงทำให้หลายคนเกิดคำถามประมาณว่า เอ็งจะมาบวชอะไรเอาป่านนี้?
ถ้าให้ท้าวความเอาตามจริง ผมไม่มีความรู้สึกว่าผมจะบวชได้เลย เพราะหลายๆ อย่างประกอบกัน ทั้งจากประสบการณ์ที่เคยบวชเณรให้แม่ตอนท่านเสีย ทำให้ผมรู้เลยว่า การไปบวชโดยที่ไม่เตรียมตัวเตรียมใจ และศึกษาไปก่อนเนี่ย มันจะได้ผลลัพธ์ออกมาแบบไหน
ตอนนั้นบอกเลยว่าจะเอาอะไรกับวัยรุ่นอายุ 15 ที่แทบไม่ได้เข้าวัด แถมยังเรียนโรงเรียนคริสต์อีกต่างหาก อย่าว่าแต่จะรู้เรื่องวัดเลย แค่ท่องบทสวดที่ยาวกว่า นะโมตัสสะ ก็ท่องไม่เป็นแล้ว
แน่นอนว่าด้วยภาวะแบบนั้น ความพร้อมเท่านั้น ย่อมทำได้ไม่ดีแน่ๆ ซึ่งให้มองย้อนไปก็ต้องยอมรับกันแบบซื่อๆ ว่า แย่มาก วันบวชเณรเป็นวันแรกในชีวิตที่ได้ยินศีล 10 แบบบาลี ท่องตามพระอุปัชฌาย์ยังผิดๆ ถูกๆ จนท่านต้องให้ย้ำตามสองสามรอบจนถูกต้อง
ขนาดมีศีลให้ระวังรักษาแค่ 10 ก็ยังทำผิดประจำ ตอนนั้นไม่รู้นี่ว่ากินนมหลังเพลก็ผิด คือตอนนั้นไม่มีใครรู้เลยว่าหลังเพลไม่ใช่แค่ไม่ให้กินของต้องเคี้ยว แต่ในวินัยบัญญัติมีเขียนไว้แม้กระทั่งกินอะไรได้บ้าง และต้องเตรียมอย่างไร คร่าวๆ คือขนาดน้ำผลไม้ต้มยังต้องกรองแล้วกรองอีกตั้ง 7 ครั้ง เรียกว่าไม่มีกากกันเลยทีเดียว ถึงจะกินได้ นอกนั้นก็พวกเภสัช เนยข้น เนยเหลว ฯลฯ ซึ่งถ้าสนใจก็หาอ่านได้ไม่ยาก ทีหลังจะได้ถวายพระกันถูก
แน่นอนว่าพอสึกจากเณรมา สิ่งที่ได้ออกมาด้วยคือ เลิกกลัวผีกับความมืดขนาดหนักเหมือนตอนเด็กๆ เพราะอยู่วัด เจอจนชิน ทั้งมืด ทั้งนอนคนเดียวในห้องแคบๆ ได้จัดการศพหมาเน่า และสารพัด จนชินไปเอง
และที่ได้ตามมา คือความรู้ว่า ที่ทำผ่านไปนั่น ทำได้ไม่ดีเลย ผิดแทบหมดเลย นรกจะกินหัวเอา อย่างเขาว่า พระทำผิดทำบาปเสียเองเนี่ย มันบาปกว่าคนทั่วไปอีกหลายเท่า ผ้าเหลืองนี่ถ้าทำไม่ดี มันก็เหมือน Highway to Hell ดีๆ นี่เอง ซึ่งแน่ล่ะ ผมก็ย่อมกลัวเป็นธรรมดา
หลังจากนั้นมา ความคิดจะบวชเลยหายไปหมดเลย ทั้งกลัวการท่องคำขอบวชที่ยาวเป็นหน้าๆ กับเรื่องกลัวผิดศีลผิดวินัยพระที่อ่านแล้วยุบยั่บกว่าเณรชีอีกหลายเท่า...
แล้วทำไมถึงอยากมาบวชเอาตอนนี้....