วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2568

ชื่อไทยที่ไม่ได้ไทยแท้: ร่องรอยมลายู–เขมร–สันสกฤตบนแผนที่ไทย

ภาษาในสยามไม่เคยอยู่นิ่ง ชื่อบ้านชื่อเมืองจำนวนมาก “ดูเหมือนไทย” แต่จริง ๆ แล้วคือเสียงเก่าที่ล่องลอยมาจากมลายู–อินโดนีเซีย เขมร และอินเดีย ไม่ว่าจะผ่านการตั้งถิ่นฐานของผู้คนในอดีต การค้าขาย การศึกสงคราม หรือแม้แต่เสียงเล่าลือของชาวบ้านที่แปรเปลี่ยนเป็นชื่อทางการเมื่อกาลเวลาผ่านไป ชื่อเหล่านี้คือหลักฐานมีชีวิตของการเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมที่แฝงตัวอยู่ในทุกย่านเมือง

บทความนี้ชวนเดินทางผ่านแผนที่ของไทยแบบไม่เป็นทางการนัก ด้วยสายตาของนักสืบภาษาที่อยากฟังเสียงกระซิบจากอดีต ผ่านชื่อแต่ละชื่อที่ดูไทยแท้ แต่แท้จริงอาจเป็นคำเพี้ยน เสียงยืม หรือรูปจำแลงของภาษาอื่น พร้อมด้วยข้อถกเถียง ข้อเสนอ และเกร็ดที่น่าสนใจ เพื่อให้เข้าใจว่า “ความเป็นไทย” นั้นมีรากที่ซับซ้อนและหลากหลายกว่าที่ตาเห็น


1. แถบกรุงเทพฯ และลุ่มเจ้าพระยา

1.1 มักกะสัน — จากชาว “มากัสซาร์” แห่งสุลาเวสี

ชื่อ “มักกะสัน” ที่เราคุ้นหูกันดีในฐานะสถานีรถไฟ อู่ซ่อม และย่านใจกลางเมือง มีรากฐานจากชื่อชนชาติมากัสซาร์ (Makassar) ชาวเรือมุสลิมจากเกาะสุลาเวสีของอินโดนีเซีย ซึ่งเข้ามาตั้งถิ่นฐานในสยามตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยเฉพาะในบริเวณใกล้แม่น้ำสายสำคัญและทางเชื่อมกับบางกอก

เกร็ด: บันทึกประวัติศาสตร์ไทยกล่าวถึง “กบฏมักกะสัน” ซึ่งอาจเป็นความขัดแย้งที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองและอัตลักษณ์ระหว่างคนพื้นเมืองกับผู้อพยพ งานของ Edward Van Roy ยังอธิบายว่าในกรุงเทพฯ ยุคต้นมีชุมชนชาวมุสลิมหลากหลายสัญชาติตั้งอยู่แน่นหนาตามแนวคลอง

1.2 คลองตัน (กลันตัน) — เสียงจากฝั่งตะวันออกคาบสมุทรมลายู

คลองตันที่หลายคนรู้จักกันดีว่าเป็นย่านกลางกรุงเทพฯ แท้จริงอาจเป็นเสียงเพี้ยนจาก “คลองกลันตัน” ซึ่งสันนิษฐานว่าเกี่ยวพันกับแรงงานจากรัฐกลันตันในมลายู ที่ถูกนำมาใช้ในการขุดคลองแสนแสบในรัชกาลที่ 3 ปัจจุบันเรายังเห็นชื่อ “กลันตัน” ในสถานีรถไฟฟ้า Kalantan และโรงเรียนคลองกลันตัน สะท้อนความทรงจำทางภูมิศาสตร์และชาติพันธุ์ที่ยังหลงเหลืออยู่

1.3 ฉะเชิงเทรา — คำเขมรที่หมายถึง “น้ำลึก”

จังหวัดชายฝั่งตะวันออกนี้มีชื่อซึ่งนักนิรุกติศาสตร์หลายคนเสนอว่ามาจากภาษาเขมรโบราณ โดย “สทึง” (stung) แปลว่า “แม่น้ำ/คลอง” และ “เจริว/เจรา” แปลว่า “ลึก” รวมแล้วหมายถึง “แม่น้ำลึก” สะท้อนภูมิประเทศอันเกี่ยวเนื่องกับแม่น้ำบางปะกง การวิเคราะห์นี้สอดคล้องกับชื่อสถานที่ในกัมพูชาหลายแห่ง เช่น สตึงแสน (แม่น้ำทหาร)


2. ฝั่งอันดามัน–ชายแดนใต้: ร่องรอยมลายู–อินโดนีเซียชัดที่สุด

2.1 ภูเก็ต — จาก bukit หรือ “ภูเก็จ”?

ชื่อ “ภูเก็ต” มีข้อเสนอว่าเพี้ยนมาจากคำว่า bukit ในภาษามลายู แปลว่า “เนินเขา” ซึ่งสอดคล้องกับภูมิประเทศของเกาะที่มีภูเขาและเนินสูงชัน แต่ในวรรณคดีไทยและราชการบางยุค (เช่น สมัยรัชกาลที่ 6) ก็มีการใช้คำว่า “ภูเก็จ” ที่แปลว่า “ภูเขาแห่งแก้ว” อยู่ด้วย

เกร็ด: ชื่อเก่าของภูเก็ตที่ปรากฏในเอกสารต่างประเทศคือ “Junk Ceylon” หรือ “Jong Salang” ซึ่งอาจเพี้ยนมาจาก “Ujong Salang” (แหลมสะลาง) แสดงให้เห็นว่าชื่อภูเก็ตในปัจจุบันคือผลรวมของชื่อท้องถิ่น ภาษาเพื่อนบ้าน และเสียงเพี้ยนจากฝรั่ง

2.2 สงขลา — เงาสิงโตจาก Singgora

“สงขลา” มาจากชื่อเก่า “ซิงโกรา” (Singgora) ซึ่งเป็นชื่อเมืองมลายูโบราณ แปลว่า “นครสิงห์” โดยอิงจากภูเขาหัวสิงห์ริมทะเล ชื่อเมืองนี้ยังปรากฏในเอกสารของพ่อค้าชาวโปรตุเกสและดัตช์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ว่าเป็นเมืองท่าค้าขายที่รุ่งเรืองมาก

2.3 สตูล — Setul/Setoi = “กระท้อน”

คำว่า “สตูล” มีต้นเค้าจากคำมลายู Setul ซึ่งหมายถึงผลไม้พื้นถิ่นอย่าง “กระท้อน” ชื่อของรัฐในอดีตคือ “Negeri Setul Mambang Segara” ซึ่งเป็นรัฐบริวารของเคดะห์และมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับฝั่งไทยในยุคก่อนแบ่งเขตแดนสมัยใหม่

2.4 ยะลา — เมืองชายแดนที่ชื่อหมายถึง “อวนจับปลา”

ยะลา (Jala) เป็นคำในภาษามลายูที่แปลว่า “ตาข่าย” หรือ “อวน” มีรากเดียวกับคำสันสกฤต jala ที่หมายถึงโครงสร้างแบบร่างแหหรือใย สะท้อนวิถีประมงในชุมชนชายแดนเดิม

2.5 เบตง — Betung = “ไผ่ยักษ์”

ชื่อ “เบตง” เพี้ยนมาจาก “Betung” ซึ่งเป็นชื่อไม้ไผ่ชนิดใหญ่ เป็นพันธุ์ไม้ดั้งเดิมของเขตป่าภาคใต้ตอนล่าง สะท้อนทั้งภูมิประเทศและพืชพรรณท้องถิ่นที่ปรากฏในชื่อ

2.6 สุไหงโกลก — Sungai Golok = “แม่น้ำดาบ”

สุไหง (Sungai) แปลว่าแม่น้ำ ส่วน “โกลก” หรือ “golok” คือชื่อดาบพื้นเมืองที่มีลักษณะโค้ง งอ ใช้ในชีวิตประจำวันของชาวมลายู ชื่อเมืองนี้จึงหมายถึง “แม่น้ำแห่งดาบ” หรือ “แม่น้ำที่มีลักษณะคดเคี้ยว”

2.7 ตะรุเตา — เกาะเว้าแหว่งในเสียงมลายู

“ตะรุเตา” อาจเพี้ยนจากคำว่า “ตะโละเตรา” ซึ่งหมายถึง “เกาะที่มีอ่าวเว้าแหว่ง” โดย “ตะโละ” แปลว่า “อ่าว” และ “เตรา” แปลว่า “เว้าแหว่ง” อีกข้อเสนอหนึ่งคือเพี้ยนจาก “Teluk Tawar” ที่หมายถึง “อ่าวน้ำจืด” ทั้งสองแนวทางสะท้อนภูมิประเทศและระบบน้ำรอบเกาะได้ดี


3. รากอินเดีย (สันสกฤต–บาลี) ที่ซ่อนอยู่ในชื่อคุ้นหู

3.1 ลพบุรี — Lava + Pura = “นครของลวะ/ลวะปุระ”

ชื่อเดิมของลพบุรีคือ “ละโว้” หรือ “ลวะปุระ (Lavapura)” ซึ่งมาจากชื่อ “ลวะ” (Lava) บุตรของพระรามในเรื่องรามายณะ และคำว่า “pura” ที่แปลว่าเมืองในภาษาสันสกฤต ชื่อเมืองนี้พบในศิลาจารึกและเอกสารเขมรหลายชิ้นที่กล่าวถึงฐานะเมืองหน้าด่านของอาณาจักรใหญ่ในแถบนี้

3.2 อยุธยา — Ayodhya = “นครอันพิชิตมิได้”

ชื่อ “อยุธยา” ตั้งขึ้นเพื่อให้เกียรติเมืองในตำนานของอินเดียที่ชื่อว่า “Ayodhya” (อโยธยา) ซึ่งเป็นเมืองที่ไม่มีใครพิชิตได้ เป็นบ้านเกิดของพระราม จากนั้นเติมคำว่า “พระนครศรี” เพื่อให้ชื่อเมืองใหม่มีความศักดิ์สิทธิ์และสมบูรณ์แบบแบบอินเดียโบราณ สะท้อนการจัดระเบียบการปกครองตามโลกทัศน์ฮินดู–พุทธ


4. หมายเหตุเพิ่มเติม: เสียงเล่าจากปากต่อปากก็น่าสนใจ

แม้จะไม่มีหลักฐานเอกสารชัดเจน แต่ชื่อย่านในกรุงเทพฯ หลายแห่งที่อยู่ตามแนวคลองแสนแสบและแนวขยายตัวของเมืองในรัชกาลที่ 3–5 ก็มีเรื่องเล่าปากต่อปากที่ชวนคิด เช่น:

  • บางกะปิ อาจเพี้ยนมาจาก “กะปิเยาะห์” หมวกของชาวมุสลิมที่นิยมสวม

  • หัวหมาก เล่ากันว่ามาจากคำว่า “เฮอร์มอ” ซึ่งในมลายูกลันตันหมายถึง “ท้องนา”

  • ลำสาลี อาจมาจาก “ลำแชลี” หรือ “ลำตาสำลี” ซึ่งเป็นชื่อบุคคลหรือชื่อคลองในชุมชน

เรื่องเล่าเหล่านี้ แม้ยังไม่ถูกยืนยันจากหลักฐานวิชาการ ก็ยังคงสะท้อนเสียงของผู้คนที่มีอยู่จริง และมีคุณค่าในการสืบต่อความเข้าใจประวัติศาสตร์เชิงสังคมวัฒนธรรม


5. วิธีดูชื่อที่ “น่าจะ” มาจากภาษาเพื่อนบ้าน

  • ดูเสียงต้น–คำลงท้าย: ชื่อที่ขึ้นต้นว่า “สุไหง-” มักมาจากมลายู sungai = แม่น้ำ เช่น สุไหงโก-ลก ส่วนคำที่ลงท้ายว่า “–ปุระ / –บุรี” มักมาจากสันสกฤต pura = เมือง เช่น ลวะปุระ (ลพบุรี)

  • ดูภูมิประเทศ: ชื่อที่มีคำว่า “bukit” (เนินเขา), “padang” (ทุ่ง), “teluk” (อ่าว) หรือ “betung” (ไผ่) มักบอกถึงลักษณะภูมิประเทศของพื้นที่นั้น

  • ดูเส้นทางคน–คลอง–การค้าสมัยโบราณ: เช่น เขตบางกะปิ–คลองแสนแสบ มีหลักฐานแรงงานมลายู–จาม–เขมรตั้งถิ่นฐานตั้งแต่รัชกาลที่ 3 ชื่อสถานที่หลายแห่งจึงมีเสียงเพี้ยนจากภาษาเหล่านั้น

ข้อควรระวัง: บางชื่อที่ “ฟังดูเหมือน” เพี้ยนจากภาษาต่างประเทศ อาจเป็นคำไทยแท้ หรือคำที่ไทยยืมมานานมากจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของภาษาถิ่นไปแล้ว การสืบที่มาอย่างระมัดระวังจึงจำเป็นเสมอ


6. อ่านต่อ / แหล่งอ้างอิงแนะนำ

  • หนังสือวิชาการ: Edward Van Roy, Siamese Melting Pot (2017); “Contending Identities” (2016)

  • เว็บไซต์ทางการ: เว็บไซต์จังหวัดสตูล, ยะลา, ฉะเชิงเทรา; สำนักงานจังหวัด; อุทยานแห่งชาติตะรุเตา

  • บทความประวัติศาสตร์: เรื่องกบฏมักกะสัน, ประวัติคลองแสนแสบ, ละโว้, ซิงโกรา, รัฐกลันตัน

  • พจนานุกรม–สารานุกรม–นิรุกติศาสตร์: Kamus Dewan, SEAlang, Ethnologue, และวารสารของมหาวิทยาลัยในไทย


ชื่อไทยที่ไม่ได้ไทยแท้: ร่องรอยมลายู–เขมร–สันสกฤตบนแผนที่ไทย

ภาษาในสยามไม่เคยอยู่นิ่ง ชื่อบ้านชื่อเมืองจำนวนมาก “ดูเหมือนไทย” แต่จริง ๆ แล้วคือเสียงเก่าที่ล่องลอยมาจากมลายู–อินโดนีเซีย เขมร และอินเดีย ...