วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2568

ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง: ความจริง วาทกรรม และที่มาของอักษรไทย

1) ศิลาจารึกหลักที่ 1 คืออะไร

ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง หรือ “จารึกสุโขทัยหลักที่ 1” เป็นแท่งหินทรงสี่เหลี่ยมสูงประมาณ 1 เมตรเศษ สลักข้อความบนสี่ด้านด้วยอักษรที่เรียกกันว่า "อักษรไทยโบราณ" โดยเนื้อหาสะท้อนโลกทัศน์และอุดมคติของผู้ปกครองในยุคนั้น (หรืออาจเป็นยุคหลัง) กล่าวถึงพ่อขุนรามคำแหงว่าเป็นกษัตริย์นักรบ นักปกครอง และนักพัฒนา ผู้สร้างบ้านแปงเมืองให้อยู่ดีกินดี ภาษาถูกใช้เพื่อเล่าถึงเสรีภาพของราษฎร ความมั่นคงปลอดภัยในสังคม และการปกครองแบบพ่อปกครองลูก ซึ่งกลายเป็นภาพแทน "ยุคทอง" ของไทยที่ยังถูกกล่าวถึงอยู่จนถึงปัจจุบัน

เอกสารนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงบันทึกประวัติศาสตร์ หากแต่ทำหน้าที่เป็นรากฐานสำคัญในการสร้างเรื่องเล่าความเป็นไทยในยุคชาติพันธุ์สมัยใหม่ ตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัฐไทยเริ่มมีระบบการศึกษาแบบชาตินิยม เนื้อหาในจารึกถูกนำมาใช้ยืนยันความเป็นมาของอักษรไทย ประวัติศาสตร์ชาติ และคุณค่าของ "ไทยแท้" ในแบบฉบับของรัฐสมัยใหม่

แต่คำถามคือ... เนื้อหาที่ปรากฏนั้น "ร่วมสมัยจริง" หรือเป็นการเล่าเรื่องของยุคหลังเพื่อประโยชน์บางประการ? นี่คือจุดที่นำไปสู่ข้อถกเถียงยาวนานในวงวิชาการ


2) ค้นพบและอ่านได้อย่างไร

จากบันทึกในจดหมายเหตุไทย จารึกถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2376 (ค.ศ. 1833) โดยสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ขณะทรงผนวชเป็นพระภิกษุ) ขณะเสด็จธุดงค์ไปยังเมืองเก่าสุโขทัย ทรงพบแท่งหินจารึกที่วัดมหาธาตุแล้วทรงนำกลับมากรุงเทพฯ ซึ่งในเวลานั้นยังไม่มีการเผยแพร่อย่างเป็นทางการ จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงกลางถึงปลายรัชกาลที่ 4 จึงเริ่มมีการถอดความและเผยแพร่แก่สาธารณชน

การที่พระองค์สามารถอ่านจารึกได้ทันที ถือเป็นจุดที่นักวิชาการยุคหลังตั้งข้อสังเกต เพราะระบบอักษรที่ใช้ในศิลาจารึกหลักที่ 1 นั้นแตกต่างจากอักษรโบราณแบบอื่น ๆ ที่พบในจารึกสุโขทัยร่วมสมัย เช่น จารึกนครชุม หรือจารึกวัดศรีชุม ซึ่งต้องใช้ความรู้เฉพาะในการถอดอ่าน

แต่ในกรณีของจารึกหลักที่ 1 กลับสามารถอ่านได้โดยง่ายด้วยความรู้ด้านอักษรและไวยากรณ์ที่ผู้คนในยุครัชกาลที่ 4 เข้าใจ ซึ่งอาจสอดคล้องกับข้อสงสัยว่า “ตัวอักษรนี้อาจไม่ใช่ของยุคสุโขทัยจริง” เพราะไม่มีหลักฐานการใช้อักษรแบบเดียวกันนี้ในจารึกอื่นเลย อีกทั้งสำนวนภาษาก็ใกล้เคียงกับภาษาไทยยุคต้นรัตนโกสินทร์


3) ปลอมหรือไม่: หลักฐานและข้อถกเถียง

การตั้งคำถามว่าจารึกพ่อขุนรามคำแหง "ปลอม" หรือไม่นั้น ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีใครสักคน “โกง” หรือ “หลอกลวง” แต่เป็นการตั้งคำถามเชิงประวัติศาสตร์ว่า "จารึกนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อใด และด้วยเจตนาใด" มากกว่า

3.1 ฝ่ายตั้งข้อสงสัย (Critical)

  • ภาษาศาสตร์และเนื้อหา: โครงสร้างประโยค เช่น การใช้คำว่า “ข้าเจ้า” “น้ำกินน้ำใช้” หรือ “เมืองเพื่อนบ้าน” สะท้อนสำนวนแบบราชการยุคหลังอยุธยา ซึ่งไม่ปรากฏในจารึกอื่นที่เชื่อว่าเก่าแก่กว่านั้น

  • อักษรศาสตร์ (Palaeography): รูปแบบตัวอักษรในจารึกหลักที่ 1 ดูสะอาด อ่านง่าย เส้นตรงคมและมีสัดส่วนใกล้เคียงอักษรไทยในยุครัตนโกสินทร์ ขณะที่จารึกสุโขทัยอื่นมีลักษณะลายมือโบราณที่อ่านยากและมีลักษณะเฉพาะมากกว่า

  • บริบทการค้นพบ: เกิดขึ้นในช่วงที่สยามต้องสร้างรากฐานประวัติศาสตร์ชาติ จึงมีความเป็นไปได้ที่จะสร้างเรื่องเล่า (narrative) เพื่อสนับสนุนความชอบธรรมของชาติไทยและพระราชวงศ์ในยุคใหม่

3.2 ฝ่ายปกป้องความแท้ (Conservative)

  • การวิเคราะห์ทางวัสดุศาสตร์: การใช้เครื่องมืออย่าง SEM และ EDX บ่งชี้ว่าร่องสลักมีการผุกร่อนตามธรรมชาติ คล้ายจารึกที่ผ่านกาลเวลาหลายร้อยปี

  • ความเป็นไปได้ทางอักษรศาสตร์: บางนักวิชาการเชื่อว่าอาจเป็นเพียงอีกสายพัฒนาของอักษรไทยที่ไม่แพร่หลายหรือสูญหายไป จึงไม่พบในจารึกอื่น

  • การตีความแบบประนีประนอม: บางคนเสนอว่าอาจเป็นจารึกเก่าจริง แต่ถูก "แก้ไข เพิ่มข้อความ หรือสลักใหม่ทั้งหมดบนแท่งหินเก่า" เพื่อใช้ในวาระทางการเมืองหรือการสถาปนาความชอบธรรมของรัฐ

3.3 บทสรุปเชิงวิเคราะห์

ข้อเสนอที่สมดุลที่สุดในทางวิชาการในปัจจุบันคือ: ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงน่าจะเป็นวัตถุโบราณเก่าจริง แต่ข้อความที่ปรากฏในปัจจุบันมีความเป็นไปได้สูงว่าได้รับการเรียบเรียงหรือสลักขึ้นในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งทำให้การอ่านจารึกสะดวกเข้าใจได้ง่าย และสามารถใช้งานเป็นวาทกรรมชาตินิยมได้ทันทีในบริบทของสยามยุคใหม่


4) ตัวอักษรบนศิลาจริง ๆ มาจากไหน

อักษรที่พบในจารึกหลักที่ 1 ถูกจัดให้อยู่ในตระกูล "อักษรสุโขทัย" หรือ "Old Thai Script" แต่เมื่อพิจารณารากเหง้าแล้ว มันพัฒนามาจาก "อักษรขอมโบราณ" ซึ่งเองก็มีรากมาจาก "อักษรปัลลวะ" หรือ "ครันถะ" ในอินเดียใต้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลอักษรพราหมีที่เก่าแก่ในอนุทวีปอินเดีย

การพัฒนาอักษรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงไม่ใช่เรื่องของการ “คิดค้นขึ้นมาเอง” แต่เป็นกระบวนการของการยืม ดัดแปลง ทดลอง และพัฒนาต่อเนื่องกันในช่วงเวลาหลายศตวรรษ

ในแง่นี้ การที่จารึกหลักที่ 1 กล่าวว่าพ่อขุนรามคำแหง "ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใหม่ทั้งหมด" ดูจะขัดแย้งกับหลักฐานเชิงประวัติศาสตร์และอักษรศาสตร์ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า อักษรไทยเกิดจากการดัดแปลงอักษรขอมเพื่อให้สอดคล้องกับเสียงในภาษาไท โดยเฉพาะการเพิ่มวรรณยุกต์เพื่อรองรับโทนเสียง ซึ่งไม่มีในระบบอักษรของภาษากลุ่มมอญ-เขมร


5) แล้วอักษรไทย “มาจากไหนกันแน่”

อักษรไทยมีพัฒนาการเป็นขั้นตอน ดังนี้:

  1. อักษรพราหมี จากอินเดียโบราณ

  2. อักษรปัลลวะ/ครันถะ จากอินเดียใต้

  3. อักษรขอมโบราณ ผ่านอาณาจักรเขมรและรัฐมอญ

  4. อักษรสุโขทัย ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่ถูกดัดแปลงโดยชนชาติไทเพื่อใช้กับระบบเสียงของตน

  5. อักษรไทยกลาง/ไทยปัจจุบัน ที่เห็นในหนังสือราชการและตำราเรียนทุกวันนี้

กล่าวโดยสรุป: อักษรไทยไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากอัจฉริยะบุคคลในค่ำคืนหนึ่ง แต่เป็นผลของกระบวนการรับและปรับเปลี่ยนที่ซับซ้อนยาวนาน การกล่าวว่าอักษรไทยเกิดจาก “พ่อขุนรามคำแหงคิดขึ้นมา” จึงเป็นภาพจำที่เรียบเกินจริงและละเลยพลวัตของประวัติศาสตร์วัฒนธรรม


6) ทำความเข้าใจ “เรื่องเล่า” กับ “ข้อเท็จจริง” ให้เป็นเรื่องเดียวกัน

ประเด็นนี้เปิดให้เราได้คิดว่า “ความรักชาติ” ที่ยั่งยืนอาจไม่จำเป็นต้องยึดติดกับเรื่องเล่าเดิม ๆ ที่ไม่มีหลักฐานรองรับ แต่ควรอยู่บนรากฐานของการวิพากษ์หลักฐาน การเปิดรับข้อมูลใหม่ และความกล้าที่จะปรับเรื่องเล่าให้สอดคล้องกับความจริง

ประวัติศาสตร์ไม่ใช่คำสั่งศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นกระบวนการของการอ่านซ้ำ ค้นพบใหม่ และเข้าใจซับซ้อนที่ซ่อนอยู่ เรื่องเล่าของจารึกพ่อขุนรามคำแหงอาจยังมีบทบาททางวัฒนธรรม แต่ในเชิงวิชาการ มันคือ “ข้อความที่มีความเป็นไปได้ว่าจะได้รับการแก้ไขหรือสร้างขึ้นใหม่ในบริบทของรัฐสมัยใหม่” ซึ่งควรอ่านด้วยสายตาวิจารณ์


7) ภาคผนวก: โรดแมปหลักฐานอย่างย่อ

  • วัสดุศาสตร์: SEM/EDS ชี้ว่าหินเก่าจริง ผิวมีร่องรอยผุกร่อนตามธรรมชาติ แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าข้อความถูกสลักในศตวรรษที่ 13

  • ภาษาศาสตร์–อักษรศาสตร์: คำและโครงสร้างภาษาเหมือนสำนวนราชการยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ตัวอักษรมีลักษณะเหมือนอักษรไทยปัจจุบันมากกว่าอักษรสุโขทัยแท้

  • บริบททางการเมือง: ถูกค้นพบและใช้ในช่วงรัฐสยามกำลังก่อรูปชาติและต้องการตำนานต้นกำเนิดที่ทรงพลัง


บรรณานุกรมคัดสรร

  • Michael Vickery, The Ram Khamhaeng Inscription (1991); Piltdown 3 (1995)

  • Piriya Krairiksh, “The Date of the Ram Khamhaeng Inscription” (1991)

  • C. Aranyanak, “Scientific Investigation…” (1990)

  • Barend Jan Terwiel, “Ockham’s Razor and the Ram Khamhaeng Controversy” (2007)

  • UNESCO Memory of the World (2003)

  • Southeast Asian Epigraphy Studies (J.G. de Casparis, Anthony Diller, Michel Ferlus, John Hartmann)

ชื่อไทยที่ไม่ได้ไทยแท้: ร่องรอยมลายู–เขมร–สันสกฤตบนแผนที่ไทย

ภาษาในสยามไม่เคยอยู่นิ่ง ชื่อบ้านชื่อเมืองจำนวนมาก “ดูเหมือนไทย” แต่จริง ๆ แล้วคือเสียงเก่าที่ล่องลอยมาจากมลายู–อินโดนีเซีย เขมร และอินเดีย ...