ในช่วงเวลาไม่ถึงทศวรรษ กรุงเทพฯ และพื้นที่โดยรอบกลับกลายเป็นเมืองที่ "แพงจนคนในอยู่ไม่ได้" ไปเสียแล้ว แม้จะยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และแหล่งงานขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ แต่ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตกลับพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในอัตราไม่สมดุลกับรายได้เฉลี่ยของประชาชน ซึ่งส่งผลกระทบลึกต่อคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจในประเทศ และแม้กระทั่งเสน่ห์ของไทยในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติ
บทความนี้จะพาผู้อ่านเจาะลึกสถานการณ์ค่าครองชีพของกรุงเทพฯ เทียบกับเมืองหลวงอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และชี้แนวทางแก้ไขที่ยั่งยืน
กรุงเทพฯ แพงขึ้นจริงหรือแค่รู้สึกไปเอง?
ไม่ใช่แค่ความรู้สึก แต่ข้อมูลหลายสำนักชี้ชัดว่าค่าครองชีพในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในรอบ 3–5 ปีที่ผ่านมา:
-
รายงาน Julius Baer Wealth Report ปี 2023 จัดอันดับกรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีค่าครองชีพด้านไลฟ์สไตล์สูงเป็นอันดับ 11 ของโลก
-
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2566 ระบุว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของครัวเรือนในเขตกรุงเทพฯ อยู่ที่ 33,221 บาท/เดือน ขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 41,335 บาท แต่ครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยจำนวนมากมีค่าใช้จ่ายเกินกว่า 80% ของรายได้
-
ดัชนีเงินเฟ้อหมวดอาหารสด อาหารปรุงสำเร็จ และค่าใช้จ่ายจำเป็น เพิ่มขึ้น 7–12% ต่อปี แม้เงินเฟ้อทั่วไปดูไม่สูง
-
ค่ารถไฟฟ้าเฉลี่ยต่อเที่ยวในกรุงเทพฯ สูงถึง 44 บาทต่อวัน (BTS+MRT+ARL เฉลี่ยแบบรวม) คิดเป็น 10–15% ของรายได้ผู้มีรายได้น้อย
-
ค่าเช่าห้องพักในโซนกลางกรุงเทพฯ ขนาด 30–35 ตร.ม. เริ่มต้นที่ 12,000–18,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเกิน 40–50% ของรายได้ระดับปานกลาง
เทียบกับประเทศเพื่อนบ้านและเมืองท่องเที่ยวอื่น
ลองเปรียบเทียบกับเมืองหลวงในประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก:
เมือง | ค่าครองชีพเฉลี่ยต่อเดือน (บาท) | รายได้เฉลี่ยต่อเดือน (บาท) | อัตราส่วนรายได้สุทธิต่อค่าใช้จ่าย |
---|---|---|---|
กรุงเทพฯ | 33,000 | 26,500 (กลุ่มรายได้กลาง-ล่าง) | ∼80% ค่าใช้จ่าย |
ฮานอย | 19,000 | 22,000 | ∼65% ค่าใช้จ่าย |
กัวลาลัมเปอร์ | 25,000 | 30,000 | ∼60% ค่าใช้จ่าย |
มะนิลา | 21,000 | 25,000 | ∼65% ค่าใช้จ่าย |
จาการ์ตา | 20,000 | 24,000 | ∼60% ค่าใช้จ่าย |
ไทเป | 42,000 | 55,000 | ∼55% ค่าใช้จ่าย |
(หมายเหตุ: ตัวเลขประมาณการจากรายงาน Numbeo, ASEANStats, และสำนักข้อมูลท้องถิ่นในปี 2023–2024)
จะเห็นได้ว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ประชาชนต้องใช้สัดส่วนรายได้ไปกับค่าใช้จ่ายจำเป็นมากที่สุดในกลุ่มนี้ แสดงถึงความเปราะบางในการใช้ชีวิต แม้ในบางด้านอาจดูว่าราคายังไม่สูงมาก แต่หากพิจารณาจาก "สิ่งที่เหลือใช้" แล้ว กรุงเทพฯ แพงกว่าหลายเมือง
ปัจจัยที่ผลักดันค่าครองชีพกรุงเทพฯ ให้พุ่งเร็วเกินไป
-
โครงสร้างเมืองกระจุก-กระจาย: เมืองขยายตัวโดยไม่ควบคุม ทำให้การเดินทางไกล ค่าผ่านทางสูง ค่าที่อยู่อาศัยใกล้ศูนย์กลางราคาสูงเกินเอื้อม
-
การพัฒนาโครงการขนาดใหญ่: เช่น รถไฟฟ้าหลายสาย ทำให้ราคาที่ดินแนวรถไฟฟ้าพุ่ง ค่าที่อยู่อาศัยปรับขึ้นตาม
-
การบริโภคแบบพึ่งพาต่างชาติ: น้ำมัน อาหารแปรรูป วัตถุดิบหลายชนิดต้องนำเข้า ส่งผลต่อราคาสินค้าเมื่อเงินบาทอ่อน
-
รายได้ไม่โตตาม: แม้ค่าจ้างขั้นต่ำจะปรับขึ้น แต่รายได้เฉลี่ยของประชาชนกลับโตช้ากว่าค่าครองชีพมาก
-
ระบบภาษีและเงินอุดหนุนที่ไม่กระจาย: มาตรการช่วยเหลือมักเน้นกลุ่มเฉพาะ ขาดการช่วยเหลือกลุ่มคนชั้นกลางเมืองที่ต้องแบกภาระจริง
-
วิกฤตโควิด-19 และสงคราม: ส่งผลต่อต้นทุนสินค้า บริการ และโครงสร้างตลาดแรงงานแบบเฉียบพลัน
แนวโน้มในอนาคต: หากไม่แก้ไข จะเกิดอะไรขึ้น?
-
วิกฤตที่อยู่อาศัยจะรุนแรงขึ้น: ราคาคอนโดและค่าเช่าจะสูงเกินระดับที่คนทำงานทั่วไปจะเข้าถึงได้ นำไปสู่การอยู่รวมหลายครอบครัวหรือแชร์บ้านกันมากขึ้นแบบจำใจ
-
ประชากรย้ายออกนอกเมือง: คนรุ่นใหม่อาจไม่เลือกอยู่ในกรุงเทพฯ อีกต่อไป เกิดภาวะ "เมืองกลวง" (Urban Hollowing) ที่เมืองมีแต่ตึกแต่ไม่มีคนวัยแรงงาน
-
เศรษฐกิจเมืองชะลอตัว: เมื่อรายได้ที่แท้จริงไม่พอใช้ การบริโภคลดลง SME และธุรกิจท้องถิ่นจะได้รับผลกระทบมากขึ้น
-
ภาระรัฐเพิ่มขึ้น: ต้องใช้งบประมาณมากขึ้นในสวัสดิการ เช่น ค่าเดินทาง ค่าครองชีพ ค่าเช่า ที่อยู่อาศัยสาธารณะ หากปล่อยให้ราคาตลาดพุ่งเอง
ผลกระทบที่เห็นได้จริง
-
ประชาชนใช้ชีวิตแบบตึงมือ: เงินเหลือใช้ลดลง การออมยากขึ้น หนี้ครัวเรือนสูงขึ้น (เฉลี่ย 101,977 บาท/คน)
-
ธุรกิจ SME ย่ำแย่: เพราะคนลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น ร้านอาหาร เสื้อผ้า
-
แรงงานเริ่มย้ายออกจากเมือง: บางส่วนเลือกย้ายกลับต่างจังหวัดหรือทำงานแบบ hybrid เพราะต้นทุนในเมืองไม่คุ้ม
-
นักท่องเที่ยวเริ่มมองหาทางเลือก: แม้กรุงเทพฯ ยังเป็นเมืองปลายทางยอดนิยม แต่การขึ้นราคาห้องพัก 83% ในบางช่วง (ข้อมูลจาก Julius Baer 2023) ทำให้ภาพลักษณ์ "เมืองราคาถูกคุณภาพดี" เริ่มเลือนหาย
แล้วเราจะแก้อย่างไร?
-
เร่งสร้างที่อยู่อาศัยเข้าถึงได้: โดยเฉพาะแนวรถไฟฟ้า ควบคุมไม่ให้ speculative price ทำลายตลาด
-
ทบทวนนโยบายขนส่งมวลชน: ให้เข้าถึงง่าย ควบคุมราคาบัตรโดยสารจริงจัง ไม่ให้ประชาชนแบกภาระเดินทางมากเกิน
-
พัฒนาเมืองแบบหลายศูนย์ (polycentric): ลดการกระจุกของงานและบริการในบางจุด เช่น CBD หรือห้าแยกลาดพร้าว
-
ปรับโครงสร้างรายได้: สนับสนุนงานทักษะสูง งานดิจิทัล เพิ่ม productivity และลดแรงงานรายวันซ้ำซ้อน
-
วางแผนร่วมกันทุกภาคส่วน: เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กรุงเทพมหานคร ธปท. และภาคธุรกิจ เพื่อกำหนด roadmap ระยะยาวด้านค่าครองชีพ
-
พิจารณานโยบายควบคุมราคาเฉพาะจุด: เช่น สินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน ค่าบริการขนส่งสาธารณะ ค่าน้ำค่าไฟ สำหรับกลุ่มรายได้ต่ำถึงกลาง
สรุป
กรุงเทพฯ กำลังเปลี่ยนจากเมืองที่ "ใคร ๆ ก็อยู่ได้" เป็นเมืองที่ "อยู่ยากขึ้นเรื่อย ๆ" ถ้าไม่มีการวางแผนเชิงโครงสร้างใหม่ให้สมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ ผังเมือง รายได้ และการบริโภค เมืองหลวงของไทยอาจไม่ใช่คำตอบของคนรุ่นใหม่ และอาจสูญเสียจุดแข็งสำคัญทั้งด้านคุณภาพชีวิตและการท่องเที่ยวไปในที่สุด
แหล่งอ้างอิง
-
Julius Baer Global Wealth and Lifestyle Report 2023
-
Numbeo: Cost of Living Comparison by City, 2023–2024 (https://www.numbeo.com/cost-of-living)
-
ASEANStats Database (https://data.aseanstats.org)
-
สำนักงานสถิติแห่งชาติ: รายได้และรายจ่ายครัวเรือน พ.ศ. 2566 (https://www.nso.go.th)
-
ธนาคารแห่งประเทศไทย: สรุปเศรษฐกิจภูมิภาค 2567 (https://www.bot.or.th)
-
กรมการค้าภายใน: ดัชนีเงินเฟ้อสินค้าอุปโภคบริโภค ปี 2565–2567 (https://www.dit.go.th)
-
สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงพัฒนาสังคมฯ (https://www.m-society.go.th)
-
The Standard: บทวิเคราะห์ค่าครองชีพกรุงเทพฯ 2566 (https://thestandard.co)
-
The Momentum: สัมภาษณ์นักวางแผนเมืองไทย (https://themomentum.co)