เมื่อสยาม “ไปเก็บแต้ม” ในสงครามโลกครั้งที่ 1
“ประเทศอื่นรบกันเป็นล้านศพ สยามโผล่มาตอนท้าย ๆ แต่กลับได้ของครบชุด”
ถ้าฟังเผิน ๆ มันเหมือนมุกในมีมSiam in WWI being a chad
แต่เบื้องหลังจริง ๆ คือเกมการทูตที่โคตรจริงจัง และเดิมพันคือ อธิปไตยทั้งประเทศ
บล็อกตอนนี้เลยชวนมานั่งไล่ทีละฉากแบบเป็นหนังยาว:
-
ก่อนสงครามโลก สยามโดนกดหัวด้วย “สัญญาไม่เป็นธรรม” ยังไง
-
ทำไมรัชกาลที่ 6 ถึงกล้า “พาประเทศเล็ก ๆ กระโดดลงไปในมหาสงครามของฝรั่ง”
-
กองทหารอาสาสมัครไทยไปทำอะไรในยุโรป ไปถึงไหน รบไหม ตายยังไง
-
บนโต๊ะประชุมแวร์ซายส์ ใครขวางไทย ใครช่วยไทย ไทยยื่นอะไร และได้อะไรกลับมา
ทั้งหมดนี้ไม่ได้เล่าแบบตำราเรียนแห้ง ๆ แต่จะเล่าแบบ “ค่อย ๆ คลี่เรื่อง” ให้เห็นทั้งหน้าเวทีและหลังฉาก ว่าเรามาถึงจุดนั้นได้ยังไง ใครเล่นบทอะไร แล้วจบลงด้วยผลลัพธ์ที่ยังส่งผลมาถึงทุกวันนี้
1. ฉากเปิด: สยามในโลกของจักรวรรดินิยม – อยู่รอดแต่โดนมัดมือ
ก่อนจะไปถึงปี 1917 ต้องถอยกลับไปตั้งแต่ครึ่งหลังศตวรรษที่ 19
สยามตอนนั้น รอดจากการเป็นอาณานิคม ก็จริง แต่ไม่ได้ “อิสระเต็มใบ” อย่างที่มักเล่ากันสั้น ๆ ถ้าเปิดสัญญาเก่า ๆ จะเจอว่า:
-
มี สนธิสัญญาโบว์ริง (Bowring Treaty) กับอังกฤษ และสนธิสัญญาคล้าย ๆ กันกับฝรั่งเศส สหรัฐ และชาติอื่น ๆ
-
สนธิสัญญาเหล่านี้ให้สิทธิ “ศาลกงสุล” – ชาวตะวันตกที่อยู่ในสยาม ไม่ต้องขึ้นศาลไทย แต่ขึ้นศาลของประเทศตัวเอง
-
ด้านภาษี สยามเก็บภาษีศุลกากรจากพ่อค้าตะวันตกได้ในอัตราต่ำมาก (ราว 3%) และถูกล็อกเพดานไว้ ทำให้รัฐเก็บรายได้เพิ่มแทบไม่ได้
พูดง่าย ๆ คือ สยามไม่ได้ถูกปักธงยึดแบบพม่า ลาว กัมพูชา แต่ก็อยู่ในสถานะที่นักวิชาการเรียกกันทีหลังว่า “กึ่งอาณานิคม” – มีพระมหากษัตริย์ มีรัฐบาล แต่กฎหมายและเศรษฐกิจต้องเดินตามเส้นที่มหาอำนาจขีดไว้
ในบริบทนั้น รัชกาลที่ 5 ใช้การปฏิรูปภายใน + การทูตแบบยอมเสียดินแดนบางส่วน เพื่อรักษา “ตัวประเทศ” เอาไว้ แต่ สัญญาไม่เป็นธรรม ยังฝังอยู่เต็มระบบ และยุโรปก็ไม่ได้มีท่าทีจะยอมแก้ง่าย ๆ
ดังนั้น เมื่อก้าวมาถึงรัชกาลที่ 6 คำถามใหญ่ในหัวผู้นำสยามคือ:
“จะหาจังหวะไหน พลิกสถานะของเรา จากประเทศที่ถูกมองแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไปสู่การเป็น ‘ชาติอารยะ’ เท่ากับฝรั่งได้สักที?”
และจังหวะนั้น… ดันมาพร้อมกับ สงครามโลกครั้งที่ 1 พอดี
2. 1914–1917: ช่วงนั่งดูคนอื่นตีกัน – นโยบาย “เป็นกลาง แต่ไม่ใช่ไม่สน”
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 ปะทุขึ้นในปี 1914 สยามตอนนั้นเลือกวางตัวเป็นกลาง
-
ฝั่งหนึ่งคือ เยอรมนี–ออสเตรีย-ฮังการี และพันธมิตร
-
อีกฝั่งคือ สัมพันธมิตร นำโดย อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย (และภายหลังสหรัฐอเมริกา)
ถ้ามองจากแผนที่ยุคนั้น สยามอยู่ตรงกลางระหว่าง จักรวรรดิอังกฤษในพม่า–มลายู และ จักรวรรดิฝรั่งเศสในอินโดจีน – แค่หายใจก็เกือบชนรั้วบ้านเขาแล้ว จะขยับแรง ๆ ก็เสี่ยงโดนตีว่าเข้าข้างศัตรูของใครสักเจ้า
สามปีแรกของสงคราม รัชกาลที่ 6 จึงเลือกทาง “ปลอดภัยที่สุดในระยะสั้น” คือ เป็นกลาง แต่ไม่ใช่เฉยเมยแบบตัดขาดโลกภายนอก รัฐบาลยังจับตาดูสนามรบยุโรปตลอด ว่า
-
แนวรบขยับไปทางไหน
-
ชาติไหนเริ่มเสียเปรียบ
-
สงครามนี้จะจบยังไง ใครจะเป็นผู้กำหนดกติกาโลกใบใหม่
เพราะรู้ดีว่า ใครชนะ = คนเขียนกติกาใหม่ และกติกานั่นแหละที่จะไปแตะเรื่องศาลกงสุล เรื่องภาษี เรื่องสถานะของสยามเต็ม ๆ
3. จุดหักเห: ทำไมวันที่ 22 กรกฎาคม 1917 สยามถึงประกาศสงคราม
กลางปี 1917 สงครามโลกไม่ได้อยู่ในจุด “ยังสูสี” แบบปีแรก ๆ อีกต่อไปแล้ว
-
เยอรมนีเริ่มเหนื่อย ล็อกทะเลด้วยการปิดล้อมของอังกฤษ
-
รัสเซียกำลังจะแตกจากปัญหาปฏิวัติภายใน
-
และที่สำคัญที่สุด: สหรัฐอเมริกาเข้าร่วมฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้ดุลกำลังเริ่มชัดเจนว่าฝั่งไหนจะชนะในระยะยาว
นี่คือจุดที่รัชกาลที่ 6 ตัดสินใจว่า “ถึงเวลาแล้ว”
3.1 การประกาศสงคราม
วันที่ 22 กรกฎาคม 1917 สยามประกาศสงครามต่อ เยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี อย่างเป็นทางการ
ในคำประกาศและคำอธิบายที่แจ้งต่อประชาชน มีสองชั้นของเหตุผล:
-
ชั้นบน – เหตุผลตามหลักกฎหมายและศีลธรรมสากล
-
กล่าวโทษเยอรมนีและพันธมิตรว่าละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
-
ทำลายเรือพาณิชย์และผลประโยชน์ของประเทศที่ไม่ได้รบด้วย (สงครามเรือดำน้ำไม่จำกัด เป้าหมาย)
-
สยามจึง “เข้าร่วมเพื่อยืนข้างความยุติธรรม”
-
-
ชั้นล่าง – เหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ของผู้นำสยาม
-
ถ้าอยากมีสิทธิ์นั่งโต๊ะหลังสงคราม ต้องเป็น “ประเทศร่วมรบฝ่ายชนะ”
-
การได้สถานะนั้นคือกุญแจที่จะใช้ไปต่อรองแก้ สัญญาไม่เป็นธรรม ที่ค้างมาเป็นครึ่งศตวรรษ
-
หลังประกาศสงครามแล้ว รัฐบาลสยามเดินเกมต่อทันที ไม่ได้แค่แปะกระดาษแล้วจบ
3.2 การยึดเรือ–อายัดทรัพย์–กักตัวคนชาติศัตรู
หนึ่งในคำสั่งแรก ๆ คือ:
-
ยึดเรือสินค้าเยอรมัน ที่จอดในท่าเรือสยาม
-
ปิดกิจการของบริษัทชาติคู่สงคราม ในราชอาณาจักร
-
กักตัวชาวเยอรมันและออสเตรียบางส่วน ไว้ในประเทศ
ระหว่างนั้นรัฐบาลก็เริ่มเตรียมอีกหมากที่สำคัญกว่า คือ กองทหารอาสาสมัครที่จะส่งไปยุโรป
4. จากฝั่งเจ้าพระยาไปถึงมาร์กเซย์: กองทหารอาสาสมัครสยาม
หลังประกาศสงคราม รัฐบาลประกาศรับ “อาสาสมัครไปรบต่างแดน” และกระบวนการคัดเลือกเริ่มขึ้น
สุดท้ายได้กำลังพลราว 1,284–1,300 นาย (ตัวเลขแล้วแต่เอกสาร) แบ่งออกเป็นหน่วยหลัก ๆ ได้แก่:
-
กองบิน (Aviation Corps) – นายทหารอากาศที่ไปฝึกกับระบบของฝรั่งเศส
-
กองรถยนต์/ขนส่ง (Automobile/Transport Corps) – ทำหน้าที่ขนส่งยุทโธปกรณ์และกำลังพล
-
กองแพทย์และสาธารณสุข (Sanitary/Medical Corps) – ดูแลผู้บาดเจ็บและป่วยไข้
ผู้บังคับบัญชาระดับสูงคือ พลโทพระยาเทพหัสดินฯ (Phraya Thephatsadin) นายทหารที่เคยผ่านการฝึกในยุโรป พูดภาษาฝรั่งเศสได้ เข้าใจวัฒนธรรมทหารฝรั่งดี ทำให้การประสานงานในแนวหน้าสะดวกขึ้นมาก
4.1 เส้นทางสู่ยุโรป
หลังการฝึกพื้นฐานและเตรียมตัวหลายเดือน กองทหารสยามออกเดินทางด้วยเรือกลไฟจากเจ้าพระยาลงอ่าวไทย แล้วอ้อมผ่านมหาสมุทรอินเดีย ผ่านคลองสุเอซ ไปขึ้นฝั่งที่ ท่าเรือมาร์กเซย์ (Marseille) ในเดือนกรกฎาคม 1918
บนเรือมีทั้งความตื่นเต้นและความกังวล – ทหารหลายคนไม่เคยออกนอกภูมิภาคเอเชียมาก่อน โลกยุโรปที่กำลังลุกเป็นไฟคืออะไร ไม่มีใครรู้แน่ชัด จนกว่าจะเหยียบฝั่ง
เมื่อเรือเข้าเทียบท่า สิ่งที่โบกสะบัดอยู่ด้านหน้าไม่ใช่ธงช้างเผือกอีกต่อไป แต่คือ ธงไตรรงค์แบบใหม่ ที่เพิ่งเปลี่ยนไม่กี่ปีก่อน – แดง ขาว น้ำเงิน: ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
มันไม่ใช่แค่การเปลี่ยนผืนผ้า แต่คือการประกาศตัวว่า
“สยามพร้อมจะยืนอยู่ในกลุ่ม ‘ชาติสมัยใหม่’ ของโลกแล้วนะ”
5. ชีวิตทหารไทยในยุโรป: อยู่แนวหน้าแบบ “ไม่ใช่พระเอกหนังสงคราม แต่ขาดไม่ได้”
หลายคนชอบล้อว่า “ทหารไทยไปถึงยุโรป สงครามก็จะเลิกพอดี” ซึ่งในแง่เวลา… ก็จริงอยู่ส่วนหนึ่ง เพราะ:
-
กองทหารอาสาสมัครไทยไปถึงฝรั่งเศสในช่วงกลางปี 1918
-
สงครามยุติด้วยการลงนามสงบศึก (Armistice) ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 1918
ห่างกันไม่กี่เดือนเอง
แต่ระหว่างนั้น กองทหารไทยไม่ได้ไปยืนถ่ายรูปเฉย ๆ นะ เขาเข้าไปอยู่ในระบบรบของฝรั่งเศสจริง ๆ เพียงแต่ บทบาทหลักคือ “สนับสนุน” มากกว่า “บุกยึดสนามเพลาะ”
5.1 งานจริงของทหารสยาม
-
กองรถยนต์–ขนส่ง
-
ขับรถบรรทุกยุทโธปกรณ์ เสบียง และคนเจ็บ ไป–กลับแนวหน้า–แนวหลัง
-
ถนนฝรั่งเศสช่วงสงครามไม่ได้โรยกลีบกุหลาบ แต่เต็มไปด้วยโคลน หลุมระเบิด และการโจมตีทางอากาศ
-
-
กองแพทย์
-
ช่วยรักษาทหารสัมพันธมิตรที่บาดเจ็บจากแนวรบ
-
รับมือทั้งแผลจากกระสุน ปืนใหญ่ แก๊สพิษ และโรคระบาด
-
-
กองบิน
-
ฝึกกับเครื่องบินแบบ Nieuport รุ่นต่าง ๆ
-
บางส่วนได้ปฏิบัติหน้าที่ในภารกิจลาดตระเวนและติดต่อสื่อสาร
-
ทหารไทยบางหน่วยถูกส่งเข้าใกล้แนวรบจริงในปลายสงคราม แต่ไม่ได้มีบันทึกว่ามีใครเสียชีวิตจากการรบตรง ๆ การสูญเสียจริง ๆ กลับมาจากอีกอย่างหนึ่ง
5.2 ศัตรูที่ร้ายกว่าปืนใหญ่: ไข้หวัดใหญ่สเปน
หลังสงครามยุติในปลายปี 1918 โรคระบาดลูกใหญ่คือ ไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish Flu) ระลอกใหญ่ที่กวาดคนทั้งยุโรป
ทหารสยามก็ไม่รอด – มีอาสาสมัครรวมทั้งสิ้น 19 นาย เสียชีวิตในยุโรปและระหว่างปฏิบัติหน้าที่ (ส่วนใหญ่จากโรคและอุบัติเหตุ ไม่ได้ตายในสนามรบโดยตรง)
ศพของพวกเขาถูกฌาปนกิจที่ยุโรป ก่อนอัฐิจะถูกอัญเชิญกลับสยามในภายหลัง และบรรจุไว้ที่ เจดีย์อนุสรณ์ทหารอาสาสยาม บริเวณสนามหลวง พร้อมสลักชื่อรำลึกไว้
ในมุมหนึ่ง นี่ไม่ใช่ “ตำนานวีรกรรมยิงปืนถล่มแนวรบ” แบบในหนัง แต่เป็นเรื่องของมนุษย์กลุ่มเล็ก ๆ ที่ยอมออกจากบ้าน ไปอยู่ในสงครามของคนอื่น เพื่อให้ประเทศตัวเองมีที่ยืนในโลก
6. จากสนามเพลาะสู่ห้องกระจก: สยามในที่ประชุมแวร์ซายส์ 1919
สงครามจบไม่ใช่ตอนหยุดยิง แต่ตอน “ผู้ชนะนั่งลงคุยกันว่าจะเขียนกติกาโลกใหม่ยังไง”
ที่นั่นแหละ – พระราชวังแวร์ซายส์ นอกกรุงปารีส
บนโต๊ะประชุมปี 1919 มีตัวละครใหญ่ ๆ คือ:
-
สหรัฐอเมริกา – ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน ผู้ผลักดันแนวคิดเรื่องสันติภาพแบบมีหลักการ และการตั้ง “สันนิบาตชาติ (League of Nations)”
-
อังกฤษ–ฝรั่งเศส–อิตาลี ในฐานะผู้ชนะเก่ามหาอำนาจอาณานิคม
-
และอีกหลายประเทศที่เข้าร่วมฝ่ายสัมพันธมิตร รวมถึงประเทศเล็กอย่างสยามด้วย
ตอนนั้น รัฐบาลสยามส่งคณะผู้แทนไปปารีส โดยมีผู้นำคณะคือ เจ้านายและขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ที่คุ้นเคยกับโลกยุโรป มีทูตอาชีพ และมีที่ปรึกษาชาวต่างประเทศที่เข้าใจกฎหมายสากลดี
6.1 ภารกิจของคณะผู้แทนสยาม
พูดให้สั้นแต่ชัด ภารกิจของคณะผู้แทนสยามมีสามข้อหลัก ๆ:
-
ยืนยันสถานะว่า “สยามคือฝ่ายชนะ”
-
เพื่อไม่ให้มหาอำนาจมองว่าไทยเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่ตามเขามาเฉย ๆ
-
การมีทหารอาสาในยุโรปช่วยให้คำอ้างนี้มีน้ำหนัก
-
-
ยื่นขอให้เลิก “สัญญาไม่เป็นธรรม” กับชาติเยอรมันและพันธมิตร
-
โดยเฉพาะสิทธิศาลกงสุลและสิทธิพิเศษทางเศรษฐกิจ
-
เพื่อใช้เป็น “ต้นแบบ” ในการไปเจรจากับอังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐ ในลำดับต่อมา
-
-
ผลักดันให้สยามได้เข้าเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งของ “สันนิบาตชาติ”
-
เพื่อยืนยันว่าประเทศนี้ไม่ใช่ดินแดนล้าหลัง แต่เป็นส่วนหนึ่งของ “สังคมอารยะ” อย่างแท้จริง
-
6.2 ใครขวาง ใครช่วย
บนโต๊ะเจรจา ไม่ได้โรยกลีบกุหลาบให้สยาม – เพราะผลประโยชน์มหาอำนาจมันทับซ้อนกันอยู่
-
ฝรั่งเศส มองสยามด้วยสายตาระแวง
-
กลัวไทยใช้โอกาสนี้มาต่อรองเรื่องดินแดนลาว–กัมพูชาที่เคยเสียไป
-
ไม่อยากให้ไทยหลุดจากสถานะที่ถูกควบคุมทางกฎหมายและเศรษฐกิจ
-
-
อังกฤษ อยู่ในจุดกลาง ๆ – ไม่ได้ผลักสยามแรง แต่ก็ไม่ได้ขวางเต็มที่ เพราะผลประโยชน์หลักของอังกฤษอยู่ที่พม่า–มลายูมากกว่า
-
สหรัฐอเมริกา กลับกลายเป็นฝ่ายที่ช่วยไทยมากที่สุด
-
เพราะไม่อินกับระบบอาณานิคมแบบยุโรปเท่าไร
-
และเห็นว่าไทยเป็นตัวอย่างประเทศเอเชียที่พร้อมเข้าสู่ระบบกติกาสากล
-
นักการทูตสยามรู้ดีว่าต้อง “เล่นเกมหลายชั้น” พร้อมกัน:
-
ใช้ภาษาและกรอบคิดทางกฎหมายสากลเพื่อพูดคุยกับฝั่งยุโรป
-
ใช้ความสัมพันธ์อันดีกับสหรัฐเพื่อให้มี “เสียงสนับสนุน” ในห้องประชุม
-
ระวังไม่ให้ท่าทีดูท้าทายมากเกินไปจนโดนเขม่นกลับ
7. สารลับบนโต๊ะ: สิ่งที่สยามขอจากผู้ชนะ
ถ้าแปลงภาษาการทูตให้เป็นภาษาคนธรรมดา สิ่งที่สยามพูดกับชาติมหาอำนาจในปี 1919 คือประมาณนี้:
“เราเข้าร่วมสงครามในฐานะมิตรของพวกคุณ
เราส่งทหาร เราทำตามกติกาโลก
เราจึงควรได้รับการยอมรับว่าเป็นรัฐอธิปไตยเท่าเทียมกัน
และควรยกเลิกสัญญาเก่าที่วางเราไว้ต่ำกว่าพวกคุณ”
เอกสารบางชุดระบุว่าคณะผู้แทนสยามยื่น บันทึกข้อเรียกร้อง (memorandum) อย่างเป็นทางการต่อการประชุม โดยเน้นไปที่:
-
การรับรองว่า สนธิสัญญาเก่าระหว่างสยาม–เยอรมนีสิ้นสุดลงพร้อมสิทธิศาลกงสุล
-
การขอให้เรื่องนี้ถูกเขียนลงในสนธิสัญญาสันติภาพ (Treaty of Versailles) อย่างชัดเจน
-
เพื่อใช้เป็น “หมุดหมายทางกฎหมาย” ว่า โลกยอมรับแล้วว่าสยามไม่อยู่ใต้ระบอบกึ่งอาณานิคมแบบเดิม
8. บทสรุปในกระดาษ: บทว่าด้วย “สยาม” ในสนธิสัญญาแวร์ซายส์
ผลลัพธ์ที่ออกมาคือ ในสนธิสัญญาแวร์ซายส์มี มาตราหนึ่งที่พูดถึงสยามโดยเฉพาะ ระบุแบบชัด ๆ ว่า:
-
เยอรมนียอมรับว่า สนธิสัญญาและสิทธิทั้งหลายที่เคยมีในสยามถือว่าสิ้นสุดลง
-
รวมถึง สิทธิศาลกงสุล (extraterritorial jurisdiction) ทั้งหมดด้วย
พูดแบบบ้าน ๆ คือ เยอรมนีถูกบังคับให้ยินยอมว่า “ต่อไปนี้กูไม่มีอภิสิทธิ์เหนือกฎหมายสยามแล้ว”
แน่นอนว่า นี่เป็นแค่ก้าวแรก – ยังเหลืออังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐ และชาติอื่น ๆ ที่ต้องไปคุยต่อทีละราย แต่หมุดตัวนี้ในแวร์ซายส์ทำให้ไทยมีหลักฐานไปเคาะประตูคุยกับชาติอื่นได้ว่า
“เห็นไหม มหาอำนาจยังยอมรับแล้วว่า เราควรได้ความเท่าเทียม”
ไม่นานหลังจากนั้น ในช่วงทศวรรษ 1920–1930 มหาอำนาจตะวันตกก็ทยอยยกเลิกสิทธิศาลกงสุลของตนในสยาม จนในที่สุด ประเทศนี้จึงได้ “อำนาจศาลเต็มใบ” คืนมาครบจริง ๆ
8.1 ผลข้างเคียงที่แทบไม่ค่อยถูกเล่า
-
สยามได้รับ เรือสินค้าเยอรมันที่ถูกยึด ไปใช้ต่อ
-
ได้เข้าเป็น สมาชิกผู้ก่อตั้งสันนิบาตชาติ (League of Nations)
-
ผู้นำและขุนนางสยามได้ “บัตรผ่านเข้าสู่ชมรมผู้เขียนกติกาโลก” อย่างเต็มตัว
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นบนพื้นฐานของการประกาศสงครามที่หลายคนมองว่า “เข้าช้า” แต่ในมุมยุทธศาสตร์มันคือ การ “เข้าตอนที่ผลลัพธ์เริ่มชัด” เพื่อลดความเสี่ยงแต่เก็บผลประโยชน์เต็มที่
9. ตัวละครในเรื่องนี้ – ใครเล่นบทอะไร
พอไล่ทั้งเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ เราจะเห็นตัวละครสำคัญหลายคน ทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายต่างประเทศ
9.1 ฝ่ายสยาม
-
รัชกาลที่ 6 (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว)
ผู้นำที่ตัดสินใจพาประเทศเข้าร่วมสงคราม ใช้สงครามเป็นเวทีพาชาติเล็ก ๆ ไปปรากฏตัวบนเวทีโลก สร้างทั้ง “สยามนิสสึม” (Siamese nationalism) และฐานให้การเจรจารื้อสัญญาเก่า -
เจ้านายและขุนนางสายการทูต
เจ้ากระทรวงต่างประเทศ ทูตประจำยุโรป และคณะผู้แทนสยามที่ปารีส ทำหน้าที่ “ภาคปฏิบัติ” ในการเจรจา ใช้ภาษาและเหตุผลสากลสู้กับระบบของมหาอำนาจ โดยมีที่ปรึกษาชาวต่างชาติเป็นแบ็กเอนด์ด้านเทคนิค -
พระยาเทพหัสดินฯ และนายทหารชั้นสั่งการในกองทหารอาสาสมัคร
วางโครงสร้าง คัดเลือก และนำกำลังพลไปยุโรป ประสานกับฝ่ายฝรั่งเศส ให้ทหารสยามกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องจักรสงครามสัมพันธมิตรได้จริง ไม่ใช่แค่ “รายชื่อบนกระดาษ” -
ทหารอาสาสมัครประมาณ 1,300 ชีวิต
คนหนุ่มจากสังคมที่ไม่เคยเห็นหิมะ ไม่เคยได้ยินเสียงปืนใหญ่แบบยุโรป แต่ยอมขึ้นเรือไปฟากโลก เพื่อให้ประเทศตัวเองมีเสียงในโต๊ะประชุมในวังหรูที่ปารีส และ 19 คนในนั้นต้องตายห่างไกลบ้านเพราะโรคในดินแดนที่ไม่ได้เป็นของตัวเองเลยสักนิด
9.2 ฝ่ายต่างประเทศ
-
ฝรั่งเศส – มหาอำนาจที่ทั้งเป็นเจ้าบ้าน (ในปารีส) และเป็นเพื่อนบ้านที่ชอบหักพื้นที่เรามาตลอดในอินโดจีน จึงมองสยามด้วยความหวาดระแวง ไม่อยากให้สยามแข็งแกร่งจนทวงอะไรคืนได้
-
อังกฤษ – อีกเสืออาณานิคมในภูมิภาค ที่แม้จะไม่ได้ผลักดันไทยแบบสุดตัว แต่ก็ไม่ได้ขวางทุกเรื่อง ตราบใดที่ผลประโยชน์ตัวเองไม่โดนชนมากเกินไป
-
สหรัฐอเมริกา – ประธานาธิบดีวิลสันและคณะทูต
ฝ่ายที่ช่วยให้เสียงของสยามมีที่ยืนในห้องประชุม สนับสนุนหลักการความเท่าเทียมของรัฐสมาชิก และผลักดันแนวคิดสันนิบาตชาติที่เปิดพื้นที่ให้ประเทศเล็กมีตัวตน
10. ถ้ามองย้อนไป: สงครามที่สยามแทบไม่ได้รบ แต่ได้เปลี่ยนชะตาประเทศ
ในเชิงกำลังทัพ สยามไม่ได้เป็นตัวแปรบนสมรภูมิยุโรปเลย – ไม่ได้ส่งกองทัพนับแสน ไม่มีแนวเพลาะที่ชื่อจารึกในตำราใหญ่ ๆ ของฝรั่ง
แต่ในเชิงการเมืองระหว่างประเทศ การเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 คือจุดหักเหสำคัญของสถานะสยามบนเวทีโลก:
-
จากประเทศที่ต้องทนอยู่ใต้สนธิสัญญาไม่เป็นธรรม – ค่อย ๆ หลุดจากกรงนั้นได้ทีละชั้น
-
จากรัฐเล็กในสายตาเสืออาณานิคม – กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกสันนิบาตชาติที่มีสิทธิ์ร่วมเขียนกติกาโลก
-
จากการรบที่แทบไม่ได้ยิงปืน – กลายเป็นชัยชนะทางการทูตที่ใช้กระดาษ ปากกา และสติ แทนเลือดท่วมสนามเพลาะ
และนั่นทำให้มุกในมีม Siam in WWI being a chad มีมิติที่ลึกกว่าคำว่า “เนียนเก่ง” หรือ “ไปเก็บแต้มตอนจบเกม”
มันคือเรื่องของผู้นำประเทศเล็ก ๆ ที่อ่านกระแสโลกออก เลือกจังหวะเข้าร่วมสงครามอย่างระมัดระวัง ส่งทหารจำนวนไม่มาก แต่พอให้โลกต้องนับว่า “สยามก็อยู่ฝ่ายเรา” แล้วใช้เครดิตเล็ก ๆ ก้อนนั้น ขยายต่อบนโต๊ะประชุมจนได้ผลประโยชน์เกินขนาดกำลังทหารหลายเท่า
ถ้าเป็นเกม RPG สยามไม่ได้เล่นคลาสนักรบถือดาบใหญ่ แต่เลือกเล่นคลาสสายสนับสนุน–นักการทูต ที่กดสกิลถูกจังหวะจนเลเวลชาติเด้งขึ้นแบบไม่ต้องฟาร์มศพในสนามรบเป็นภูเขา
และนี่แหละ – คือเรื่องเล่ายาว ๆ ที่ซ่อนอยู่หลังมีมขำ ๆ รูปธงไทยยืนหล่อในสงครามโลกครั้งที่ 1
ถ้าวันหนึ่งคุณได้เดินผ่านเจดีย์อนุสรณ์ทหารอาสาสยามที่สนามหลวง หรือเห็นภาพขบวนทหารไทยเดินในปารีสปี 1919 ในพิพิธภัณฑ์ ลองนึกถึงชายหนุ่มราวพันกว่าคนที่ยอมออกจากบ้านไปอยู่ในสงครามของคนอื่น เพื่อให้ประเทศตัวเอง “มีที่นั่งในห้องประชุมของโลก”
เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ประวัติศาสตร์ต่างประเทศ แต่เป็นอีกฉากหนึ่งของการเอาตัวรอดของสังคมเราเองในยุคที่เสืออาณานิคมล้อมรอบแบบ 360 องศา