วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

บทวิเคราะห์: เมื่อเพื่อนบ้านปะทะ มหาอำนาจขยับ ใครทำตัวแบบไหนกับไทยในศึกเขมร 2025?

สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาที่กำลังปะทุขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ หากแต่เกิดท่ามกลางสายตาของ “เพื่อนบ้าน” และ “มหาอำนาจโลก” ที่ต่างจับจ้อง ตีความ และขยับหมากอย่างระวัง เพราะไทยไม่ใช่เพียงผู้ถูกรุกราน แต่เป็น “หมากสำคัญ” บนกระดานภูมิรัฐศาสตร์ของทั้งภูมิภาค

ในบทความนี้ เราชวนมองแบบเข้าใจง่าย ๆ ว่า… ใครกำลังทำตัวแบบไหนกับไทย? ใครจริงใจ ใครเสี้ยม ใครนิ่งดูเชิง — และทั้งหมดนี้เป็นการวิเคราะห์แนวโน้ม ไม่ใช่ข้อสรุปตายตัว

🎯 วิเคราะห์เชิงกลยุทธ์: ใคร “ทำตัวแบบไหน” กับไทย

🌐 มหาอำนาจโลก

🇨🇳 จีน – “เทกแคร์เขมร แต่ไม่อยากให้เสียไทย”

  • จีนเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์กับกัมพูชา แต่ก็ไม่อยากให้ไทยเอียงเข้าหาสหรัฐฯ

  • จึงแถลงแบบกลาง ๆ ว่าอยากให้เจรจา แต่ไม่เคยตำหนิกัมพูชาเลยแม้แต่นิด

  • เหตุผลสำคัญ: หากเกิดสงคราม จะกระทบความน่าเชื่อถือของโครงการ Belt and Road (BRI) ที่ลงทุนไว้ทั่วภูมิภาค รวมถึงไทย

🇺🇸 สหรัฐ – “ดึงเกมให้นาน กดดันให้ไทยต้องเลือกข้าง”

  • ไม่ปกป้องไทยตรง ๆ แต่เสนอให้ “หยุดยิงและเจรจา” เพื่อควบคุมทิศทางการสื่อสาร (narrative)

  • เป้าหมายระยะยาวคือกดดันให้ไทยออกจากจุดกึ่งกลาง และเลือกเข้าข้างตะวันตก

  • หากไทยถูกกัมพูชากระทำซ้ำ ๆ ก็จะมีแนวโน้มเอียงฝั่งอเมริกามากขึ้น

  • ใช้นโยบาย soft pressure มากกว่าความช่วยเหลือทางทหารตรง ๆ เพราะไม่ต้องการให้เกิดความแตกแยกในอาเซียนมากเกินไป

🌐 EU / 🇫🇷 ฝรั่งเศส – “เฝ้าดูแล้วจะพูดเมื่อจำเป็น”

  • ตอนนี้ยังเงียบ แต่ถ้ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนชัดเจนในฝั่งใด ฝรั่งเศสหรือ EU จะพูดเสียงดังขึ้น

  • ฝรั่งเศสมีประวัติสัมพันธ์ลึกซึ้งกับกัมพูชา ทั้งในด้านวัฒนธรรมและมรดกโลก เช่น ปราสาทพระวิหาร

  • จึงยังไม่อยากออกหน้าแรงในตอนนี้ รอดูสถานการณ์ก่อน


🌏 ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

🇻🇳 เวียดนาม – “กลัวเขมรโต เลยเงียบแบบระแวดระวัง”

  • เวียดนามมีอดีตรบกับกัมพูชาในสงครามสมัยเขมรแดง และยังไม่ไว้ใจรัฐบาลกัมพูชาเต็มที่

  • จึงวางตัวระมัดระวัง พูดแค่ “กังวล” โดยไม่เอ่ยถึงฝ่ายใดเป็นพิเศษ

  • หากเห็นว่ากัมพูชาเริ่มแข็งแรงเกินไป อาจเปลี่ยนท่าทีทันที

🇸🇬 สิงคโปร์ – “ขออยู่กลางแบบฉลาด”

  • เน้นให้ใช้กลไกเจรจาผ่านอาเซียน ไม่สนับสนุนการใช้กำลัง

  • วางตัวเป็นกลาง เพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่สิงคโปร์พึ่งพาอย่างสูง

  • มีบทบาท soft power เบื้องหลัง ทั้งด้านการเงิน การลงทุน และการทูต

🇲🇾 มาเลเซีย – “อย่าให้ไฟลามทุ่งมาถึงบ้านเรา”

  • พยายามไม่เลือกข้าง แถลงเพียงความห่วงใยและเรียกร้องให้เจรจา

  • กลัวว่าความขัดแย้งจะกระทบเสถียรภาพภูมิภาค และทำให้เกิดการแบ่งขั้วในอาเซียน

🇮🇩 อินโดนีเซีย – “อย่าแตกแยกในอาเซียนเลย ขอร้อง”

  • เรียกร้องให้อาเซียนสามัคคีกันและหาทางออกผ่านเวทีภูมิภาค

  • ไม่สนับสนุนการใช้กำลัง และกลัวว่าความแตกแยกจะลดบทบาทของอาเซียนในเวทีโลก

🇵🇭 ฟิลิปปินส์ – “มองจีนเป็นภัย ไม่ชอบเขมรเท่าไหร่”

  • มีท่าทีคล้ายสหรัฐฯ สนับสนุนให้ใช้สันติวิธี แต่ใจเอนเอียงมาทางไทย

  • เพราะไม่อยากเห็นจีนขยายอิทธิพลผ่านกัมพูชา ซึ่งอาจทำให้จีนแข็งแกร่งในภูมิภาคเพิ่มขึ้น

🇱🇦 ลาว – “เกรงใจจีน เก็บตัวเงียบ”

  • ไม่แสดงจุดยืนใด ๆ เพราะอยู่ภายใต้อิทธิพลของจีนสูงมาก

  • ไม่มีแรงจูงใจจะเข้าข้างไทย และกลัวจะเป็นชนวนความขัดแย้งเพิ่มหากพูดผิดฝั่ง

🇲🇲 เมียนมา – “ติดสงครามในบ้านตัวเอง”

  • รัฐบาลทหารกำลังต่อสู้กับกองกำลังชนกลุ่มน้อยในประเทศ จึงไม่มีเวลาหรือศักยภาพจะเข้าแทรกแซงหรือออกความเห็น

  • หากพูดอะไร ก็อาจพูดเข้าข้างไทยเพื่อหวังการสนับสนุนจากรัฐบาลไทยในเวทีนานาชาติ

🇯🇵 ญี่ปุ่น – “ขออยู่แบบเพื่อนดีทุกฝ่าย”

  • สนับสนุนการเจรจา หลีกเลี่ยงความรุนแรง เพราะไม่อยากให้ห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ในอาเซียนปั่นป่วน

  • ลงทุนในไทยและอาเซียนสูงมาก จึงต้องการเสถียรภาพเป็นหลัก


🧠 บทสรุป : ไทยกลายเป็นเป้า ทั้งจากเพื่อน และจากหมากของคนอื่น

  • 🇨🇳 จีนกลัวเสียหมากให้ตะวันตก → เลยพูดกลาง ๆ

  • 🇺🇸 อเมริกาอยากให้เกมยืด → เพื่อดันไทยเข้าฝั่งตะวันตก

  • 🇻🇳 เวียดนามจับตาเขมร → ไม่ไว้ใจใคร แต่ยังไม่แสดงไพ่

  • 🇯🇵 ญี่ปุ่นอยากให้ทุกอย่างจบไว → ไม่อยากเสียซัพพลายเชน

  • 🇪🇺 ฝรั่งเศส/EU เฝ้าดูเงียบ ๆ → รอดูว่าเรื่องสิทธิมนุษยชนจะเด่นชัดแค่ไหน

  • 🇸🇬🇲🇾🇮🇩 สิงคโปร์-มาเลเซีย-อินโดนีเซีย → ขอเพียงอาเซียนไม่แตกแยก

  • 🇵🇭 ฟิลิปปินส์ พร้อมหนุนไทยเงียบ ๆ หากเกมยืดยาว

ในเกมที่หมากถูกวาง ไทยไม่ควรยอมเป็นหมากใคร — แต่ต้องวางตัวเองเป็นคนเล่นกระดานแทน

วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ความโกรธชาติพันธุ์: เมื่อความเจ็บปวดถูกปลุก และเราต้องเลือกว่าจะรับมืออย่างไร

บทนำ: เรากำลังเจอกับอะไร?

สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชากลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง หลังเหตุปะทะชายแดนคร่าชีวิตทั้งทหารและพลเรือน เสียงเรียกร้อง "เอาคืน" และ "ถึงเวลาแล้ว" ปะทุขึ้นทันทีบนโซเชียลมีเดีย ความโกรธที่อัดอั้นถูกเติมเชื้อด้วยภาพความสูญเสียและคำพูดปลุกระดมในสื่อที่ไร้การกรอง เหตุการณ์ที่ควรได้รับการตรวจสอบเชิงลึกกลับกลายเป็นฉากหลังให้กับการปลุกปั่นอารมณ์แบบขาดสติ

เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ อารมณ์ส่วนรวมอาจถูกลากไปสู่ความเกลียดชังชาติพันธุ์ได้ง่ายดาย ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ พลังของสื่อและโซเชียลเร่งความร้อนแรงของความรู้สึกได้เกินจริง เมื่อการเมืองเงียบ สื่อสารไร้ทิศ และผู้นำขาดภาวะ ประชาชนก็ถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังในห้วงของความโกรธและความหวาดกลัว สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่แค่การปะทะที่ชายแดน แต่คือการที่สังคมไทยเองอาจกลายเป็นผู้จุดไฟแห่งความรุนแรงซ้ำ โดยไม่รู้ตัว ความเกลียดชังจากโพสต์สั้น ๆ หรือคอมเมนต์สะใจเพียงบรรทัดเดียว สามารถเติบโตเป็นความรุนแรงจริงในโลกจริงได้ หากไม่มีระบบหรือบุคคลใดเข้ามากำกับทิศทางของอารมณ์นั้นอย่างมีสติ


ตัวอย่างในประวัติศาสตร์: เมื่อความเกลียดกลายเป็นการฆ่า

ประวัติศาสตร์ได้ให้บทเรียนราคาแพงแก่เราแล้ว เมื่อใดที่อารมณ์เกลียดชังถูกจุดติด ผลลัพธ์ที่ตามมาคือหายนะเสมอ:

  • รวันดา ปี 1994: การปลุกกระแสเกลียดชังระหว่างชาวฮูตูและทุตซีผ่านวิทยุและสื่อ ทำให้ชาวบ้านจำนวนมากลุกขึ้นมาเข่นฆ่าเพื่อนบ้านของตัวเอง จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 800,000 คนภายในเวลาเพียง 100 วัน

  • เมียนมา-โรฮิงญา: การเผยแพร่ความเกลียดชังผ่านโซเชียลและสื่อรัฐ ทำให้ประชาชนธรรมดาเข้าร่วมกับกองทัพในการไล่ฆ่า ข่มขืน และเผาหมู่บ้านของชาวโรฮิงญา ส่งผลให้เกิดการอพยพลี้ภัยครั้งใหญ่ และมีการตั้งข้อหา "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" ต่อรัฐบาลเมียนมา

  • นาซีเยอรมนี: ความเกลียดชังชาวยิวที่ถูกปลูกฝังผ่านระบบการศึกษา สื่อ และโฆษณาชวนเชื่อ นำไปสู่ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์

  • บอสเนีย ปี 1995: เหตุการณ์สังหารหมู่ในสเรเบรนิกา ซึ่งกองทัพเซอร์เบียฆ่าชายมุสลิมบอสเนียกว่า 8,000 คน โดยใช้การเกลียดชังทางศาสนาและชาติพันธุ์เป็นเชื้อเพลิง

  • อินเดีย–ปากีสถาน (หลายเหตุการณ์): การปะทะกันของมวลชนต่างศาสนา โดยเฉพาะระหว่างฮินดูกับมุสลิม มักเริ่มจากข่าวลือเล็กน้อยและการปลุกอารมณ์ ผ่านโซเชียลและคำพูดยุยง จนนำไปสู่การไล่ฆ่าเผาชุมชนทั้งย่าน

เหตุการณ์เหล่านี้เตือนเราว่า หากรัฐและประชาชนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ ไม่สามารถแยกแยะระหว่าง "ศัตรูจริง" กับ "คนที่ตกเป็นเป้าโดยไม่มีเหตุ" ได้ — สังคมทั้งสังคมก็จะกลายเป็นเวทีแห่งการทำลายกันเอง

และหากเราย้อนกลับมามองประเทศไทยในเวลานี้ คำถามสำคัญคือ: เราจะปล่อยให้ไฟของอารมณ์พาเราถลำลึกไปไกลแค่ไหน? เราต้องตระหนักว่า การปล่อยให้ความโกรธกลืนกินเหตุผล ย่อมทำให้เราตกเป็นเหยื่อของวังวนประวัติศาสตร์ซ้ำเดิม ซึ่งโลกทั้งใบได้พิสูจน์มาแล้วว่าสิ้นสุดด้วยโศกนาฏกรรมเสมอ


ทำไมเราใช้กำลังตอบโต้ไม่ได้: กฎเกมของโลกยุคใหม่

ในอดีต การใช้อาวุธตอบโต้ทันทีอาจถูกมองว่าเป็นการปกป้องศักดิ์ศรีชาติ แต่ในโลกยุคใหม่นี้ ทุกการเคลื่อนไหวถูกจับตามองผ่านกล้อง ดาวเทียม และกระแสโซเชียล การใช้กำลังโดยไม่ผ่านกลไกทางการทูตหรือข้อพิสูจน์ทางกฎหมายสากล จะกลายเป็นภัยต่อประเทศเราเองทันที

ประเทศที่เลือกใช้กำลังแบบ "ไม่สัดส่วน" หรือ "ไร้เหตุผลชัดเจน" จะถูกจัดอยู่ในฐานะผู้รุกราน และจะถูกกดดันจาก:

  • ประชาคมโลก: เช่น สหประชาชาติ (UN), อาเซียน หรือสหภาพยุโรป (EU)

  • องค์กรสิทธิมนุษยชน: พร้อมรายงานและส่งแรงกดดันต่อผู้นำประเทศ

  • ประเทศมหาอำนาจ: อย่างสหรัฐฯ จีน รัสเซีย ซึ่งล้วนมีผลประโยชน์ในภูมิภาคและไม่ได้เข้าข้างใครอย่างเปิดเผย

และที่สำคัญที่สุดคือ ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศมหาอำนาจ เราไม่มีแต้มต่อทางการทหาร เศรษฐกิจ หรือการทูตพอจะชนกับแรงกดดันระดับโลกได้แบบเดี่ยว ๆ แม้แต่รัสเซียที่มีขีปนาวุธนิวเคลียร์ ยังต้องเผชิญการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจระดับโลกจากกรณียูเครน ประเทศไทยจะยืนอยู่ตรงไหน หากเรากลายเป็นผู้ใช้กำลังโดยไม่มีหลักฐานหรือกลไกทางการทูตรองรับ?

นอกจากนี้ โลกยุคใหม่ยังเป็น "สนามการต่อสู้ทางภาพลักษณ์" ใครควบคุม "ความชอบธรรม" ได้มากกว่า คนนั้นชนะ ดังนั้น การระเบิดอารมณ์แล้วใช้อาวุธทันที แม้จะทำให้รู้สึกสะใจ แต่จะทำให้ ประเทศไทยแพ้ทั้งบนเวทีโลกและในความเชื่อมั่นภายในประเทศเอง


แล้วเราควรทำอย่างไร ในบทบาทของแต่ละคน?

👥 ประชาชนทั่วไป:

  • อย่าขยายความเกลียดชังโดยไม่รู้ตัว: หยุดแชร์โพสต์ปลุกระดม หยุดคอมเมนต์เหยียดหยามโดยไม่รู้ข้อเท็จจริง

  • ระบายความรู้สึกได้ แต่ต้องแยกแยะ: เราโกรธได้ แต่ต้องไม่ลืมว่าสิ่งที่เราทำออกไปอาจส่งผลต่อคนอื่น

  • ฟังหลายมุม และตั้งคำถามกับทุกกระแส: ความจริงมักมีหลายด้าน การฟังรอบด้านจะช่วยให้เราไม่ถูกชักจูงง่าย

🧑‍🎤 คนมีชื่อเสียง สื่อ อินฟลูเอนเซอร์:

  • ใช้พื้นที่ของตัวเองเพื่อสร้างความเข้าใจ ไม่ใช่แค่ความสะใจ: เสียงของคุณทรงพลัง อย่าใช้มันเพื่อแค่เรียกยอดไลก์

  • เตือนสติได้ โดยไม่ต้องกลัวเสียยอดไลก์: การเป็นที่รักไม่เท่ากับการเป็นคนกล้า หากคุณพูดความจริงในเวลาที่ไม่มีใครกล้า นั่นแหละคือจุดยืนที่โลกต้องการ

  • สร้างทางเลือกให้กับคนฟัง: ให้ข้อมูล ให้บริบท ให้คำถามที่ชวนคิด ไม่ใช่คำตอบที่ชวนแตกแยก

🏛️ ภาครัฐ:

  • อย่านิ่งเงียบหรือพูดกำกวม: ความเงียบของรัฐคือการปล่อยให้ความโกรธของประชาชนไร้ที่พึ่ง ต้องมีการสื่อสารเชิงรุกและจริงใจ

  • เปิดพื้นที่ให้พูดความจริง ไม่ใช่ควบคุมความรู้สึก: ประชาชนไม่ต้องการถูกปิดปาก พวกเขาต้องการรู้ว่ามีใครฟังอยู่

  • แสดงให้เห็นว่ามีแผนที่ชัดเจน: รัฐควรมีแผนเชิงรุกที่ไม่ใช่แค่การทหาร แต่รวมถึงการทูต การสื่อสาร การเยียวยาทางสังคม และการจัดการกับข่าวปลอม

🪖 ทหารและฝ่ายความมั่นคง:

  • สื่อสารอย่างมืออาชีพ: อย่าพูดเพื่อปลุกอารมณ์ แต่ให้พูดเพื่อสร้างความมั่นใจ

  • ทำหน้าที่ด้วยความมั่นคงทั้งกายและใจ: การเป็นทหารคือการควบคุมความกลัวและความโกรธของตนเอง ก่อนจะควบคุมภัยคุกคามจากภายนอก

  • เข้าใจว่าอาวุธที่ใช้ ไม่ได้มีแค่ปืน แต่คือคำพูดด้วย: คำพูดที่ดีสามารถยุติการปะทะ คำพูดที่ผิดสามารถจุดชนวนสงคราม


บทสรุป: อย่าให้ความโกรธนำทางอนาคตเรา

ในภาวะวิกฤต ความโกรธของประชาชนไม่ใช่ปัญหา — ปัญหาคือเมื่อความโกรธนั้น ถูกปล่อยให้เดินโดยไม่มีคนถือเข็มทิศ

การปกป้องศักดิ์ศรีของชาติไม่จำเป็นต้องแลกมาด้วยชีวิตผู้บริสุทธิ์ การตอบโต้ไม่จำเป็นต้องมีรูปเดียวคือการยิงกลับ แต่ควรมีทั้งข้อมูล หลักฐาน การทูต และการสื่อสารที่แสดงให้ประชาคมโลกเห็นว่า "เราถูกกระทำ" — และเราเลือกที่จะโต้ตอบในแบบที่มีเกียรติและมีหลักการ นี่ไม่ใช่การอ่อนแอ แต่คือการควบคุมพลังมหาศาลของความเจ็บปวดให้อยู่ภายใต้ระเบียบของสติ และถ้าเราทำได้ — เราจะกลายเป็นประเทศที่เข้มแข็งอย่างแท้จริง

ประเทศไทยจะเข้มแข็งขึ้นจากเหตุการณ์นี้ได้ ถ้าเราไม่เผากันเองด้วยไฟของอารมณ์ ไม่ทำร้ายเพื่อนบ้านที่ไม่รู้เรื่อง และไม่เปิดช่องให้ผู้มีอำนาจฉวยโอกาสใช้ความโกรธของเราเป็นเครื่องมือทางการเมือง

"เราไม่มีหน้าที่ต้องทนอยู่เฉย ๆ เมื่อถูกกระทำ แต่เราก็ไม่มีสิทธิ์ใช้ความเกลียดชังเป็นคำตอบเช่นกัน"

เราทุกคนล้วนมีพลังในการกำหนดทิศทางของสังคม ไม่ว่าจะเป็นโพสต์เดียว คำพูดเดียว หรือการเลือกที่จะฟังแทนที่จะด่า ทุกการกระทำเล็ก ๆ นั้นสามารถรวมกันเป็นพลังใหญ่ได้ ถ้าเราร่วมกันยืนหยัดในความมีสติ

เลือกตอบโต้ด้วยสติ เพราะสงครามที่น่ากลัวที่สุด ไม่ได้เกิดที่ชายแดน — แต่เกิดในใจของเราเอง และถ้าใจเราแพ้ สงครามจริงจะไม่มีวันจบ

วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา 2568: ลำดับเหตุการณ์และปฏิกิริยานานาชาติ

ความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาในปี 2568 ปะทุขึ้นอีกครั้งอย่างรุนแรง โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่พิพาทรอบปราสาทพระวิหารและปราสาทตาเมือนธม นำไปสู่การสูญเสียชีวิตของพลเรือนและทหาร รวมถึงการอพยพของประชาชนไทยกว่า 42,000 คนในพื้นที่ชายแดน บทความนี้จะนำเสนอลำดับเหตุการณ์สำคัญ พร้อมสรุปปฏิกิริยานานาชาติ และวิเคราะห์แนวโน้มในอนาคตจากมุมมองด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ


ลำดับเหตุการณ์สำคัญ

13 กุมภาพันธ์ 2568 — ปราสาทตาเมือนธม
พลเรือนและทหารกัมพูชา (ประมาณ 60 คน ตามรายงานที่ไม่เป็นทางการ) เดินทางเข้าไปในพื้นที่พิพาท เพื่อแสดงอธิปไตยด้วยการร้องเพลงชาติและปักธงชาติกัมพูชา ทหารพรานไทยจากกองร้อยทหารพราน 2606 เข้าห้าม เกิดการเผชิญหน้าทางวาจานาน 27 นาทีโดยไม่มีการใช้กำลัง คลิปวิดีโอความยาว 3 นาที 41 วินาทีถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย กระตุ้นกระแสชาตินิยมในทั้งสองประเทศ ด้วยแฮชแท็ก #ProtectTaMuen และ #SaveOurTemple บน X และ Facebook (ตามการสังเกตบนโซเชียลมีเดีย).

12-18 พฤษภาคม 2568 — ขุดสนามเพลาะ
กองทัพภาคที่ 2 รายงานว่าพบทหารกัมพูชาขุดสนามเพลาะยาว 45 เมตร ลึก 1.2 เมตร ใกล้ช่องบก จังหวัดสุรินทร์ เพื่อการทหาร กัมพูชาปฏิเสธและถอนกำลังชั่วคราวหลังเจรจาระดับท้องถิ่นเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม แต่ไม่รื้อถอนสนามเพลาะ.

28 พฤษภาคม 2568 — ปะทะที่ช่องบก
เวลา 06:42 น. ทหารไทยจากหน่วยเฉพาะกิจที่ 26 ปะทะกับทหารกัมพูชา 15 นาย ใกล้ชายแดนช่องบก (เรียกว่า "ม่อมเบย" ในกัมพูชา) ห่างจากพรมแดน 500 เมตร ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย ฝ่ายไทยบาดเจ็บเล็กน้อย 2 นายจากสะเก็ดระเบิด ไทยอ้างว่ากัมพูชายิงปืนครก 3 นัดก่อน ขณะที่กัมพูชาโต้ว่าไทยล้ำแดนและยิงก่อน กองทัพไทยแถลงพร้อมภาพถ่ายดาวเทียมของหลุมยิงและปืนใหญ่.

16-23 กรกฎาคม 2568 — กับระเบิด
ทหารไทย 2 นายบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิดในพื้นที่พิพาท ไทยกล่าวหากัมพูชาวางกับระเบิด PMN-2 ใหม่ (ตามรายงานของกองทัพไทย) กัมพูชาปฏิเสธ อ้างว่าเป็นระเบิดเก่าจากยุคสงครามเย็น.

24 กรกฎาคม 2568 — การโจมตีทางอากาศ
กัมพูชายิงจรวด BM-21 Grad 12 ลูกเข้าสู่ชุมชนในจังหวัดสุรินทร์ ทำให้พลเรือนไทยเสียชีวิต 11-12 ราย (รวมเด็กชายวัย 8 ปีและหญิงสูงวัย 2 ราย) และบาดเจ็บ 31 ราย (พลเรือน 24 ราย ทหาร 7 ราย) โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 1 แห่ง สถานีบริการน้ำมัน 2 แห่ง และบ้านเรือน 37 หลังได้รับความเสียหาย. ไทยตอบโต้โดยส่งเครื่องบิน F-16 จำนวน 6 ลำจากฝูงบิน 403 โจมตีเป้าหมายทหารกัมพูชาใกล้ปราสาทตาเมือนธม ใช้ระเบิด GBU-12 Paveway II และ AIM-9 Sidewinder ปฏิบัติการใช้เวลา 43 นาที ทำลายคลังอาวุธและระบบขนส่ง 4 จุด คาดว่าทหารกัมพูชาเสียชีวิต 8 นาย บาดเจ็บ 15 นาย (ตามรายงานที่ไม่เป็นทางการ). ไทยเรียกตัวเอกอัครราชทูตจากพนมเปญกลับ ขับทูตกัมพูชาออก และปิดพรมแดนทั้งหมด แถลงว่าการโจมตีเป็นการป้องกันตัวที่ชอบธรรม. ประชาชนไทยกว่า 42,000 คนอพยพเข้าสู่ศูนย์พักพิงฉุกเฉิน 7 แห่งในจังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์ กระทรวงมหาดไทยจัดตั้งชุดแพทย์สนาม 9 ทีมและรถพยาบาล 17 คัน.


ปฏิกิริยานานาชาติและภูมิภาค

อาเซียน (ASEAN)

  • มาเลเซีย: นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม แถลงเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ว่าห่วงกังวลต่อสถานการณ์และเสนอให้มาเลเซียเป็นตัวกลางในการเจรจา แต่ติดขัดหลักการไม่แทรกแซงของอาเซียน.
  • อินโดนีเซีย: เสนอส่งผู้สังเกตการณ์ทหารและพลเรือน 40 คน (ตามข้อเสนอที่ยังไม่ได้รับฉันทามติ) ในที่ประชุมอาเซียนที่จาการ์ตาเมื่อมิถุนายน 2568.
  • ฟิลิปปินส์: กระทรวงการต่างประเทศเรียกร้องให้เคารพกฎบัตรอาเซียนและจัดเวทีหารือพิเศษ.
  • ข้อจำกัดของอาเซียน: นักวิชาการจาก ISEAS – Yusof Ishak Institute วิจารณ์ว่าอาเซียนขาดกลไกที่มีผลผูกพันในการจัดการข้อพิพาทรุนแรง ทำให้ต้องพึ่ง ICJ หรือ UN.

จีน

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนแถลงเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ว่ามีความกังวลต่อสถานการณ์ ขอให้ทุกฝ่ายยับยั้งชั่งใจ และพร้อมเป็นตัวกลางหากร้องขอ โดยเน้นความมั่นคงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้.

สหประชาชาติ (UN)

กัมพูชายื่นเรื่องต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เมื่อเวลา 16:45 น. (นิวยอร์ก) วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ขอให้จัดประชุมฉุกเฉิน โดยกล่าวหาไทยละเมิดกฎบัตร UN มาตรา 2(4) พร้อมยื่นเอกสารแสดงความเสียหาย รวมถึงทหารเสียชีวิต 8-15 รายจากการโจมตีทางอากาศ (ตามรายงานที่ไม่เป็นทางการ) UNSC ยังไม่กำหนดวันประชุม แต่ฝรั่งเศสและรัสเซียเรียกร้องให้มีการหารือแบบปิดภายใน 48 ชั่วโมง (ตามรายงานที่ยังไม่ยืนยัน).

สหรัฐอเมริกา

รัฐบาลสหรัฐฯ ยังไม่มีแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ บทวิเคราะห์จาก Foreign Policy และ The Washington Post สนับสนุนให้อาเซียนเป็นผู้นำการเจรจา เพื่อหลีกเลี่ยงความตึงเครียดในภูมิภาคที่จีนมีบทบาทสูง.

ภาคประชาชนและองค์กรสิทธิมนุษยชน

มีการรณรงค์หยุดความรุนแรงผ่านแฮชแท็ก #PeaceForASEAN และ #StopBorderWar บน X และ TikTok (ตามการสังเกตบนโซเชียลมีเดีย) Human Rights Watch และ Amnesty International เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายยุติการโจมตีพลเรือนและเปิดทางให้หน่วยงานช่วยเหลือเข้าถึงผู้ได้รับผลกระทบ.

วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

เศรษฐกิจไทยจะกลับมาคึกคักได้อย่างไร? – มองลึกลงไปกว่าสถิติ และความจริงที่คนทำมาหากินรู้ดีที่สุด

เศรษฐกิจไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเหมือนกับคนที่ลุกขึ้นนั่งได้หลังจากล้มป่วย แต่ยังเดินเหินไม่ไหวเต็มฝีเท้า เดินได้บ้าง ล้มบ้าง หายใจหอบอยู่ บางคนบอกว่า “อย่างน้อยเรายังฟื้นตัวอยู่” แต่ในมุมของคนที่อยู่หน้างานจริง อย่างพ่อค้า แม่ค้า ลูกจ้าง เจ้าของร้านเล็ก ๆ และผู้ประกอบการรายย่อยที่ต้องสู้ทุกวันกับรายได้ที่ไม่แน่นอน ค่าของที่แพงขึ้น และลูกค้าที่ใช้จ่ายอย่างระวัง เราต่างรู้กันดีว่า

"มันไม่ได้แย่ถึงขั้นอดตาย แต่ก็ไม่ได้ดีจนกล้าฝัน"
"อยู่ได้ แต่ไม่ไปไหน ทำเท่าเดิม เหนื่อยเท่าเดิม แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยน"

แล้วเราจะทำให้เศรษฐกิจกลับมาคึกคักแบบที่เห็นแล้วรู้สึกได้ ว่าคนมีหวัง กล้าจ่าย กล้าลงทุน เหมือนยุคที่ “ทำอะไรก็ขายได้” ได้ยังไง?


จุดตั้งต้น: ทำไมตอนนี้ถึงไม่คึกคัก?

ทุกวันนี้คนยังทำมาหากินอยู่ ยังซื้อของ ยังจ่ายค่าเช่า กินข้าว ใช้เงินทุกวัน แต่เศรษฐกิจยังดูซบเซา ทำไม?

เพราะเงินมัน หมุนอยู่เฉย ๆ แต่ไม่ได้ ขยายผลหรือเปลี่ยนรูปเป็นสิ่งใหม่

  • พ่อค้าแม่ค้าได้กำไร → เก็บไว้จ่ายหนี้ จ่ายค่าเช่า และต้นทุนที่ขึ้นทุกปี

  • ลูกจ้างได้เงินเดือน → ใช้หมดในสิ้นเดือน ไม่มีเงินเก็บ ไม่มีแรงจะขยับ

  • เจ้าของกิจการรายเล็ก → ไม่กล้าขยาย เพราะกลัวเจ๊ง หรือไม่เห็นความชัดเจนในอนาคต

  • คนทั่วไป → เก็บเงินไว้เฉย ๆ เพราะไม่มั่นใจอนาคต กลัวเจอโรค กลัวเศรษฐกิจพัง

เงินในระบบก็เลยไม่สร้างอะไรใหม่ ไม่จ้างเพิ่ม ไม่ลงทุน ไม่เปิดกิจการใหม่ = ระบบนิ่ง = GDP โตแบบแบน ๆ คนไม่รู้สึกว่า “ดีขึ้น” แม้ตัวเลขอาจดูบวกบ้างก็ตาม


แล้วทำยังไงถึงจะ "กลับมาคึกคัก" ได้จริง?

ไม่ใช่แค่เรื่องแจกเงิน หรือหว่านเม็ดเงินจากรัฐอย่างไร้เป้าหมาย แต่ต้องปรับ "พฤติกรรมของระบบเศรษฐกิจ" ทั้งหมดให้เงินที่หมุนอยู่ "มีพลังมากขึ้น" สร้างคุณค่าใหม่ได้ต่อเนื่อง และถึงมือคนตัวเล็กจริง ๆ

✅ 1. ทำให้คนมี "ส่วนเกิน" มากขึ้น

  • หมายถึง ทำให้คนมี "เงินเหลือหลังหักค่าใช้จ่ายจำเป็น" ในแต่ละเดือน ไม่ใช่แค่พออยู่ได้

  • จะได้เอาไปลงทุน ขยายร้าน จ้างคน ซื้อของเพิ่ม ซื้ออุปกรณ์ใหม่ หรือเก็บเป็นทุนอนาคต

  • วิธีทำ: ลดต้นทุนให้ SME เช่น ค่าขนส่ง ค่าไฟ ค่าเช่า, ลดค่าครองชีพ เช่น ค่าเดินทาง ค่ารักษาพยาบาล, เพิ่มช่องทางรายได้เสริม เช่น เปิดโอกาสงานอิสระ งานพาร์ตไทม์ งานออนไลน์ที่เข้าถึงได้จริง

✅ 2. ทำให้การใช้จ่ายสร้างค่าใหม่

  • ไม่ใช่แค่ใช้เงินจบไปวัน ๆ แต่ต้องเป็นการจ่ายที่ส่งต่อได้ เช่น จ้างแรงงาน, ซื้อของจากผู้ผลิตท้องถิ่น, ใช้บริการของคนในพื้นที่

  • เช่น ซื้อข้าวจากร้านที่จ้างคนในชุมชน ใช้วัตถุดิบท้องถิ่น → เงินกระจาย ไม่หายไป ไม่ไหลออกต่างประเทศอย่างเดียว

✅ 3. หนุนธุรกิจรายเล็กให้ "โตได้จริง"

  • ไม่ต้องโตแบบ franchise ข้ามชาติ แค่ขยับจากรถเข็น → ร้านเล็ก → ธุรกิจจ้างคนได้ 2–3 คนก็พอ

  • รัฐควรช่วย "เครื่องมือ" มากกว่า "แจกเงิน": เช่น ระบบบัญชี, เครื่องมือไอที, POS, คำปรึกษาทางธุรกิจ, การเข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ

✅ 4. ดึงทุนต่างชาติเข้ามาให้ "เล่นตามกติกาเรา"

  • อย่าให้ใครมาตั้งร้านขายของให้คนชาติเดียวกัน จ้างคนชาติเดียวกัน แล้วเอาเงินออกหมด

  • ถ้าจะเข้ามาทำธุรกิจ → ต้องจ้างคนไทย, ใช้ระบบภาษีไทย, ใช้วัตถุดิบไทยบางส่วน, และมีการควบคุมไม่ให้หลบเลี่ยงกฎหมายโดยใช้คนไทยเป็นนอมินีถือหุ้นแทน


❌ แล้วอะไรคือสิ่งที่ไม่ควรทำอีก?

❌ 1. แจกเงินแบบไม่มีเป้า

  • แจกแล้วจบ → ไม่เกิดผลระยะยาว → เงินหายจากระบบโดยไม่สร้างกำลังผลิต

  • แถมอาจเพิ่มเงินเฟ้อ ทำให้ของแพงขึ้นอีกโดยไม่มีรายได้รองรับ

❌ 2. ปล่อยทุนต่างชาติเติบโตแบบไม่คุม

  • ทำให้ทุนไทยสู้ไม่ได้ คนในประเทศตกงาน โดนเบียดตลาดและที่ตั้งค้าขาย

❌ 3. เอาแต่หวังภาคท่องเที่ยว

  • นักท่องเที่ยวจีนหาย → ระบบพังทั้งย่าน

  • ต้องสร้างฐานเศรษฐกิจที่ไม่ผูกกับนักท่องเที่ยวกลุ่มเดียว โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงทางการเมืองหรือโรคระบาด

❌ 4. คิดว่า "เศรษฐกิจดีคือยอดขายเยอะ"

  • จริง ๆ แล้วต้องดูว่า "ระบบมีความมั่นคงไหม" คนตัวเล็กอยู่รอดไหม เงินหมุนครบวงจรไหม คนมีแรงขยับไหม คนรุ่นใหม่กล้าเริ่มต้นไหม


แล้วเราจะสู้ทุนจีน ทุนใหญ่ ได้อย่างไร?

  1. ตั้งกติกาชัด – enforce จริง: ไม่ใช่แค่มี แต่ต้องใช้จริง เช่น การห้าม nominee ต้องตรวจสอบบัญชีและเส้นทางการเงินได้จริง

  2. จัดโซนให้ทุนไทยมีพื้นที่: เช่น night market สำหรับคนไทย ร้านค้าชุมชนที่รัฐช่วยค่าเช่า, พื้นที่ฝึกนักธุรกิจรุ่นใหม่

  3. ทำให้ทุนไทย “มีแต้มต่อ”: เช่น ให้เครื่องมือ IT, ระบบจัดการหลังบ้าน, CRM, ระบบ stock, เชื่อมกับตลาดใหม่ ๆ, มีศูนย์ความรู้

  4. สร้างผู้บริโภคที่ตาสว่าง: ส่งเสริมคนซื้อของจากคนไทย, ร้านในประเทศ, ธุรกิจที่สร้างงานให้ชุมชน, มีคุณภาพจริง ไม่ถูกดึงดูดแค่ราคาถูก


สรุป: เศรษฐกิจจะกลับมาคึกคักได้ไหม?

ได้แน่นอน ถ้าเราไม่ยึดติดกับสูตรเดิม ๆ ที่เคยพัง และไม่หวังแต่เพียงว่าจะมีคนมาเทเงินจากต่างประเทศแบบปาฏิหาริย์

ไม่จำเป็นต้องพุ่งแรงแบบฟองสบู่ ไม่ต้องพึ่งแต่ทัวร์จีน ไม่ต้องเอาแต่ทุนใหญ่

แต่สร้างระบบที่ให้ คนธรรมดาทำมาหากินได้จริง มีเหลือเก็บ มีสิทธิลุกขึ้นมาเติบโตได้ มีแรงส่งให้คนที่อยากสู้จริง ๆ มีที่ยืน และไม่ต้องยอมแพ้ต่อทุนที่เล่นเกมนอกกติกา

เพราะเมื่อคนตัวเล็กมีที่ยืน ประเทศทั้งประเทศก็จะไม่ต้องพึ่งพาแต่คนตัวใหญ่

แค่นั้นทั้งประเทศก็จะเริ่มขยับ…ไม่ใช่แค่หมุนวนอยู่กับที่.

วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

Reality Check: รวยไม่ใช่แค่เรื่อง mindset — และไม่ใช่ทุกคนจะเผาเรือแล้วรอด

 "ถ้าอยากสำเร็จ ต้องเผาเรือไว้ข้างหลัง ไม่มีทางถอย!"

ประโยคนี้ฟังดูเท่มาก โดยเฉพาะในบริบทของบทความสร้างแรงบันดาลใจที่แชร์กันทั่วโซเชียล พร้อมกับภาพของแม่ทัพจีน แม่ทัพสเปน หรือเศรษฐีพันล้านที่ดูเหมือน all-in กับความฝันแบบไม่เหลือทางหนี

แต่เดี๋ยวก่อน — ชีวิตจริงไม่ใช่สนามซ้อมของค่ายอบรมความสำเร็จ และแนวคิดแบบ "ถอยไม่ได้ ต้องรอดเท่านั้น" อาจเป็นทางลัดไปสู่หายนะสำหรับคนส่วนใหญ่


❌ ทุบหม้อเผาเรือ = แนวคิดที่มีคนเจ๊งมากกว่ารอด

คนที่แชร์แนวคิดนี้มักเล่าครึ่งเดียว — ว่าการตัดทางหนีทำให้เราทุ่มสุดตัวจนชนะ

แต่ไม่เคยพูดถึงคนที่...

  • ทุ่มเงินเปิดร้านแล้วเจ๊งใน 6 เดือน

  • ลาออกจากงานมาเริ่มธุรกิจ โดยไม่มีรายได้สำรอง

  • เลิกเรียนกลางคันเพราะเชื่อว่า “มหา’ลัยไม่จำเป็น” แบบ Elon Musk

  • โยนเงินทั้งหมดเข้าเหรียญคริปโตเพราะ “ถ้าไม่เสี่ยงก็ไม่รวย”

ผลคืออะไร?

คนเหล่านี้ไม่มีพื้นที่ให้ล้ม — และนั่นแหละคือเหตุผลที่เขาล้มแล้วลุกไม่ขึ้น

ในขณะที่เศรษฐีพันล้านที่คุณเห็นว่า "กล้าเสี่ยง" — เขาอาจมี safety net ซ้อนหลายชั้น มีเงินทุน มีคอนเนคชั่น หรือความรู้เฉพาะที่ลึกมากอยู่ก่อนแล้ว

แม้แต่เรื่องในบทความต้นฉบับที่อ้างถึงการเผาเรือของผู้บัญชาการเพื่อให้ทหารไม่มีทางถอย ก็เป็นเพียงตัวอย่างที่ใช้กับสถานการณ์เฉพาะ — แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนควรเผาสะพานของตัวเองโดยไม่มีแผนสำรองหรือวิเคราะห์โอกาสพลาดอย่างรอบคอบ


📊 คำถาม: แล้ว mindset สำคัญไหม?

สำคัญ — แต่ ไม่พอ

เพราะ mindset คือ “ระบบความคิด” แต่ การเปลี่ยนชีวิตจริง ต้องใช้

  • โอกาสที่เหมาะสม

  • เครือข่ายช่วยเหลือ (connection)

  • ต้นทุนบางอย่าง (เวลา, เงิน, สุขภาพ, support system)

  • การวางแผนเผื่อพลาด (risk management)

หนังสือพัฒนาตัวเองจำนวนมากพูดถึงเพียง “แรงบันดาลใจ” โดยไม่ได้เตือนเลยว่า แรงบันดาลใจที่ไม่มีแผน = หายนะ

บทความที่ยก "The Winner Effect" มาอธิบายว่า ความสำเร็จหนึ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จต่อไป ก็อาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่า เพียงแค่ชนะเล็ก ๆ บ่อย ๆ จะทำให้เราชนะใหญ่ได้เสมอ ทั้งที่ในความจริง ฮอร์โมนและพลังใจไม่อาจชนะสภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ หรือความไม่เท่าเทียมในโอกาสเสมอไป


❌ Reality Check: ความรวยไม่ใช่เรื่องอ่านหนังสือแล้วจะได้แน่นอน

บางบทความบอกว่า “คนรวยอ่าน 52 เล่มต่อปี คนทั่วไปอ่าน 3 เล่ม”

แปลว่าถ้าอ่าน 52 เล่ม เราจะรวยใช่ไหม?

ไม่เสมอไป — เพราะ:

  • บางคนอ่านเยอะแต่ไม่ลงมือทำอะไรเลย

  • บางคนเลือกอ่านไม่ตรงกับบริบทของตัวเอง

  • บางคนทำตามทุกอย่าง แต่ดันลืมว่าเศรษฐกิจไม่เอื้อ, ครอบครัวไม่ซัพพอร์ต, หรือตลาดเปลี่ยน

คุณค่าของการอ่าน อยู่ที่การ “คิดวิเคราะห์” และ “เชื่อมโยงกับชีวิตจริง” ไม่ใช่แค่นับจำนวนหนังสือที่อ่าน

บทความต้นฉบับยังอ้างว่า หนังสือเหล่านี้สามารถพาคนจาก 0 บาทไปถึง 350 ล้านบาทได้ถ้า “ทำตามอย่างถูกต้อง” — ฟังดูเหมือนสูตรสำเร็จ แต่ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ causal link ได้จริงว่าหนังสือ 40 เล่มนั้นเพียงพอสำหรับทุกบริบทชีวิต


🪙 ฝันใหญ่ไม่ได้ผิด — แต่ต้องรู้ด้วยว่าอะไรคือ “หลุมพราง”

✅ อะไรที่ควรทำ:

  • ค่อย ๆ สร้างพื้นที่ทดลองความคิดใหม่ โดยไม่ต้องทุบหม้อทุกใบ

  • วางแผนเผื่อความล้มเหลว เช่น มีเงินเก็บ 6 เดือนก่อนเริ่มธุรกิจ

  • สร้างทักษะให้แน่นก่อนจะ all-in

  • อ่านเรื่องราวของทั้งคนสำเร็จ และคนล้มเหลว เพื่อเข้าใจภาพจริง

❌ อะไรที่ควรระวัง:

  • คำคมที่ไม่มีบริบท เช่น “ทำสิ่งที่รักแล้วเงินจะตามมา” — ไม่จริงเสมอ

  • บทความที่ยกแต่เคสเศรษฐี แต่ไม่พูดถึงสภาพแวดล้อมที่เขาอยู่

  • ความคิดว่า "ใครก็ทำได้ ถ้าพยายามพอ" — โลกความจริงไม่แฟร์ขนาดนั้น

  • แนวคิดที่บอกว่าอย่าอัพเกรดชีวิตจนกว่าจะมั่งคั่ง เช่น เลื่อนการซื้อตั๋วเครื่องบินชั้นหนึ่ง ไม่ตกแต่งบ้าน ฯลฯ — ฟังดูดี แต่ไม่ใช่ทุกคนจะอดออมได้โดยไม่เสียสุขภาพจิตหรือคุณภาพชีวิต


🏋️‍♂️ ข้อคิดสุดท้าย: รวยไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องรู้ทัน narrative ที่หลอกให้เราทำลายตัวเอง

หลายคนเจ็บหนักเพราะเชื่อเรื่องราวที่ถูกเล่าซ้ำจนเหมือนจริง เช่น:

  • “ต้องไม่กลัวล้มเหลว” (แต่ดันไม่พร้อมล้มจริง ๆ)

  • “ต้องกล้าทิ้งงานประจำ” (ทั้งที่ยังไม่มีรายได้สำรอง)

  • “อ่านหนังสือแล้วชีวิตจะเปลี่ยน” (แต่ลืมว่าการลงมือทำคืออีกจักรวาลหนึ่ง)

บางทีชีวิตคุณไม่ได้ต้องการแรงบันดาลใจเพิ่ม — แต่อาจต้องการ “เบรก” ที่ดีพอให้คุณหยุดคิดทัน


✨ อย่าหยุดฝัน แต่จงฝันอย่างมีสติ

โลกนี้มีคนที่ “รวยเพราะทุบหม้อ” อยู่จริง — แต่ก็มีอีกมากที่ “อดตายเพราะไม่มีหม้อจะหุงข้าว”

ก่อนจะ all-in กับอะไร ลองถามตัวเองก่อน:

  • ถ้าพลาด จะเหลืออะไร?

  • ทางหนีฉุกเฉินของเราคืออะไร?

  • เราอ่านสิ่งนี้เพราะมันตรงกับชีวิต หรือเพราะมันให้ความหวังที่เราอยากได้?

ความสำเร็จไม่มีสูตรตายตัว แต่ความล้มเหลวมักเริ่มจากการเชื่อในสิ่งที่ครึ่งจริง

คิดให้รอบ ลุยให้ถึง — และอย่าหลงไปกับคำพูดที่ดูรวยแต่ไม่มีความรับผิดชอบต่อคนฟัง

วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ค่าครองชีพในกรุงเทพฯ: เมื่อเมืองหลวงของไทยกำลังกลายเป็นภาระของคนไทยเอง

ในช่วงเวลาไม่ถึงทศวรรษ กรุงเทพฯ และพื้นที่โดยรอบกลับกลายเป็นเมืองที่ "แพงจนคนในอยู่ไม่ได้" ไปเสียแล้ว แม้จะยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และแหล่งงานขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ แต่ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตกลับพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในอัตราไม่สมดุลกับรายได้เฉลี่ยของประชาชน ซึ่งส่งผลกระทบลึกต่อคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจในประเทศ และแม้กระทั่งเสน่ห์ของไทยในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติ

บทความนี้จะพาผู้อ่านเจาะลึกสถานการณ์ค่าครองชีพของกรุงเทพฯ เทียบกับเมืองหลวงอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และชี้แนวทางแก้ไขที่ยั่งยืน


กรุงเทพฯ แพงขึ้นจริงหรือแค่รู้สึกไปเอง?

ไม่ใช่แค่ความรู้สึก แต่ข้อมูลหลายสำนักชี้ชัดว่าค่าครองชีพในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในรอบ 3–5 ปีที่ผ่านมา:

  • รายงาน Julius Baer Wealth Report ปี 2023 จัดอันดับกรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีค่าครองชีพด้านไลฟ์สไตล์สูงเป็นอันดับ 11 ของโลก

  • ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2566 ระบุว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของครัวเรือนในเขตกรุงเทพฯ อยู่ที่ 33,221 บาท/เดือน ขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 41,335 บาท แต่ครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยจำนวนมากมีค่าใช้จ่ายเกินกว่า 80% ของรายได้

  • ดัชนีเงินเฟ้อหมวดอาหารสด อาหารปรุงสำเร็จ และค่าใช้จ่ายจำเป็น เพิ่มขึ้น 7–12% ต่อปี แม้เงินเฟ้อทั่วไปดูไม่สูง

  • ค่ารถไฟฟ้าเฉลี่ยต่อเที่ยวในกรุงเทพฯ สูงถึง 44 บาทต่อวัน (BTS+MRT+ARL เฉลี่ยแบบรวม) คิดเป็น 10–15% ของรายได้ผู้มีรายได้น้อย

  • ค่าเช่าห้องพักในโซนกลางกรุงเทพฯ ขนาด 30–35 ตร.ม. เริ่มต้นที่ 12,000–18,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเกิน 40–50% ของรายได้ระดับปานกลาง


เทียบกับประเทศเพื่อนบ้านและเมืองท่องเที่ยวอื่น

ลองเปรียบเทียบกับเมืองหลวงในประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก:

เมือง ค่าครองชีพเฉลี่ยต่อเดือน (บาท) รายได้เฉลี่ยต่อเดือน (บาท) อัตราส่วนรายได้สุทธิต่อค่าใช้จ่าย
กรุงเทพฯ 33,000 26,500 (กลุ่มรายได้กลาง-ล่าง) ∼80% ค่าใช้จ่าย
ฮานอย 19,000 22,000 ∼65% ค่าใช้จ่าย
กัวลาลัมเปอร์ 25,000 30,000 ∼60% ค่าใช้จ่าย
มะนิลา 21,000 25,000 ∼65% ค่าใช้จ่าย
จาการ์ตา 20,000 24,000 ∼60% ค่าใช้จ่าย
ไทเป 42,000 55,000 ∼55% ค่าใช้จ่าย

(หมายเหตุ: ตัวเลขประมาณการจากรายงาน Numbeo, ASEANStats, และสำนักข้อมูลท้องถิ่นในปี 2023–2024)

จะเห็นได้ว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ประชาชนต้องใช้สัดส่วนรายได้ไปกับค่าใช้จ่ายจำเป็นมากที่สุดในกลุ่มนี้ แสดงถึงความเปราะบางในการใช้ชีวิต แม้ในบางด้านอาจดูว่าราคายังไม่สูงมาก แต่หากพิจารณาจาก "สิ่งที่เหลือใช้" แล้ว กรุงเทพฯ แพงกว่าหลายเมือง


ปัจจัยที่ผลักดันค่าครองชีพกรุงเทพฯ ให้พุ่งเร็วเกินไป

  1. โครงสร้างเมืองกระจุก-กระจาย: เมืองขยายตัวโดยไม่ควบคุม ทำให้การเดินทางไกล ค่าผ่านทางสูง ค่าที่อยู่อาศัยใกล้ศูนย์กลางราคาสูงเกินเอื้อม

  2. การพัฒนาโครงการขนาดใหญ่: เช่น รถไฟฟ้าหลายสาย ทำให้ราคาที่ดินแนวรถไฟฟ้าพุ่ง ค่าที่อยู่อาศัยปรับขึ้นตาม

  3. การบริโภคแบบพึ่งพาต่างชาติ: น้ำมัน อาหารแปรรูป วัตถุดิบหลายชนิดต้องนำเข้า ส่งผลต่อราคาสินค้าเมื่อเงินบาทอ่อน

  4. รายได้ไม่โตตาม: แม้ค่าจ้างขั้นต่ำจะปรับขึ้น แต่รายได้เฉลี่ยของประชาชนกลับโตช้ากว่าค่าครองชีพมาก

  5. ระบบภาษีและเงินอุดหนุนที่ไม่กระจาย: มาตรการช่วยเหลือมักเน้นกลุ่มเฉพาะ ขาดการช่วยเหลือกลุ่มคนชั้นกลางเมืองที่ต้องแบกภาระจริง

  6. วิกฤตโควิด-19 และสงคราม: ส่งผลต่อต้นทุนสินค้า บริการ และโครงสร้างตลาดแรงงานแบบเฉียบพลัน


แนวโน้มในอนาคต: หากไม่แก้ไข จะเกิดอะไรขึ้น?

  • วิกฤตที่อยู่อาศัยจะรุนแรงขึ้น: ราคาคอนโดและค่าเช่าจะสูงเกินระดับที่คนทำงานทั่วไปจะเข้าถึงได้ นำไปสู่การอยู่รวมหลายครอบครัวหรือแชร์บ้านกันมากขึ้นแบบจำใจ

  • ประชากรย้ายออกนอกเมือง: คนรุ่นใหม่อาจไม่เลือกอยู่ในกรุงเทพฯ อีกต่อไป เกิดภาวะ "เมืองกลวง" (Urban Hollowing) ที่เมืองมีแต่ตึกแต่ไม่มีคนวัยแรงงาน

  • เศรษฐกิจเมืองชะลอตัว: เมื่อรายได้ที่แท้จริงไม่พอใช้ การบริโภคลดลง SME และธุรกิจท้องถิ่นจะได้รับผลกระทบมากขึ้น

  • ภาระรัฐเพิ่มขึ้น: ต้องใช้งบประมาณมากขึ้นในสวัสดิการ เช่น ค่าเดินทาง ค่าครองชีพ ค่าเช่า ที่อยู่อาศัยสาธารณะ หากปล่อยให้ราคาตลาดพุ่งเอง


ผลกระทบที่เห็นได้จริง

  • ประชาชนใช้ชีวิตแบบตึงมือ: เงินเหลือใช้ลดลง การออมยากขึ้น หนี้ครัวเรือนสูงขึ้น (เฉลี่ย 101,977 บาท/คน)

  • ธุรกิจ SME ย่ำแย่: เพราะคนลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น ร้านอาหาร เสื้อผ้า

  • แรงงานเริ่มย้ายออกจากเมือง: บางส่วนเลือกย้ายกลับต่างจังหวัดหรือทำงานแบบ hybrid เพราะต้นทุนในเมืองไม่คุ้ม

  • นักท่องเที่ยวเริ่มมองหาทางเลือก: แม้กรุงเทพฯ ยังเป็นเมืองปลายทางยอดนิยม แต่การขึ้นราคาห้องพัก 83% ในบางช่วง (ข้อมูลจาก Julius Baer 2023) ทำให้ภาพลักษณ์ "เมืองราคาถูกคุณภาพดี" เริ่มเลือนหาย


แล้วเราจะแก้อย่างไร?

  1. เร่งสร้างที่อยู่อาศัยเข้าถึงได้: โดยเฉพาะแนวรถไฟฟ้า ควบคุมไม่ให้ speculative price ทำลายตลาด

  2. ทบทวนนโยบายขนส่งมวลชน: ให้เข้าถึงง่าย ควบคุมราคาบัตรโดยสารจริงจัง ไม่ให้ประชาชนแบกภาระเดินทางมากเกิน

  3. พัฒนาเมืองแบบหลายศูนย์ (polycentric): ลดการกระจุกของงานและบริการในบางจุด เช่น CBD หรือห้าแยกลาดพร้าว

  4. ปรับโครงสร้างรายได้: สนับสนุนงานทักษะสูง งานดิจิทัล เพิ่ม productivity และลดแรงงานรายวันซ้ำซ้อน

  5. วางแผนร่วมกันทุกภาคส่วน: เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กรุงเทพมหานคร ธปท. และภาคธุรกิจ เพื่อกำหนด roadmap ระยะยาวด้านค่าครองชีพ

  6. พิจารณานโยบายควบคุมราคาเฉพาะจุด: เช่น สินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน ค่าบริการขนส่งสาธารณะ ค่าน้ำค่าไฟ สำหรับกลุ่มรายได้ต่ำถึงกลาง


สรุป

กรุงเทพฯ กำลังเปลี่ยนจากเมืองที่ "ใคร ๆ ก็อยู่ได้" เป็นเมืองที่ "อยู่ยากขึ้นเรื่อย ๆ" ถ้าไม่มีการวางแผนเชิงโครงสร้างใหม่ให้สมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ ผังเมือง รายได้ และการบริโภค เมืองหลวงของไทยอาจไม่ใช่คำตอบของคนรุ่นใหม่ และอาจสูญเสียจุดแข็งสำคัญทั้งด้านคุณภาพชีวิตและการท่องเที่ยวไปในที่สุด


แหล่งอ้างอิง

  • Julius Baer Global Wealth and Lifestyle Report 2023

  • Numbeo: Cost of Living Comparison by City, 2023–2024 (https://www.numbeo.com/cost-of-living)

  • ASEANStats Database (https://data.aseanstats.org)

  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ: รายได้และรายจ่ายครัวเรือน พ.ศ. 2566 (https://www.nso.go.th)

  • ธนาคารแห่งประเทศไทย: สรุปเศรษฐกิจภูมิภาค 2567 (https://www.bot.or.th)

  • กรมการค้าภายใน: ดัชนีเงินเฟ้อสินค้าอุปโภคบริโภค ปี 2565–2567 (https://www.dit.go.th)

  • สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงพัฒนาสังคมฯ (https://www.m-society.go.th)

  • The Standard: บทวิเคราะห์ค่าครองชีพกรุงเทพฯ 2566 (https://thestandard.co)

  • The Momentum: สัมภาษณ์นักวางแผนเมืองไทย (https://themomentum.co)

วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

เสียงจากหัวใจ: ประวัติดนตรี Soul และการเดินทางสู่เอเชีย

ดนตรีแนว Soul คือหนึ่งในแนวดนตรีที่เปี่ยมด้วยอารมณ์มากที่สุดในโลก ไม่ใช่แค่เพราะเสียงร้องที่บีบหัวใจหรือจังหวะที่เร้าอารมณ์เท่านั้น แต่เพราะมันคือ "เสียงของความจริง" ที่ออกมาจากชีวิตผู้คน จากการดิ้นรน ความรัก ความหวัง และการไม่ยอมจำนนต่อโลกที่ไม่ยุติธรรม

บทความนี้จะพาไปรู้จักกับที่มาของดนตรี Soul การเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาสู่เอเชีย และกลุ่มศิลปินที่ช่วยกันปลุกชีวิตเสียงจากหัวใจให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งในยุคปัจจุบัน


🎤 Soul คืออะไร?

ดนตรี Soul เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายยุค 1950s – 1970s โดยเป็นการผสมผสานระหว่าง:

  • Gospel (ดนตรีโบสถ์ของชาวแอฟริกันอเมริกัน)

  • Rhythm & Blues (R&B)

  • Blues และ Jazz

Soul มีจุดเด่นที่การร้องด้วยอารมณ์ลึก เสียงคราง เสียงพ่น เสียงร้องแบบเต็มอก เต็มเสียง ลูกเอื้อนที่พาอารมณ์ให้ไหลไปพร้อมดนตรี รวมถึงการใช้เครื่องดนตรีจริง เช่น เบส กลอง ออร์แกน ฮอร์น และเสียงประสานจากนักร้องแบ็คอัพแบบ gospel choir

เนื้อหาของเพลง Soul พูดถึงความรัก ความเจ็บปวด การดิ้นรน การเมือง ชีวิตคนธรรมดา และเสียงเรียกร้องสิทธิของชุมชนคนผิวดำในอเมริกา

ตัวอย่างศิลปิน Soul ต้นฉบับที่ทรงอิทธิพล:

  • Otis Redding

  • Aretha Franklin

  • Marvin Gaye

  • Sam Cooke

  • Curtis Mayfield

  • James Brown


🌍 การเดินทางของ Soul สู่เอเชีย

เมื่อดนตรี Soul เดินทางออกจากอเมริกา มันไม่ได้หยุดอยู่ที่ยุโรปหรืออเมริกาใต้เท่านั้น แต่ยังแทรกซึมเข้าสู่เอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีรูปแบบเฉพาะของแต่ละท้องถิ่น ซึ่งเกิดขึ้นทั้งจากอิทธิพลของทหารอเมริกันช่วงสงคราม และจากการเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกในหมู่คนรุ่นใหม่

🇻🇳 เวียดนาม – Saigon Soul

ในยุค 1960s–1970s เมืองไซ่ง่อน (Ho Chi Minh City ในปัจจุบัน) กลายเป็น melting pot ทางวัฒนธรรม ดนตรี soul, funk และ rock เข้ามาผ่านคลื่นวิทยุ บาร์ และคลับของทหารอเมริกัน วัยรุ่นเวียดนามใต้เริ่มแต่งตัวแบบตะวันตกและหัดร้องเพลง soul เป็นภาษาเวียดนาม

ศิลปินเด่นยุคนั้น เช่น:

  • Phương Tâm

  • Carol Kim

  • Thanh Lan

หลังปี 1975 เมื่อสงครามจบลง ดนตรีแนวตะวันตกถูกมองว่าเสื่อมทรามและถูกแบน เสียง Soul เงียบหายไปกว่า 40 ปี จนกระทั่งวง Saigon Soul Revival ในยุคปัจจุบันขุดฟื้นเพลงเก่าเหล่านั้นกลับมาร้องใหม่อีกครั้ง

🇰🇭 กัมพูชา – Cambodian Rock & Soul

Ros Serey Sothea และ Sinn Sisamouth คือศิลปินระดับตำนานของกัมพูชาในยุคก่อนการขึ้นครองอำนาจของเขมรแดง ดนตรีของพวกเขาผสม soul, surf rock และ ballad ได้อย่างน่าทึ่ง

เสียงของ soul กัมพูชาเป็นตัวแทนของความทันสมัย ความโรแมนติก และการปลดแอกหญิงสาวในยุคนั้น ก่อนจะถูกทำลายแทบสิ้นโดยระบอบการปกครองที่ห้ามศิลปะตะวันตก

🇹🇭 ไทย – Thai Soul ที่ไม่เคยถูกเรียกว่า Soul

ในยุค 60s–70s มีวงไทยไม่กี่วงที่เล่น soul/funk อย่างจริงจัง เช่น The Impossibles และ The Hot Pepper Singers พวกเขานำเสียง soul ผสมกับลูกกรุง ลูกทุ่ง และภาษาไทยได้อย่างกลมกล่อม

นักร้องหญิงระดับตำนานอย่าง สุดา ชื่นบาน และ รวงทอง ทองลั่นทม ก็ร้องเพลงไทยที่มีอารมณ์แบบ soul อย่างเต็มเปี่ยม แม้จะไม่เคยถูกจัดว่าเป็น “แนว soul” อย่างเป็นทางการ

การฟื้นตัวของ Thai Soul เกิดขึ้นผ่านกลุ่มนักสะสมแผ่นเสียง เช่น ZudRangMa Records และ DJ Maft Sai ที่ขุดเพลงเก่าไทยแนว funk/soul มาปล่อยให้คนฟังยุโรปและอเมริกาค้นพบ

🇯🇵 ญี่ปุ่น – Soul + City Pop

ญี่ปุ่นใช้ soul เป็นรากในการพัฒนาแนว city pop และ boogie/funk ในยุค 80s ศิลปินอย่าง Tatsuro Yamashita, Anri, และ Maria Takeuchi มี groove และ vocal phrasing ที่มาจาก soul ชัดเจน

ปัจจุบันมีศิลปินแนว neo-soul / chill R&B ญี่ปุ่นอย่าง:

  • iri

  • Nulbarich

  • chelmico

🇰🇷 เกาหลีใต้ – Neo Soul & K-R&B

เกาหลีใต้มีศิลปินร่วมสมัยที่เอา soul มาผสมกับ hip hop และ R&B อย่างลื่นไหล เช่น:

  • Zion.T

  • DEAN

  • Crush

  • Heize

พวกเขาใช้จังหวะและเสียงร้องแบบ soul ในการถ่ายทอดความเศร้า ความรัก และความเหงาแบบคนเมืองยุคใหม่


📀 เพลย์ลิสต์เพลง Soul ที่น่าสนใจจากทั่วโลก

Soul ต้นฉบับจากอเมริกา

  1. Otis Redding – (Sittin’ On) The Dock of the Bay

  2. Aretha Franklin – I Never Loved a Man (The Way I Love You)

  3. Sam Cooke – A Change Is Gonna Come

  4. Marvin Gaye – What’s Going On

  5. Al Green – Let’s Stay Together

Soul/Funk ร่วมสมัย

  1. D’Angelo – Lady

  2. Erykah Badu – On & On

  3. Anderson .Paak – Come Down

  4. Adele – I’ll Be Waiting

Soul เอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

  1. Phương Tâm – Đêm Huyền Diệu (Vietnam)

  2. Saigon Soul Revival – Tình Yêu Tuyệt Vời (Vietnam)

  3. Ros Serey Sothea – Chnam Oun Dop-Pram Muy (Cambodia)

  4. The Impossibles – Love, Love, Love (Thailand)

  5. สุดา ชื่นบาน – แหวนรัก (Thailand)

  6. รวงทอง ทองลั่นทม – ถ้าฉันจะรัก (Thailand)

  7. B5 – เสียงของหัวใจ (Thailand)

  8. Phum Viphurit – Long Gone (Thailand)

  9. Zweed n’ Roll – Fade (Thailand)

  10. iri – Wonderland (Japan)

  11. Zion.T – Eat (Korea)


✨ สรุป: Soul ยังไม่ตาย — มันเพิ่งเริ่มฟื้นในแบบที่โลกต้องการ

ดนตรี soul ไม่เคยหายไป มันแค่แฝงตัวอยู่ในเสียงร้อง ความรู้สึก และจังหวะที่เราอาจไม่ทันสังเกต เพลงที่มี “ใจ” ยังมีอยู่เสมอ และเมื่อคนเบื่อความสมบูรณ์แบบที่ปรุงแต่งเกินจริง soul ก็กลับมาเป็นคำตอบอีกครั้ง

และในเอเชีย — เสียง soul กำลังถูกค้นพบ ฟื้นฟู และรักอีกครั้ง โดยคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้แค่ย้อนอดีต แต่หยิบจิตวิญญาณของมันมาปรุงใหม่ให้พูดกับยุคนี้ได้อีกครั้ง

Soul ไม่ใช่แนวดนตรี แต่คือพลังที่บอกว่า “ฉันยังรู้สึกอยู่ และฉันอยากให้คุณรู้สึกด้วย”

วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

อย่าเพิ่งด่าพระ... ถ้ายังไม่รู้จริง

ในยุคที่สื่อออนไลน์ครองโลก ข่าวสารไหลบ่าเหมือนพายุ คนจำนวนมาก "ตัดสิน" พระภิกษุสงฆ์กันอย่างง่ายดาย บางรูปถูกแชร์กล่าวหาว่าประพฤติไม่เหมาะสม บางรูปถูกล้อเลียน บางรูปถูกด่าเสีย ๆ หาย ๆ โดยที่ผู้วิจารณ์ไม่เคยรู้จัก หรือเข้าใจบริบทของท่านเลย

คำสอนหนึ่งที่ควรแก่การหยิบมาทบทวนในช่วงเวลานี้ คือคำเตือนจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช ที่กล่าวไว้ว่า:

"อย่าไปปรามาสพระที่เราไม่รู้ภูมิธรรมของท่าน ผิดไปจะเป็นการปิดกั้นโอกาสบรรลุธรรมของตนเอง"

คำนี้ไม่ใช่แค่ "อย่าด่าพระมั่ว ๆ" แต่มีความลึกทางจิตวิญญาณอย่างยิ่ง เพราะ "การปรามาส" ในภาษาธรรม ไม่ใช่แค่การด่าทอ แต่รวมถึงการดูแคลน เหยียดหยาม หรือแม้แต่คิดในใจว่า "ท่านนี่ก็ธรรมดา ไม่เห็นน่าเคารพอะไรเลย"

ทำไมการปรามาสจึงอันตราย?

  1. เพราะเราไม่รู้ว่าใครเป็นใครจริง ๆ
    พระอรหันต์หลายรูปในอดีต ไม่ได้มีรูปลักษณ์หรือบุคลิกที่ดู "ศักดิ์สิทธิ์" เสมอไป บางรูปทำตัวแปลก ๆ พูดไม่เหมือนใคร เพื่อหลีกเร้นจากโลกีย์ แต่กลับถูกรุมด่าจากชาวบ้าน ทั้งที่ท่านหลุดพ้นแล้ว

  2. เพราะใจที่ดูหมิ่น จะไม่สามารถเข้าถึงธรรมได้
    ธรรมะเป็นของละเอียด ถ้าใจเต็มไปด้วยอัตตา ความมั่นใจว่าตน "รู้ดีกว่า" จะปิดบังไม่ให้เห็นธรรมตามจริง แม้พระจะพูดของจริง ก็ไม่สามารถซึมซับได้

  3. เพราะปรามาสอาจเป็นการตัดรากทางจิตของตนเอง
    เหมือนคนตัดต้นไม้แล้วถอนรากของตัวเองโดยไม่รู้ตัว ทำให้ไม่มีทางโตขึ้นในธรรมได้เลย

แล้วถ้าพระผิดจริงล่ะ?

คำถามยอดนิยม: "ถ้าพระทำผิดจริง จะวิจารณ์ไม่ได้เลยเหรอ?"

ตอบตรง ๆ คือ วิจารณ์ได้ แต่...

  • ต้องแยกให้ออกว่า "เรากำลังพูดด้วยเหตุผล หรือพูดด้วยอารมณ์?"

  • เรากำลังเตือนด้วยเมตตา หรือสะใจกับการซ้ำเติม?

ในพระธรรมวินัย พระที่มีเพศสัมพันธ์จริง ๆ ถือว่า "ขาดจากความเป็นพระ" (ปาราชิก)
เขาอาจไม่ใช่พระอีกต่อไปในทางธรรม
แต่ เรายังต้องรักษาใจของเราให้ไม่ตกต่ำไปพร้อมเขา

คนยุคใหม่อาจไม่เชื่อเรื่องบาปกรรม แล้วจะกลัวอะไร?

นี่ก็จริงอีก—คนยุคใหม่จำนวนไม่น้อย ไม่อิน ไม่เชื่อ หรือไม่แคร์เรื่องบาป บุญ นรก สวรรค์ หรือมรรคผล

แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนเข้าใจได้ คือ ผลของพฤติกรรมในโลกปัจจุบัน:

  • คนที่ด่าแรง พูดหยาบ พูดซ้ำเติมบ่อย ๆ จะมีจิตใจรุ่มร้อน กระสับกระส่าย ไม่สงบ

  • สังคมที่มัวแต่ไล่ล่าพระแบบล่าแม่มด จะทำให้คนดีไม่กล้าออกบวช เพราะกลัวโดนเหมารวม

  • เด็ก ๆ จะโตมาโดยไม่เห็นคุณค่าศาสนา เพราะสื่อเต็มไปด้วยการขยี้ผ้าเหลือง มากกว่าจะอธิบายธรรมะ

สรุปแบบเข้าใจง่าย:

ด่าพระเลว ไม่ได้ทำให้เราเป็นคนดี
การรู้จักวิจารณ์อย่างมีเมตตา ไม่ด่วนตัดสิน ไม่เห่าตามฝูง คือ "วุฒิภาวะทางธรรม"

ถ้าไม่รู้จริง อย่าเพิ่งด่า ถ้าเห็นผิดจริง ก็พูดด้วยสติ ไม่ใช่สะใจ
เพราะแม้เขาจะลาสิกขาไปแล้ว

เราเองก็อย่าลาสิกขาจากความดีในใจ

... 

ขอฝากไว้ให้คิดด้วยใจสงบ...

วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

บทวิเคราะห์: จดหมายจากประธานาธิบดีทรัมป์ถึงนายสุริยะ กับสัญญาณการเปลี่ยนแปลงท่าทีของสหรัฐฯ ต่อประเทศไทย

บริบทของจดหมายและความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์

วันที่ 7 กรกฎาคม 2025 ประธานาธิบดี Donald J. Trump ส่งจดหมายจากทำเนียบขาวถึง "นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ" ในฐานะนายกรัฐมนตรีรักษาการของไทย เนื้อหาภายในดูผิวเผินเหมือนเป็นหนังสือแจ้งเตือนเรื่องภาษีการค้า แต่หากวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งแล้ว จดหมายฉบับนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในความสัมพันธ์ไทย–สหรัฐอเมริกา ที่เคยแน่นแฟ้นยาวนานกว่า 190 ปี และมีนัยยะเชิงยุทธศาสตร์ที่ลึกกว่าที่เห็นภายนอก

สาระสำคัญของจดหมาย

จดหมายมีน้ำเสียงกดดันอย่างชัดเจน โดยระบุว่าสหรัฐฯ จะขึ้นภาษีสินค้าจากประเทศไทยเป็นอัตรา 36% ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2025 โดยให้เหตุผลว่าไทยมีการตั้งกำแพงภาษีและกีดกันการค้าของสหรัฐฯ มาโดยตลอด และการขาดดุลการค้าระหว่างสองประเทศนั้นเป็นภัยต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติสหรัฐอเมริกา การใช้คำว่า "ภัยคุกคามต่อความมั่นคง" ไม่ได้เป็นคำกล่าวลอย ๆ แต่สื่อถึงการจัดลำดับประเทศไทยในเชิงนโยบายความมั่นคง ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในท่าทีทางการทูตสหรัฐฯ ต่อไทยในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา

สหรัฐฯ เปิดช่องทางเดียวที่จะไม่ต้องเสียภาษีนี้ คือ บริษัทไทยต้องย้ายฐานการผลิตเข้าสหรัฐฯ ซึ่งจะได้รับการอนุมัติแบบ "รวดเร็วและเป็นมืออาชีพ" โดยมีการรับประกันว่าเอกสารต่าง ๆ จะได้รับการพิจารณาอย่างรวดเร็ว "ภายในไม่กี่สัปดาห์" หากไทยโต้กลับด้วยการขึ้นภาษี สหรัฐฯ จะเพิ่มภาษีทบเข้าไปทันที ซึ่งเป็นลักษณะของมาตรการตอบโต้เชิงโครงสร้าง

วิเคราะห์ด้านการทูต: มิตรภาพที่แปรเปลี่ยนเป็นการแข่งขัน

จดหมายนี้ไม่มีถ้อยคำแสดงความสัมพันธ์ฉันมิตร ไม่มีการอ้างถึงอดีตแห่งความร่วมมือ ไม่เอ่ยถึงพันธมิตรยุทธศาสตร์ ไม่แม้แต่จะกล่าวถึงความเคารพในอธิปไตยของประเทศไทย กลับเน้นการข่มขู่ทางภาษีและผลประโยชน์ทางธุรกิจล้วน ๆ ซึ่งต่างจากแนวทางการทูตแบบเดิมอย่างสิ้นเชิง

แม้ขึ้นต้นด้วยคำว่า “Dear Mr. Prime Minister” ซึ่งเป็นธรรมเนียมสากล แต่ถ้อยคำอย่าง “You will never be disappointed with The United States of America” หรือ “we will charge Thailand a Tariff of only 36%” กลับสะท้อนถึงวาทกรรมแบบธุรกิจมากกว่าการทูตระหว่างประเทศ มีลักษณะคล้ายโฆษณาเชิงการตลาดมากกว่าคำประกาศทางการทูตจากมหาอำนาจ

นอกจากนี้ การเสนอให้บริษัทไทยย้ายฐานการผลิตเข้าสหรัฐ แลกกับการยกเว้นภาษี ยังถือเป็นการใช้ Soft Blackmail ซึ่งอาจกระทบความสัมพันธ์ระยะยาวได้หากไม่มีการเจรจาอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะหากรัฐบาลไทยแสดงท่าทีอ่อนข้อ อาจทำให้เกิดแรงกดดันจากประชาชนและกลุ่มอุตสาหกรรมภายในประเทศได้เช่นกัน

มิติทางประวัติศาสตร์: เมื่อมิตรเก่าไม่ใช่มิตรแท้เสมอไป

แม้ว่าในประวัติศาสตร์ไทย–สหรัฐอเมริกา จะมีความร่วมมือหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การทหาร ความมั่นคง และวัฒนธรรม แต่จดหมายฉบับนี้ก็แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์เหล่านั้นไม่ได้รับการยกขึ้นมาเป็นข้อพิจารณาในนโยบายการค้าปัจจุบันของสหรัฐฯ อีกต่อไป

ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ลงนามสนธิสัญญาทางการค้ากับสหรัฐฯ คือ "สนธิสัญญาไมตรีและพาณิชย์" (Treaty of Amity and Commerce) ซึ่งลงนามเมื่อปี พ.ศ. 2376 (ค.ศ. 1833) ระหว่างสมัยรัชกาลที่ 3 โดยมีนายเอ็ดมันด์ โรเบิร์ตส์ (Edmund Roberts) เป็นทูตสหรัฐฯ ผู้ลงนามฝ่ายอเมริกัน และยังเป็นพันธมิตรในสงครามเย็น สงครามเกาหลี และสงครามเวียดนาม มีฐานทัพอเมริกันในไทยหลายแห่ง และความร่วมมือในด้านข่าวกรองตลอดศตวรรษที่ 20 ซึ่งส่งผลต่อโครงสร้างอำนาจและภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตัวอย่างเช่น ความร่วมมือด้านการทหารภายใต้การฝึกร่วม "Cobra Gold" ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีตั้งแต่ พ.ศ. 2524 ถือเป็นหนึ่งในการฝึกผสมทางทหารที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นสัญลักษณ์ของพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ไทย–สหรัฐฯ ในระดับภูมิภาค นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือในโครงการด้านการข่าวกรอง การต่อต้านยาเสพติด การบรรเทาภัยพิบัติ การรักษาสันติภาพ และความช่วยเหลือด้านสาธารณสุขในพื้นที่ชายแดนตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ดังกล่าวเริ่มลดลงหลังยุคสงครามเย็น โดยเฉพาะในช่วงหลังปี 2001 ที่สหรัฐฯ หันเหความสนใจไปยังตะวันออกกลางและกลุ่มประเทศพันธมิตรใหม่ในอินโดแปซิฟิก การเปลี่ยนผ่านนโยบายจากรัฐบาลสหรัฐฯ หลายชุด ทำให้ไทยถูกจัดลำดับความสำคัญทางยุทธศาสตร์ลดลง จนกระทั่งในรัฐบาลทรัมป์ซึ่งยึดหลัก “America First” อย่างชัดเจน ความสัมพันธ์ไทย–สหรัฐฯ ถูกลดความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ลง และเน้นเพียงผลประโยชน์ทางการค้าเป็นหลัก หากไทยไม่สามารถแสดงบทบาทเชิงเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ ต้องการได้ ก็จะถูกมองเป็นเพียงคู่ค้าทั่วไป มิใช่พันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์อีกต่อไป จดหมายฉบับนี้อาจสะท้อนการจัดวางประเทศไทยใหม่ในแผนที่ยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ว่าเป็น "คู่ค้าทั่วไป" ไม่ใช่ "พันธมิตรยุทธศาสตร์พิเศษ"

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

  1. ภาคส่งออกของไทยเผชิญแรงกดดันมหาศาล โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และสิ่งทอ ที่พึ่งตลาดสหรัฐในสัดส่วนสูง ความผันผวนของต้นทุนภาษีจะทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการวางแผนการผลิตและกระทบห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ

  2. นักลงทุนต่างชาติอาจชะลอการลงทุนในไทย หากมองว่าไทยจะกลายเป็นเป้าของมาตรการกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะนักลงทุนจากประเทศที่เน้นการส่งออกเข้าสหรัฐ ซึ่งอาจหันไปลงทุนในประเทศอื่นที่ได้รับสิทธิพิเศษจากสหรัฐมากกว่า

  3. เกิดการเร่งเจรจา FTA ไทย–สหรัฐ หรือหันไปพึ่งพาตลาดอื่นมากขึ้น เช่น จีน อินเดีย หรือ EU เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งตลาดเดียว ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว และอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในนโยบายภาษี ศุลกากร และความร่วมมือด้านการเงิน

  4. ผลกระทบทางภูมิรัฐศาสตร์ หากไทยตอบโต้ทางการค้า อาจส่งผลต่อความร่วมมือในระดับความมั่นคง เช่น การฝึก Cobra Gold หรือความร่วมมือด้านเทคโนโลยีขั้นสูง ความไม่พอใจของสหรัฐอาจสะท้อนผ่านการลดบทบาทหรือทรัพยากรในโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศ


ทางออกและทางรอดของไทยในฐานะประเทศขนาดกลาง

แม้ประเทศไทยจะไม่สามารถใช้มาตรการตอบโต้เชิงพลังอำนาจแบบเดียวกับมหาอำนาจได้ แต่ก็ยังมีช่องทางในการรักษาผลประโยชน์ของตนเองผ่านกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดและการทูตแบบพหุภาคี ซึ่งอาจรวมถึง:

  1. การกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ (Diversification) – ไทยควรลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐโดยเร่งเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศและกลุ่มเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น สหภาพยุโรป อินเดีย จีน หรือการเข้าร่วมกลุ่ม CPTPP อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อสร้างเครือข่ายการค้าทดแทน

  2. การเสริมสร้างอำนาจต่อรองในเวทีระหว่างประเทศ – ไทยสามารถใช้องค์กรระดับภูมิภาค เช่น ASEAN, APEC และ WTO เป็นเวทีเจรจาร่วมกับประเทศที่มีสถานะใกล้เคียงกันในการต่อต้านนโยบายกีดกันทางการค้าแบบฝ่ายเดียวของสหรัฐ

  3. การเสริมสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศ – การลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น เทคโนโลยีดิจิทัล พลังงานสะอาด และการแพทย์แผนใหม่ จะช่วยลดความเปราะบางจากการพึ่งพาการส่งออกวัตถุดิบหรือสินค้าราคาต่ำ

  4. การใช้การทูตเชิงสมดุล (Hedging Strategy) – ไทยควรสร้างดุลอำนาจระหว่างมหาอำนาจ โดยรักษาความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ในขณะเดียวกันก็เปิดความร่วมมือกับจีน อินเดีย ญี่ปุ่น และ EU อย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยสิ้นเชิง

  5. การสื่อสารกับประชาคมโลกอย่างชัดเจน – ไทยควรแสดงจุดยืนทางเศรษฐกิจที่ยึดหลักความเป็นธรรม การเคารพในกติกาสากล และความโปร่งใส เพื่อเสริมภาพลักษณ์ของประเทศในสายตานักลงทุนและประชาคมโลก


บทสรุป

จดหมายจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งนี้ไม่ใช่แค่การประกาศนโยบายภาษี แต่คือเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ที่แสดงให้โลกเห็นว่าสหรัฐฯ พร้อมจะกดดันแม้กระทั่งพันธมิตรเก่า หากไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตน การใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจเพื่อจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นแนวโน้มที่เด่นชัดในยุคหลังโควิด และท่าทีเช่นนี้อาจกลายเป็นแบบแผนใหม่ของการทูตโลกในศตวรรษที่ 21

สำหรับประเทศไทย นี่คือสัญญาณเตือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในโลกปัจจุบันไม่ได้ยึดโยงด้วยมิตรภาพเสมอไป แต่คือการต่อรองบนเวทีผลประโยชน์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การทูตไทยจึงต้องยืดหยุ่น มีกลยุทธ์รอบด้าน และเตรียมแผนสำรองไว้อย่างรัดกุม หากไม่อยากเป็น “เบี้ย” บนกระดานของมหาอำนาจ การมีพันธมิตรที่หลากหลาย การลดการพึ่งพาตลาดเดียว และการส่งเสริมขีดความสามารถภายในประเทศจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาอธิปไตยทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ในระยะยาว

วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

บันทึกความระยำของจักรวรรดินิยม: ใครยึดใคร ฝากขี้อะไรไว้ แล้วแม่งลอยนวลได้ไง

ในโลกที่เราคิดว่าเจริญแล้ว มี UN มีสิทธิมนุษยชน มีศาลโลก มีรัฐธรรมนูญ… แต่กลับมีบาดแผลเลือดสาดเป็นร่องลึกในหน้าประวัติศาสตร์มนุษย์ ที่แม่งยังไม่ได้รับการเยียวยาเลย เพราะคนที่ทำมัน “ใหญ่เกินจะโดน” …นี่คือรายชื่อประเทศ “เหี้-มีบารมี” ที่ยึดชาติอื่นเป็นอาณานิคม แล้วฝากขี้เอาไว้ให้ชาติเขาแตกแยก พังพินาศ ฆ่ากันเองจนทุกวันนี้ แต่ตัวเองลอยตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


🇧🇪 เบลเยียม – เล็กพริกขี้หนู พลังฆ่าคนเป็นล้าน

❖ ยึด: คองโก, รวันดา, บุรุนดี (แอฟริกากลาง)

❖ ผู้นำตัวเหี้-:

  • King Leopold II (ครองราชย์ 1865–1909): กษัตริย์เบลเยียมผู้ยึด "Congo Free State" เป็นทรัพย์สินส่วนตัว ฆ่าคนไปกว่า 10 ล้าน สร้างระบบกดขี่แรงงานด้วยการตัดแขนเด็ก-ผู้ใหญ่ที่เก็บยางไม่ครบ ติดสินบนหมู่บ้านผ่านการจับตัวผู้หญิงเป็นตัวประกัน ข่มขืนเด็ก ใช้กองกำลัง Force Publique รีดแรงงานท้องถิ่นแบบไร้มนุษยธรรม

  • หลัง Leopold ตาย รัฐเบลเยียมรับเอาคองโกมาเป็นอาณานิคม แต่ยังคงโครงสร้างกดขี่แบบเดิมไว้จนถึงการปลดปล่อยในปี 1960

  • ในรวันดาและบุรุนดี ช่วงตกเป็นอาณานิคมเบลเยียม (1919–1962): ใช้ระบบวัดกระดูกหน้าผาก จมูก ความสูง เพื่อแบ่งว่าใครเป็นทุตซี ใครเป็นฮูตู สร้างบัตรประชาชนที่ฝังเชื้อชาติลงไปอย่างเป็นระบบในปี 1933 เพื่อวางกลไกให้เกิดชนชั้นแบบฝังลึก

❖ ของฝาก:

  • ระบบบัตรประจำตัวประชาชนที่ระบุเผ่าแบบไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

  • ทุตซีถูกยกให้เป็นชนชั้นนำ ฮูตูถูกกดไว้ข้างล่าง → สะสมความแค้น

  • พอรวันดาได้เอกราช → ฮูตูล้างแค้น → ระเบิดเป็น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ปี 1994 ตายกว่า 800,000 คนใน 100 วัน

❖ ลอยนวลยังไง:

  • ไม่มีการไต่สวน King Leopold II ทั้งที่หลักฐานโหดเหี้-ชัดเจน

  • ปี 2020 กษัตริย์ Philippe แค่เขียนจดหมาย "เสียใจ" ส่งให้ผู้นำคองโก ไม่ได้กล่าวคำขอโทษ ไม่ได้เสนอชดเชย ไม่ได้รับโทษแม้แต่นิดเดียว

  • รัฐบาลเบลเยียมยังไม่ยอมรับเต็มที่ว่าการกระทำในคองโกเป็น “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” หรือ “อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ”


🇬🇧 อังกฤษ – ผู้ดีหัวทอง…แต่เหี้-ทั่วโลก

❖ ยึด: อินเดีย, ปากีสถาน, บังคลาเทศ, พม่า, มาเลเซีย, ไนจีเรีย, เคนยา, อียิปต์, ฮ่องกง, ซูดาน, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, ฯลฯ

❖ ผู้นำ/ผู้รับผิดชอบช่วงเหี้-:

  • Robert Clive: ผู้บุกเบิกการยึดอินเดียให้ British East India Company ตั้งแต่ปี 1757 (Battle of Plassey) → วางระบบรีดภาษี-ปล้นทรัพยากร → ทำให้อินเดียกลายเป็นแหล่งดูดทอง-ฝ้าย-ข้าวที่อังกฤษใช้สะสมทุนปฏิวัติอุตสาหกรรม

  • Winston Churchill (นายกฯ อังกฤษช่วง WWII): ปล่อยให้เกิด Great Bengal Famine ปี 1943 โดยปฏิเสธการส่งข้าวช่วยคนอินเดีย → มีการสั่งเบนเสบียงไปให้กองทัพอังกฤษแทน → ชาวบ้านตายกว่า 3 ล้านคน → Churchill ตอบว่า "มันก็เป็นความผิดของพวกมันเองที่ขยายพันธุ์มากเกินไป"

❖ ความเหี้-:

  • ปล้นทรัพยากรอินเดียจน GDP จากเคยมีสัดส่วน 24% ของโลก เหลือไม่ถึง 4% เมื่ออังกฤษถอนตัว

  • ยัดระบบเจ้าขุนมูลนายแบบอังกฤษเข้าไปทั่วโลก ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำใหม่แทนระบอบดั้งเดิม

  • ก่อ สงครามฝิ่น กับจีน (Opium Wars) เพื่อเปิดตลาดบังคับให้จีนรับฝิ่นจากอังกฤษ

  • ใช้แรงงานทาสอินเดีย/แอฟริกันส่งออกไปยังประเทศอื่น เช่น คาริบเบียน มาเลย์ แอฟริกาใต้

  • ฆ่าล้างและไล่ล่าเผ่าพื้นเมืองในออสเตรเลีย (Aboriginals) และนิวซีแลนด์ (Maori)

❖ ของฝาก:

  • ความเกลียดชังทางศาสนาในอินเดีย–ปากีสถานจากการแบ่งแยกแบบไม่มีแผน

  • ระบอบการปกครองที่ฝังความเหลื่อมล้ำจนกลายเป็นโครงสร้างถาวร

❖ ลอยนวลยังไง:

  • ราชวงศ์อังกฤษสร้างภาพ soft power ด้วยความหรูหราและพิธีกรรมแบบ "ไม่มีพิษภัย"

  • ไม่เคยจ่ายค่าชดเชยแก่ชาติอาณานิคมใดๆ

  • ปั้นภาพประเทศผู้ปกครองด้วยระบอบรัฐธรรมนูญเสรี จนกลบประวัติเหี้-พังพินาศไว้ได้หมด


🇫🇷 ฝรั่งเศส – เสรีภาพภราดรภาพ…แต่กับพวกกูเท่านั้น

❖ ยึด: เวียดนาม, ลาว, กัมพูชา (อินโดจีน), แอลจีเรีย, ตูนิเซีย, โมร็อกโก, มาลี, เซเนกัล, กินี, ฯลฯ

❖ ผู้นำเหี้-:

  • Napoleon III: เริ่มล่าอินโดจีน

  • Paul Doumer: ข้าหลวงใหญ่ในอินโดจีน วางโครงสร้างรีดภาษี-แรงงานจากเวียดนาม

  • Charles de Gaulle: ผู้นำฝรั่งเศสที่ปฏิเสธการปล่อยแอลจีเรีย → ส่งทหารเข้าปราบปรามด้วยความโหดเหี้-

❖ ความเหี้-:

  • ใช้ระบบการศึกษาแบบฝรั่งเศสบังคับให้ชาวพื้นเมือง "ทิ้งวัฒนธรรมตัวเอง"

  • ฝังแนวคิดว่าฝรั่งเศสคือ "ความศิวิไลซ์" ส่วนพวกอาณานิคมคือ "คนป่า"

  • ปราบปรามการลุกฮือในแอลจีเรียอย่างโหดเหี้- ปี 1954–1962 ตายกว่าครึ่งล้าน

  • ทดสอบนิวเคลียร์ในหมู่เกาะ French Polynesia โดยไม่บอกชาวบ้าน → คนป่วย-ลูกพิการ

❖ ของฝาก:

  • เขมรถูกปกครองแบบไร้การเตรียมพร้อม → พอฝรั่งเศสถอนตัว เกิดสุญญากาศ จน Pol Pot ก้าวขึ้นมาฆ่าล้างชาติเอง

  • ความตึงเครียดด้านเชื้อชาติในฝรั่งเศสปัจจุบัน เช่น ปัญหาแอลจีเรีย

❖ ลอยนวลยังไง:

  • ไม่มีศาลโลกหรือการชดใช้

  • มักใช้วาทกรรม "เสรีภาพ" กลบความโหดที่เคยทำ

  • ไม่เคยสอนประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสในเวอร์ชันที่เป็นเหี้-แก่ประชาชนฝรั่งเศสเอง


🇯🇵 ญี่ปุ่น – นักล่าอาณานิคมสายเอเชีย

❖ ยึด: เกาหลี, ไต้หวัน, จีนตะวันออก, ฟิลิปปินส์, พม่า, อินโดนีเซีย, มาเลย์, ฯลฯ

❖ ตัวละครเหี้-:

  • Emperor Hirohito: กษัตริย์ญี่ปุ่นช่วง WWII แม้จะไม่สั่งตรง แต่มีอำนาจเหนือรัฐบาล

  • Hideki Tojo: นายกฯญี่ปุ่นในสงครามโลกที่ 2 สั่งบุกจีน ฟิลิปปินส์ อินโดฯ พม่า

  • Shiro Ishii: ผอ.หน่วย 731 ผู้ทดลองจับมนุษย์จีน รัสเซีย เกาหลีมาผ่าตัดไม่วางยา ปล่อยให้ติดเชื้อ-แข็งตาย มีบันทึกผลวิจัยอย่างเป็นระบบ

❖ ความเหี้-:

  • ลักพาตัวผู้หญิงจากเกาหลี–จีนไปเป็น Comfort Women ประจำค่ายทหาร

  • ฆ่าล้างหมู่ Nanjing ปี 1937 ฆ่าประชาชนจีนกว่า 300,000 คน

  • หน่วย 731 ทดลองกับมนุษย์แบบซาดิสม์

  • ฆ่าล้างหมู่ในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระหว่างยึดครอง

❖ ของฝาก:

  • รอยร้าวทางจิตวิญญาณในเกาหลีและจีน

  • ญี่ปุ่นยังมีนักการเมืองปฏิเสธความผิดแบบออกสื่ออยู่ทุกปี

❖ ลอยนวลยังไง:

  • สหรัฐกัน Hirohito ไม่ให้ถูกดำเนินคดี เพื่อให้ญี่ปุ่นไม่ล่มหลังสงคราม

  • ขอโทษแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่ชัดเจน ไม่จ่ายชดเชยโดยตรง

  • ญี่ปุ่นยังไม่ยอมลงนามยอมรับเขตอำนาจ ICC


🇺🇸 สหรัฐอเมริกา – ไม่เรียกตัวเองว่า “อาณานิคม” แต่แม่งเหมือนที่สุด

❖ ยึดอิทธิพล: ลาตินอเมริกา, ฟิลิปปินส์, เกาหลีใต้, อิรัก, อัฟกานิสถาน, เวียดนาม, ไทย (บางช่วง), ฯลฯ

❖ ตัวแสบ:

  • Theodore Roosevelt: นโยบาย Big Stick → บุกปานามา สร้างคลองเองแม่งเลย

  • Dwight Eisenhower: อนุมัติ CIA ล้มรัฐบาลอิหร่าน (1953) กับกัวเตมาลา (1954)

  • Richard Nixon: สนับสนุนเผด็จการ Pinochet หลังโค่นรัฐบาลประชาธิปไตยของชิลี

  • George W. Bush: บุกอิรักปี 2003 อ้างเรื่องอาวุธชีวภาพ → ไม่มีจริง

❖ ความเหี้-:

  • สนับสนุนรัฐประหารที่ตรงผลประโยชน์ตะวันตก

  • ลอบสังหารผู้นำฝ่ายซ้ายทั่วโลก

  • ปล่อยข่าวปลอม ปั่นความขัดแย้งภายในประเทศเป้าหมาย

  • ยึดทรัพยากรผ่านการครอบงำเศรษฐกิจ-เทคโนโลยี

❖ ของฝาก:

  • ประเทศอย่างอิรัก-ลิเบีย-อัฟกานิสถานพังยับหลังสหรัฐบุก “เพื่อประชาธิปไตย”

  • ผู้นำเผด็จการหลายรายได้ขึ้นสู่อำนาจเพราะอเมริกา เช่น สุฮาร์โต (อินโดนีเซีย)

❖ ลอยนวลยังไง:

  • เป็นผู้ชนะสงครามโลก → คุมระบบ UN และ Bretton Woods System

  • คุมค่าเงินโลก (USD), คุมเทคโนโลยี, คุมโซเชียลมีเดีย

  • ไม่ยอมลงนามรับเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) = ฟ้องไม่ได้

  • ใครค้าน → โดนคว่ำบาตร / ป้ายสีเป็นศัตรูประชาธิปไตย




🇵🇹 โปรตุเกส – ล่าโลกตั้งแต่ยังไม่มีแผนที่

❖ ยึด: บราซิล, โมซัมบิก, แองโกลา, กัว (อินเดีย), ติมอร์ตะวันออก, มาเก๊า

❖ ความเหี้-:

  • ค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกยุคต้น (ศตวรรษที่ 15–16)

  • บังคับขนแรงงานจากแอฟริกาไปบราซิลโดยเรือขนคนแบบทาส

  • ใช้แรงงานทาสในไร่อ้อย กาแฟ เหมือนวัวควาย

  • ล้างเผ่าพื้นเมืองบราซิลเพื่อยึดดินแดน

  • เปลี่ยนศาสนา-วัฒนธรรมท้องถิ่นในอินเดีย (Goa Inquisition)

❖ ของฝาก:

  • บราซิลมีโครงสร้างเชื้อชาติ–ชนชั้นฝังลึกมาจากยุคนี้

  • ติมอร์ตะวันออกกลายเป็นรัฐไร้เสถียรภาพหลังโปรตุเกสถอนตัว

  • แอฟริกาตะวันออกเฉียงใต้ยังมีความปั่นป่วนภายหลังการถอนตัวของโปรตุเกส


🇳🇱 เนเธอร์แลนด์ (ดัตช์) – เล็กแต่ลึก

❖ ยึด: อินโดนีเซีย, ซูรินาเม, แอฟริกาใต้ (ยุคต้น), แคริบเบียน (Aruba, Curaçao, ฯลฯ)

❖ ความเหี้-:

  • บังคับปลูกเครื่องเทศในชวาและหมู่เกาะโมลุกกะ โดยใช้แรงงานบังคับ

  • ฆ่าประชาชนอินโดนีเซียที่ลุกฮือหลายแสน โดยเฉพาะปี 1945–1949

  • สร้างโครงสร้างสังคมแบ่งเชื้อชาติ (ดัตช์–จีน–พื้นเมือง) เพื่อควบคุม

  • ใช้การศึกษา-ศาสนาเปลี่ยนความคิดประชากร

  • ในซูรินาเม ใช้แรงงานผสมหลายชาติพันธุ์แบบไม่ให้สิทธิ์อะไรเลย

❖ ของฝาก:

  • อินโดนีเซียมีชนกลุ่มน้อยหลายเชื้อชาติปะปนและแตกแยกทางอำนาจ

  • ระบบชนชั้นผิว/วรรณะในซูรินาเมและแคริบเบียนยังฝังอยู่จนทุกวันนี้


🇪🇸 สเปน – ฆ่าผืนทวีปทั้งอัน

❖ ยึด: อเมริกาใต้เกือบทั้งหมด, เม็กซิโก, ฟิลิปปินส์, คิวบา, เปอร์โตริโก

❖ ความเหี้-:

  • ส่งกองเรือ Conquistador เช่น Hernán Cortés และ Francisco Pizarro
    → ฆ่า/กวาดล้างอารยธรรม Aztec, Maya, Inca

  • ข่มขืน, ทรมาน, กดขี่, เผาเมือง, บังคับเปลี่ยนศาสนา

  • สร้างระบบ Encomienda: ให้คนขาวสิทธิ์ครอบครองแรงงานพื้นเมืองได้เหมือนทรัพย์สิน

  • ส่งบาทหลวงสเปนมา “ล้างบาป” ด้วยดาบ

❖ ของฝาก:

  • ละตินอเมริกาเปลี่ยนเป็นระบบราชวงศ์-ศาสนาแบบสเปน

  • สังคมแบบ “ผิวขาวปกครอง ผิวเข้มทำงาน”

  • ปัญหา land ownership แบบ feudalist ที่ฝังลึกจนถึงศตวรรษ 21


🇮🇹 อิตาลี – สายเถื่อนยุคปลาย

❖ ยึด: ลิเบีย, เอริเทรีย, เอธิโอเปีย, โซมาเลีย

❖ ความเหี้-:

  • Benito Mussolini สั่งบุกเอธิโอเปียปี 1935
    → ใช้อาวุธเคมีใส่ประชาชน (มัสตาร์ดแก๊ส)

  • ทำลายชุมชน, พิพิธภัณฑ์, มรดกทางวัฒนธรรม

  • จับคนเอธิโอเปียเข้าค่ายกักกัน

  • ไล่ฆ่าเผ่าพื้นเมืองหลายกลุ่ม เช่น Oromo, Tigray

❖ ของฝาก:

  • เอธิโอเปีย–โซมาเลีย–ลิเบีย ไม่เคยฟื้นจากสงครามเชิงโครงสร้าง

  • รัฐไร้ศูนย์กลางอำนาจจนกลายเป็นประเทศล้มเหลว (failed states)


✴️ อิสราเอล – อาณานิคมยุคใหม่ภายใต้โลโก้ “รัฐ”

❖ ยึด: ปาเลสไตน์ (West Bank, Gaza, East Jerusalem)

❖ ความเหี้-:

  • สถาปนารัฐบนดินแดนของผู้อื่นในปี 1948 (Nakba = วันหายนะของชาวปาเลสไตน์)

  • ขับไล่ประชาชน 700,000+ คนออกจากบ้านเกิด

  • สร้างนิคมชาวยิวกลางดินแดนปาเลสไตน์อย่างผิดกฎหมายสากล

  • สังหาร, คุมขัง, จำกัดเสรีภาพ, ล้อมรอบดินแดนปาเลสไตน์ไว้แบบค่ายกักกัน

  • ทำลายโรงเรียน, โรงพยาบาล, ระบบสาธารณูปโภค

❖ ของฝาก:

  • คนรุ่นใหม่ของทั้งสองฝั่งเติบโตกับความเกลียดและการสังหาร

  • ความชอบธรรมทางกฎหมายสากลพังยับ

  • ความยุติธรรมกลายเป็นของเล่นมหาอำนาจ


✴️ รัสเซีย – จักรวรรดิยุคใหม่แบบปากบอก “ต้านจักรวรรดิ”

❖ ยึด: ไครเมีย, ดอนบาส, เชชเนีย, จอร์เจียบางส่วน, ล้มชาติรอบโซเวียต

❖ ความเหี้-:

  • ยึดไครเมียในปี 2014 โดยไม่ผ่านความเห็นชอบของยูเครน

  • บุกยูเครนเต็มรูปแบบในปี 2022 → ยิงมิสไซล์ใส่เมือง, รร., โรงพยาบาล

  • ใช้ Wagner Group ก่ออาชญากรรมในแอฟริกา, ตะวันออกกลาง

  • กดขี่ชนกลุ่มน้อยในไซบีเรีย, คอเคซัส

  • ใช้สงครามข่าวสาร (propaganda) ครอบงำภายในและภายนอกประเทศ

❖ ของฝาก:

  • ยูเครนพังยับ ชาติอดีตโซเวียตไม่มีเสถียรภาพ

  • สงครามเย็นกลับมาในโลกยุคใหม่


🔚 สรุป: โลกนี้แม่งไม่ยุติธรรมตั้งแต่แม่งตั้งโต๊ะ

  • มหาอำนาจตั้งกฎเอง แล้วถือสิทธิยกเว้นให้ตัวเอง

  • คนเล็ก ๆ ชาติเล็ก ๆ ต้องเล่นอยู่ในเกมที่ถูกโกงตั้งแต่ต้น

  • แต่การ “รู้ทัน” คือด่านแรกของการไม่ตกเป็นเหยื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ถ้ามึงยังหลงคิดว่า “ประวัติศาสตร์มันผ่านไปแล้ว อย่ารื้อ” ก็เท่ากับยอมให้ไอ้พวกที่ฝากขี้ไว้ ยังคงเดินสวย ๆ อยู่บนเวทีโลก โดยไม่มีใครถามว่า… "ไอ้เหี้- นี่มันฆ่าคนไว้กี่ล้าน?"

โลกนี้แม่งยังต้องการความจริงอยู่มากกว่าที่คิด และคนที่จะกล้าขุดมันขึ้นมา ก็คือพวกมึงนี่แหละ

 

วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ชีวิตที่โลกไม่เคยอ่อนโยนให้: บันทึกถึง Nagiko Tono


『老けたなー…』 | 遠野なぎこオフィシャルブログ「Nagiko Tono Official Blog」Powered by Ameba     Tono Nagiko (遠野なぎこ) 1979-, Japanese Actress, 遠野凪子 | 遠野, 女優, 大 女優

"ฉันอยากหายดี ฉันอยากรักตัวเองให้ได้สักที" – Nagiko Tono


บทนำ

ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2025 สื่อญี่ปุ่นรายงานว่าเจ้าหน้าที่พบศพหญิงไม่ทราบชื่อในห้องพักแห่งหนึ่งที่โตเกียว — ไม่มีร่องรอยการงัดแงะ ประตูล็อกจากด้านใน โทรทัศน์ยังเปิดอยู่ มือถือวางข้างตัว และร่างเริ่มเน่าเปื่อยแล้วหลายวัน ก่อนที่ภายหลังจะมีการยืนยันว่า ห้องนั้นเป็นของนักแสดงหญิงผู้เคยโลดแล่นในวงการบันเทิงญี่ปุ่น — Nagiko Tono หรือชื่อจริง Akimi Aoki (青木秋美)

เธอจากไปเพียงลำพัง... ไม่มีครอบครัว ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรัก ไม่มีใครเลย

และนี่คือเรื่องราวของเธอ — ผู้หญิงคนหนึ่งที่โลกไม่เคยให้โอกาสได้ยืนอย่างมั่นคง


วัยเด็กที่ขาดรัก

Nagiko เกิดเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 1979 ในจังหวัดคานางาวะ ประเทศญี่ปุ่น
เธอเติบโตมาในครอบครัวที่แตกแยก พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่ยังเด็ก

แม่ของเธอเป็นคนทะเยอทะยานสูง อยากให้ลูกสาวเข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่วัยเยาว์
เธอถูกบังคับให้เรียนการแสดง ถ่ายแบบ และเข้าฉากตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าใจว่า “ความเป็นเด็ก” คืออะไร

เธอเคยพูดว่า “ฉันไม่เคยรู้ว่าความรักในครอบครัวหน้าตาเป็นยังไง”

และมันก็เป็นจุดเริ่มต้นของความว่างเปล่าที่เธอต้องพกพาไปตลอดชีวิต


ชีวิตในวงการ: แสงสว่างจอมปลอม

เธอเริ่มมีชื่อเสียงจากการเล่นละครและภาพยนตร์หลายเรื่องในช่วงทศวรรษ 1990–2000 เช่น Night Head, The Sea Watches, และ Chojin Sentai Jetman

แต่ในขณะที่ผู้ชมเห็นเด็กสาวสวยที่กำลังรุ่งโรจน์
ตัวเธอกลับซ่อนบาดแผลลึกเอาไว้ใต้เครื่องสำอางและรอยยิ้มที่ถูกฝึกมาอย่างดี

โลกเบื้องหลังกล้องไม่ได้มีแสงไฟ มีแต่เสียงกดดัน ความคาดหวัง และความเหงา


ความป่วยไข้ที่ไม่เคยหาย

ตั้งแต่อายุ 15 ปี เธอเริ่มป่วยเป็น โรคกินผิดปกติ (Eating Disorder)
ทั้งแบบ Anorexia (อดอาหาร) และ Bulimia (กินแล้วอาเจียน)

เธอเคยเขียนหนังสือชื่อ “欲しくて、食べて、吐いて、死にたくて。” – “อยากกิน กิน อาเจียน และอยากตาย”

ต่อมามีภาวะ โรคซึมเศร้า, OCD (ย้ำคิดย้ำทำ) และ การพึ่งพาแอลกอฮอล์ เข้ามาแทรกซ้อน

เธอนอนไม่หลับเป็นประจำ มีอาการพฤติกรรมซ้ำซาก เช่น ตรวจประตูซ้ำ ตรวจเตาแก๊สซ้ำจนกว่าจะรู้สึก “ปลอดภัย” และยังเคยพยายามทำร้ายตัวเองหลายครั้ง


ความรักที่ขาดแคลน

เธอเคยพยายามแต่งงานถึง 3 ครั้ง:

  • 2009: กับพนักงานบริษัท เลิกภายใน 72 วัน

  • 2014: กับเจ้าของบาร์ เลิกใน 55 วัน

  • 2023: แต่งงาน 13 วันก่อนหย่า

เธอแต่งเพราะอยากมีใครสักคน อยากมีที่ให้เรียกว่า “บ้าน” หรือ “ของฉัน”
แต่ทุกครั้งจบลงด้วยความกลัว ความไม่มั่นใจ และความเปราะบางที่ควบคุมไม่ได้

“ฉันอยากมีความรัก แต่ไม่เคยรู้เลยว่ารักคืออะไร”

“กลัวความเหงา แต่กลัวมากกว่าที่จะต้องอยู่กับใครแล้วรู้สึกว่ายังโดดเดี่ยว”


ความพยายามที่จะอยู่

ถึงจะเจ็บ เธอก็ไม่เคยยอมแพ้ง่าย ๆ

เธอพยายามเขียนหนังสือ เล่าเรื่องบาดแผลของตัวเอง เพื่อหวังว่าใครสักคนที่เจ็บอยู่เหมือนกัน จะรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว

เธอเริ่มรับการรักษาอย่างจริงจังในปี 2024–2025 เข้ารับการดูแลแบบเยี่ยมบ้าน (訪問看護) กินยาตามแพทย์สั่ง เริ่มปรับอาหาร พยายามเพิ่มน้ำหนัก

และเพียงไม่กี่วันก่อนหายไปจากโลก เธอเพิ่งเขียนว่า “ฉันอยากรักตัวเองให้ได้”

มันคือเสียงสุดท้ายของความหวัง…


การจากไปที่เงียบงัน

เธอเสียชีวิตลำพังในห้องพักของตัวเอง ไม่มีใครสังเกต ไม่มีใครโทรหา ไม่มีใครไปเยี่ยมจนร่างเริ่มเน่า

ทีวียังเปิดอยู่ โทรศัพท์ยังวางข้างตัว — เหมือนเธอกำลังรอฟังอะไรบางอย่างที่ไม่เคยมา

คนที่พบศพคือ “พยาบาลเยี่ยมบ้าน” ที่เริ่มทำงานกับเธอได้ไม่ถึงเดือน


โลกนี้ไม่เคยใจดีกับเธอเลย

เธอไม่ได้เลือกเกิด
เธอไม่ได้เลือกแม่ที่ใช้เธอเป็นเครื่องมือ
เธอไม่ได้เลือกวงการที่กดดันให้ต้องเข้มแข็งเกินวัย
เธอไม่ได้เลือกความเปราะบางในใจที่ไม่มีใครมองเห็น

แต่เธอก็ยังอยู่มาได้ถึงอายุ 45
แม้จะโดดเดี่ยวตลอดทาง

บางคนจากไปแล้วก็ลืมเลือน
แต่บางคนอย่างเธอ — ควรถูกจดจำ…

ในฐานะคนที่พยายามจะรักตัวเองในโลกที่ไม่เคยรักเธอเลยสักวัน

วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

จักรวาลในมุมพุทธและฟิสิกส์: เมื่อกัปป์หนึ่งคือการเต้นของจักรวาลทั้งใบ

จักรวาลอันกว้างใหญ่เกินกว่าที่มนุษย์จะจินตนาการได้นี้ ไม่ได้เป็นเพียงสนามของดวงดาวและพลังงานในมุมมองทางฟิสิกส์เท่านั้น หากยังเป็นเวทีอันลึกล้ำของความหมายทางจิตวิญญาณด้วย ในพุทธศาสนา คำว่า "กัปป์" (หรือ กัลป์) ไม่ได้หมายถึงช่วงเวลาที่ยาวนานเพียงอย่างเดียว หากแต่หมายถึงวัฏจักรของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของจักรวาลทั้งระบบ

ในบทความนี้ เราจะพาผู้อ่านดำดิ่งสู่ความเข้าใจเปรียบเทียบระหว่างแนวคิดจักรวาลในพุทธศาสนา กับจักรวาลตามหลักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งอาจพบว่า แม้ทั้งสองฝ่ายจะพูดด้วยภาษาต่างกัน แต่อาจสะท้อนบางอย่างร่วมกันอย่างคาดไม่ถึง


กัปป์: เวลาแห่งจักรวาลพ้นเสี้ยว

"กัปป์" คือหน่วยเวลาที่ยาวนานจนพระไตรปิฎกต้องใช้การเปรียบเปรย เช่น หากมีภูเขาหินลูกบาศก์ขนาดหนึ่งโยชน์ (ราว 16 กิโลเมตร) แล้วมีคนมาปัดด้วยผ้าขาวบาง ๆ ทุก 100 ปี กว่าจะกร่อนหมดนั้นยังเร็วกว่าเวลาหนึ่งกัปป์เสียอีก

ในทางพุทธศาสนา กัปป์หนึ่งคือหนึ่งวัฏจักรของ "โลกธาตุ" ที่หมายถึงจักรวาลชุดหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้น ดำรงอยู่ แล้วล่มสลาย ก่อนที่จะเกิดใหม่ในวัฏจักรถัดไป สรรพสัตว์ทั้งหลายก็เวียนว่ายอยู่ในกัปป์นั้นตามกรรมและภพภูมิของตน

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ใช่ทุกกัปป์จะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น มีเพียงบางกัปป์เท่านั้นที่โลกและสัตว์ทั้งหลายมีวาสนาพอที่จะมีธรรมปรากฏขึ้น ดังนั้น กัปป์หนึ่งจึงไม่ได้เป็นเพียงหน่วยเวลา แต่คือสภาวะหนึ่งของโลกธาตุทั้งใบ

“ในกัปป์หนึ่ง ๆ บางครั้งโลกว่างเปล่าจากพระพุทธเจ้า… ไม่มีผู้รู้ ไม่มีผู้ชี้ทาง ไม่มีธรรม ไม่มีการตรัสรู้”
— พระไตรปิฎก อังคุตตรนิกาย

กัปป์เช่นนี้เรียกว่า สุญญกัปป์ หรือ กัปป์ว่าง – คือจักรวาลที่ไม่มีแสงแห่งธรรม ไม่มีเสียงของโพธิ ไม่มีการตื่นของจิต มีเพียงวัฏสงสารที่หมุนไปเรื่อย ๆ อย่างไร้ทิศทาง


จักรวาลในพุทธ: ไม่ใช่แค่ดาวเคราะห์ แต่คือระบบของการเวียนว่าย

จักรวาลในพุทธศาสนาไม่ได้ถูกนิยามด้วยกิโลเมตรหรือปีแสง แต่ใช้กรอบคิดของ "สหัสสโลกจักรวาล" ซึ่งหมายถึงจักรวาลที่มี "พันของพันของพันโลก" (1,000^3 = 1,000,000,000 โลก) โดยแต่ละโลกจักรจะมีเขาพระสุเมรุ ทวีปทั้งสี่ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และระบบชีวิตของตนเอง

แนวคิดนี้ในอดีตอาจดูเหมือนเทพนิยาย แต่ในปัจจุบันกลับชวนให้ตีความใกล้เคียงกับแนวคิด "Multiverse" หรือจักรวาลคู่ขนานในฟิสิกส์ ที่มีโลกหลายชุดดำรงอยู่อย่างอิสระ มีกฎของตนเอง และมีการเกิดดับเฉพาะของแต่ละชุด

คำว่า "โลก" ในพุทธศาสนาไม่ได้หมายถึงโลกมนุษย์เพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงภพภูมิอื่น ๆ เช่น เทวโลก พรหมโลก นรก เปรต อสูร ฯลฯ ซึ่งสามารถแปลความหมายให้ตรงกับคำว่า "มิติของการดำรงอยู่" ในเชิงปรัชญาวิทยาศาสตร์ได้เช่นกัน


จักรวาลในฟิสิกส์: ใหญ่ ยืดหยุ่น และยังไม่รู้จบ

เพื่อให้เห็นภาพว่าจักรวาลใหญ่เพียงใด ลองเปรียบเทียบดังนี้:

  • โลกของเรา มีเส้นผ่านศูนย์กลาง ~12,742 กิโลเมตร

  • ดวงอาทิตย์ ใหญ่กว่าโลก ~109 เท่า

  • ระบบสุริยะ มีเส้นผ่านศูนย์กลาง ~287.46 พันล้านกิโลเมตร

  • ทางช้างเผือก (Milky Way) มีเส้นผ่านศูนย์กลาง ~100,000 ปีแสง (~946 ล้านล้านกิโลเมตร)

  • แสง ใช้เวลา 100,000 ปีในการเดินทางข้ามทางช้างเผือก

  • จักรวาลที่เราสังเกตได้ มีรัศมี ~46.5 พันล้านปีแสง และเส้นผ่านศูนย์กลาง ~93 พันล้านปีแสง

ถ้าเปรียบโลกเป็นเม็ดทราย ทางช้างเผือกคือสนามฟุตบอล และจักรวาลที่มองเห็นได้จะใหญ่เท่าทั้งทวีปเอเชีย

และที่น่าขนลุกคือ... จักรวาลขนาด 93 พันล้านปีแสงนั้น เป็นเพียง "ส่วนที่เรามองเห็นได้" เท่านั้น — ยังไม่รวมส่วนที่อาจไม่มีวันเข้าถึง เพราะการขยายตัวของเอกภพนั้นเร็วกว่าความเร็วของแสงในบางกรณี

จักรวาลในฟิสิกส์ ไม่เพียงใหญ่ แต่ยังไม่มีขอบ ไม่มีศูนย์กลาง และไม่มีทิศทางในความหมายแบบสามัญด้วย

จักรวาลนี้อาจมีจุดจบ เช่น:

  • Big Freeze: ขยายตัวจนพลังงานหมด → ทุกอย่างเย็นตาย

  • Big Crunch: ยุบตัวกลับ → กลายเป็นจุดเล็กอีกครั้ง

  • Big Bounce: วัฏจักรเกิด-ดับ-เกิดใหม่ (ใกล้เคียงกับกัปป์)

  • Heat Death: พลังงานกระจายเท่า ๆ กัน ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป

บางทฤษฎีเสนอว่า จักรวาลของเราเป็นเพียงฟองหนึ่งในมหาสมุทรแห่งจักรวาลที่มากกว่าหนึ่ง (Multiverse) และบางฟองอาจมีกฎฟิสิกส์ต่างจากเราทั้งหมด


ความเหมือนที่ไม่นัดหมาย: พุทธกับฟิสิกส์มองจักรวาลเป็นวัฏจักร

ประเด็น พุทธศาสนา ฟิสิกส์สมัยใหม่
หน่วยเวลาใหญ่สุด กัปป์ ชีวิตของจักรวาล (13.8 พันล้านปี หรือเป็นวัฏจักร)
จักรวาลคืออะไร สหัสสโลกจักรวาล (พันล้านโลก) Observable Universe / Multiverse
จักรวาลเกิดดับไหม ใช่ – โลกธาตุเกิด-ดับ ใช่ – Big Bang → Big Freeze / Crunch / Bounce
จักรวาลมีหลายชุดไหม มี: โลกธาตุนับไม่ถ้วน มี: Multiverse
สิ่งมีชีวิตในจักรวาลอื่น มี: ภพภูมินับไม่ถ้วน อาจมี: ความเป็นไปได้สูงจาก exoplanet, สถิติ
เป้าหมายสูงสุด พ้นจากสังสารวัฏ (นิพพาน) เข้าใจโครงสร้างเอกภพ, ไม่มีเป้าหมายทางจิตวิญญาณ
จักรวาลสิ้นสุดอย่างไร ไฟวินาศ น้ำวินาศ ลมวินาศ → เกิดใหม่ Big Freeze / Heat Death / Big Crunch
สัจธรรมที่เหมือนกัน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา Entropy, ความไม่คงตัว, ความเปลี่ยนแปลงถาวร

และเราอยู่ตรงไหนในทั้งหมดนี้?

มนุษย์อาจเป็นเพียงฝุ่นผงในจักรวาลที่หมุนวนตามกฎของธรรมชาติอย่างไม่หยุดนิ่ง แต่เราคือ "ฝุ่น" ที่ตั้งคำถามกับฟ้า

เรามีความสามารถในการสงสัย มองหา และตื่นรู้
เราคือชีวิตที่ถามว่า “อะไรคือทางกลับบ้าน?”

ในทางพุทธ — เรากำลังเวียนว่ายในกัปป์นี้ ยังไม่หลุดพ้นจากสังสารวัฏ
ในทางวิทยาศาสตร์ — เราเพิ่งเริ่มเข้าใจว่า จักรวาลมีมากกว่าที่เราคิดหลายล้านเท่า

แต่ทั้งสองฝั่งดูจะพูดตรงกันว่า:

ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป — แม้แต่จักรวาลเอง


สุดท้าย

หากเราคิดว่าเรายิ่งใหญ่เพียงเพราะมีเทคโนโลยีหรืออารยธรรม เราอาจลืมไปว่า เรายังไม่เคยออกจากกาแล็กซีของตัวเองด้วยซ้ำ

และหากกัปป์หนึ่ง คือการเต้นของจักรวาลทั้งใบ
สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด… อาจไม่ใช่การไปไกลแค่ไหน
แต่คือการรู้ว่าอะไร “ควรค่าแก่การกลับมา”

บางที หน้าที่ของสิ่งมีชีวิตอันแสนเล็กในจักรวาลนี้…
อาจไม่ใช่การเดินทางให้ไกลที่สุด
แต่อาจเป็นเพียงการเงยหน้าขึ้นมอง และตั้งคำถามว่า —
เราควรใช้ชีวิตให้มีความหมาย…ในวัฏจักรที่ไม่สิ้นสุดนี้อย่างไร?

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ศาลรัฐธรรมนูญสั่ง "แพทองธาร" หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี: ผลกระทบที่มากกว่าการเมือง

วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติสำคัญที่ส่งแรงสั่นสะเทือนทั้งในทางการเมืองและการบริหารประเทศ เมื่อมีคำสั่งให้ "นางสาวแพทองธาร ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว หลังจากรับคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา 36 คน ที่ขอให้ตรวจสอบกรณีคลิปเสียงการสนทนากับ "สมเด็จฮุน เซน" ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งอาจเข้าข่ายขัดคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ

บทความนี้จะพาผู้อ่านไปทำความเข้าใจทั้งที่มาของคำสั่งศาล และผลกระทบเชิงลึกต่อการบริหารราชการแผ่นดิน รวมถึงความเชื่อมั่นทางการเมือง เศรษฐกิจ และโครงสร้างรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้อง


“คลิปเสียง” จุดเริ่มต้นของข้อสงสัย

คลิปเสียงที่ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อเมื่อ 18 มิถุนายน 2568 แสดงการพูดคุยระหว่างนางสาวแพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน โดยผู้ถูกร้อง (แพทองธาร) ได้ยอมรับภายหลังว่าเป็นเสียงตนจริง แต่ชี้แจงว่าเป็นการสื่อสารแบบส่วนตัว ด้วยเจตนาเพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ยื่นคำร้องมองว่า การกระทำดังกล่าวอาจสะท้อนถึงการขาดความเป็นอิสระทางการเมือง และการไม่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเหมาะสมในฐานะหัวหน้ารัฐบาล โดยกล่าวหาว่าผู้ถูกร้องมีท่าทีเอนเอียงไปยังผลประโยชน์ของกัมพูชา และไม่แสดงจุดยืนที่ชัดเจนต่ออธิปไตยของไทย

ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติ 7 ต่อ 2 ให้ผู้ถูกร้อง "หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี" ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2568 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยสุดท้าย


โครงสร้างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: มาตรา 170 และ 82

การพิจารณาครั้งนี้อิงตาม รัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบ มาตรา 82 ว่าด้วยการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี และสิทธิของสมาชิกสภาในการยื่นคำร้องต่อศาล

นอกจากนี้ ศาลยังใช้อำนาจตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 54 ในการกำหนดให้ผู้ถูกร้องต้องชี้แจงข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน และใช้อำนาจชั่วคราวตามมาตรา 71 เพื่อสั่งระงับการใช้อำนาจของผู้ถูกร้องในบางกรณี

เสียงข้างน้อยในศาล (2 คน) เห็นว่ายังไม่มีข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอ แต่ก็เสนอให้จำกัดอำนาจของนายกรัฐมนตรีชั่วคราวเฉพาะในเรื่องความมั่นคง การคลัง และการต่างประเทศ


ผลกระทบต่อการบริหารประเทศ: มากกว่าแค่หยุดงาน

🏛️ 1. “ผู้รักษาการ” ไม่ได้มีอำนาจเต็ม

แม้จะมีผู้รักษาการแทน (เช่น นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) เข้าทำหน้าที่ แต่ในทางกฎหมาย ผู้รักษาการนายกรัฐมนตรี ไม่มีอำนาจในการยุบสภา ปรับคณะรัฐมนตรี หรือแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง เพราะเป็นอำนาจที่ต้องใช้อำนาจนายกฯ ที่ได้รับโปรดเกล้าฯ แล้วเท่านั้น

งานบริหารทั่วไปยังเดินต่อได้ แต่หากมีวิกฤตที่ต้องใช้อำนาจนายกฯ เต็มรูปแบบ รัฐบาลอาจไม่สามารถตอบสนองได้เต็มที่

📄 2. การผลักดันนโยบายและกฎหมาย

ร่างกฎหมายยังสามารถเสนอได้โดยครม. แต่หากเป็นร่างที่อ่อนไหวหรือมีนัยทางการเมืองสูง เช่น ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ร่างกฎหมายปฏิรูป หรือการจัดสรรงบโครงการใหญ่ จะเผชิญแรงต้านมากขึ้น โดยเฉพาะหากฝ่ายค้านมองว่า ครม.รักษาการขาดความชอบธรรม

📈 3. ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจ

นักลงทุนและภาคธุรกิจจับตาเสถียรภาพทางการเมือง หากสถานการณ์ยืดเยื้อหรือศาลวินิจฉัยให้นายกฯ พ้นจากตำแหน่ง อาจเกิดแรงกระเพื่อมต่อความเชื่อมั่นการลงทุน แม้ตลาดจะยังไม่ผันผวนมากในช่วงต้น

🔮 4. เสถียรภาพทางการเมืองและฉากทัศน์อนาคต

หากศาลตัดสินว่าแพทองธารต้องพ้นจากตำแหน่งจริง รัฐสภาต้องดำเนินกระบวนการเลือกนายกฯ คนใหม่ ซึ่งอาจเปิดช่องต่อการต่อรองอำนาจในสภา และเกิดแรงกดดันจากประชาชนให้มีการยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน

ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอาจใช้ช่วงนี้ขยายการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะในประเด็นจริยธรรม ความชอบธรรม และความโปร่งใส


ข้อควรจับตา

  • คำชี้แจงของนางสาวแพทองธารภายใน 15 วัน จะมีน้ำหนักแค่ไหนในการโต้แย้งข้อกล่าวหา

  • ท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาล หากต้องเลือกนายกฯ ใหม่จะเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจหรือไม่

  • บทบาทของฝ่ายค้านและภาคประชาชน หากสถานการณ์ไม่คลี่คลายเร็ว


บทส่งท้าย

คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การ "หยุดทำหน้าที่ชั่วคราว" ของนายกรัฐมนตรี แต่คือบททดสอบเสถียรภาพของกลไกรัฐสภา ความแข็งแรงของรัฐธรรมนูญ และระดับความเชื่อมั่นที่ประชาชนและนานาชาติจะมีต่อประเทศไทยในช่วงเปลี่ยนผ่าน

สิ่งที่เราควรติดตามต่อไป ไม่ใช่แค่ชื่อของผู้นำคนใหม่ แต่อยู่ที่คำตอบว่า "ประชาธิปไตยไทย" จะแสดงวุฒิภาวะทางการเมืองมากพอที่จะผ่านวิกฤตนี้ไปได้หรือไม่


🔗 อ้างอิง

  1. PPTV Online. (2568, 1 กรกฎาคม). ศาลรัฐธรรมนูญสั่ง "แพทองธาร" หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ รับคำร้องปมคลิปเสียง "ฮุน เซน". https://www.pptvhd36.com/news/politics/XXXXXX

  2. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560. มาตรา 160, 170 และ 82

  3. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561. มาตรา 7, 54 และ 71

  4. คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการรักษาการนายกรัฐมนตรี (เช่น กรณีปี 2557)

บทวิเคราะห์: เมื่อเพื่อนบ้านปะทะ มหาอำนาจขยับ ใครทำตัวแบบไหนกับไทยในศึกเขมร 2025?

สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาที่กำลังปะทุขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ หากแต่เกิดท่ามกลางสายตาของ “เพื่อนบ้าน” และ “มหาอำนาจโลก” ที่ต่างจับจ้อง ...